🌪 โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) | F41.0
เมื่อหัวใจเต้นแรง มือสั่น เหงื่อออก
โดยไม่รู้สาเหตุ อาจไม่ใช่แค่ความเครียด — แต่อาจเป็น "โรคตื่นตระหนก"
🧠 พยาธิสภาพ / ช่วงอายุที่พบบ่อย
- โรคนี้เกิดจากการทำงานผิดปกติของสารเคมีในสมอง ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดรุนแรงเกินจริง
- มักพบในช่วงอายุ 20–45 ปี และพบใน ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
🚨 อาการที่พบบ่อย
- ใจสั่น เหงื่อออก หายใจไม่ทัน
- เจ็บหน้าอก หน้ามืด รู้สึกเหมือนจะตาย
- อาการเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ใช้เวลา 10–30 นาที
- ❗️หลายคนคิดว่า "เป็นโรคหัวใจ" ทั้งที่ความจริงคือ "โรคตื่นตระหนก"
⚠️ ปัจจัยกระตุ้น
ความเครียดสะสม
- พันธุกรรม
- ประสบการณ์เลวร้ายในอดีต
- การใช้สารเสพติดหรือคาเฟอีนมากเกินไป
💊 การรักษา
- ยาคลายวิตกกังวล หรือยากลุ่ม SSRI
- การทำจิตบำบัด (CBT)
- การฝึกหายใจและการผ่อนคลาย
- ✔️ รักษาได้ และควบคุมอาการได้ หากพบแพทย์เร็ว
🩺 แนวทางการพยาบาล
- รับฟังอย่างไม่ตัดสิน
- อยู่กับผู้ป่วยเมื่อเกิดอาการ
- แนะนำการหายใจเข้า-ออกลึกๆ ช้าๆ
- ส่งต่อแพทย์เพื่อประเมินและรักษาต่อเนื่อง
🫶 การดูแลตนเองสำหรับบุคคลทั่วไป
- ฝึกสมาธิ ผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือเดินเบาๆ
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- หากมีอาการบ่อย ควรพบแพทย์ ไม่ต้องอาย เพราะ “ใจคุณก็ต้องการการดูแลเหมือนร่างกาย”
……………………………………………………….
🧡 ดูแลใจ...อย่าปล่อยให้ใจวิ่งหนีตัวเอง
📽 นำความรู้ดีๆ นี้แชร์ต่อ เพราะ “เข้าใจเร็ว = รักษาไว”
💥 "ใจเต้นแรง ไม่ได้แปลว่าคุณกำลัง ‘รัก’
เสมอไป… บางทีมันคือโรคที่หัวใจไม่ได้เป็นต้นเหตุ!"
📌 โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) รู้ก่อน… รอดก่อน
#ตื่นตระหนกไม่ใช่เรื่องเล่นๆ #PanicDisorder #ใจสั่นไม่ใช่โรคหัวใจ #สุขภาพจิตก็สำคัญ #พยาบาลเล่าให้ฟัง #รู้ก่อนป่วย #MentalHealthAwareness
#Reelsสุขภาพจิต #โรคจิตเวชต้องรู้ #อย่ามองข้ามใจตัวเอง
……………………………………………………..
🧠 วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคตื่นตระหนก (Panic
Disorder) | F41.0
- F41.0F1 มีความวิตกกังวลและหวาดกลัวอย่างรุนแรงจนกระทบต่อระบบร่างกาย (Severe anxiety and fear affecting physiological functions) ผู้ป่วยมีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจเร็ว เหงื่อออก และกลัวว่าจะตาย ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
- F41.0F2 เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อตนเองจากอาการตื่นตระหนกเฉียบพลัน (Risk for self-harm due to panic attacks) ผู้ป่วยบางรายมีความคิดทำร้ายตนเองหรือหนีออกจากสถานที่เพื่อหลีกเลี่ยงความกลัวเฉียบพลัน
- F41.0F3 มีรูปแบบการหายใจไม่ปกติจากความเครียด (Ineffective breathing pattern related to anxiety) หายใจเร็ว ผิวหนังซีด หน้ามืด บางรายมีอาการ Hyperventilation จำเป็นต้องฝึกหายใจช้า-ลึก
- F41.0F4 มีความนับถือตนเองต่ำและรู้สึกด้อยคุณค่า (Low self-esteem and negative self-image) ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอ ไม่มีค่า รู้สึกผิดที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
- F41.0F5 ขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการดูแลตนเอง (Deficient knowledge about the illness and self-care) ผู้ป่วยไม่เข้าใจอาการของตนเอง และมักเข้าใจผิดว่าเป็นโรคหัวใจหรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ
- F41.0F6 มีรูปแบบการเผชิญปัญหาแบบหลีกเลี่ยงหรือไม่เหมาะสม (Ineffective coping related to stress response) ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ไม่กล้าออกจากบ้าน หรือเลิกงาน
- F41.0F7 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรับประทานยาหรือหยุดยาเอง (Risk for complications due to medication misuse or nonadherence) ผู้ป่วยอาจหยุดยาเองเพราะกลัวผลข้างเคียง หรือไม่เข้าใจความสำคัญของการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
- F41.0F8 มีความต้องการการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวหรือบุคคลรอบข้าง (Need for emotional support from family or caregivers) ครอบครัวอาจไม่เข้าใจอาการของผู้ป่วย ทำให้ขาดแรงสนับสนุนในการดูแลรักษา
- F41.0F9 มีความพร้อมบางส่วนในการเรียนรู้และฝึกฝนการดูแลตนเอง (Partial readiness for self-care and learning) ผู้ป่วยเริ่มเปิดใจรับฟังคำแนะนำจากพยาบาลและมีแนวโน้มเรียนรู้วิธีควบคุมอาการได้ดีขึ้น
- F41.0F10 มีความต้องการวางแผนจำหน่ายและติดตามต่อเนื่องหลังออกจากโรงพยาบาล (Need for discharge planning and follow-up care) เพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ควรมีการส่งต่อจิตแพทย์ นัดติดตาม และให้ครอบครัวมีส่วนร่วม
……………………………………………………
F41.0F1: มีความวิตกกังวลและหวาดกลัวอย่างรุนแรงจนกระทบต่อระบบร่างกาย
(Severe anxiety and fear affecting physiological functions)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยบอกว่า “รู้สึกเหมือนจะตาย หายใจไม่ทัน ใจเต้นแรงมาก”
O:
- หายใจเร็ว RR > 22 ครั้ง/นาที
- หัวใจเต้นเร็ว HR > 100 bpm
- มือเย็น เหงื่อออก
- หน้าซีด กระสับกระส่าย
- วัดระดับความวิตกกังวล (Anxiety rating scale) สูง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวลลดลงภายใน 30–60 นาที
- ระบบการหายใจและการไหลเวียนโลหิตกลับสู่ค่าปกติ
- ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและสามารถควบคุมอาการได้
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- RR ≤ 20 ครั้ง/นาที
- HR ≤ 100 bpm
- สีผิวและการไหลเวียนดีขึ้น
- ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคหายใจช้าและบอกว่าสงบขึ้น
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F1I-1: ประเมินสัญญาณชีพทุก 15–30 นาทีในระยะที่มีอาการเฉียบพลัน เพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
- F41.0F1I-2: อยู่กับผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ให้ความรู้สึกปลอดภัยและลดความกลัว
- F41.0F1I-3: พูดคุยด้วยน้ำเสียงช้า นุ่มนวล ชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสงบลง
- F41.0F1I-4: แนะนำเทคนิคหายใจช้า-ลึก (deep breathing) หรือการหายใจเข้าทางจมูกออกทางปากช้าๆ
- F41.0F1I-5: จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบ ปลอดสิ่งกระตุ้น เช่น ปิดโทรทัศน์ ลดแสง
- F41.0F1I-6: ประเมินระดับความวิตกกังวลซ้ำหลังการแนะนำวิธีผ่อนคลาย
- F41.0F1I-7: ให้ความรู้ผู้ป่วยว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความวิตก ไม่ใช่โรคร้ายแรง
- F41.0F1I-8: หากอาการรุนแรงต่อเนื่อง ประสานแพทย์เพื่อให้ยาคลายกังวลตามคำสั่ง
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F1R-1: ผู้ป่วยหายใจช้าลง RR อยู่ในค่าปกติภายใน 30 นาที
- F41.0F1R-2: ผู้ป่วยบอกว่า “รู้สึกดีขึ้น ไม่กลัวเหมือนก่อน”
- F41.0F1R-3: สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ และไม่มีอาการมือสั่น เหงื่อออก
- F41.0F1R-4: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคหายใจเพื่อควบคุมอาการได้เอง
- F41.0F1R-5: ผู้ป่วยแสดงออกว่ารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อติดต่อกับพยาบาล
……………………………………………….
F41.0F2 : เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อตนเองจากอาการตื่นตระหนกเฉียบพลัน
(Risk for self-harm due to panic attacks)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “อยากหนีออกไปจากที่นี่ตอนที่มันเกิดขึ้น”, “รู้สึกไม่ไหวแล้ว เหมือนอยากให้มันจบ”
O:
- แสดงพฤติกรรมกระสับกระส่าย เดินวน พูดเร็ว
- เคยมีประวัติพยายามหนีจากสถานการณ์หรือสถานที่
- มีประวัติเคยทำร้ายตนเองหรือคิดฆ่าตัวตาย
- คะแนนประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย (Suicide Risk Assessment) อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยปลอดภัย ไม่เกิดอันตรายต่อตนเองในระยะวิกฤต
- ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมควบคุมตนเองได้เมื่อเกิดอาการ
- ผู้ป่วยสามารถบอกหรือแสดงออกถึงความต้องการความช่วยเหลือ
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ไม่มีการทำร้ายตนเองหรือพยายามหลบหนี
- ผู้ป่วยขอความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม
- แสดงความสามารถควบคุมอารมณ์และอาการได้ดีขึ้น
- พฤติกรรมลดความเสี่ยงปรากฏน้อยลงหรือหายไป
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F2I-1: ประเมินระดับความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองโดยใช้แบบประเมินที่เชื่อถือได้
- F41.0F2I-2: เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยอยู่กับผู้ป่วยตลอดช่วงที่มีอาการรุนแรง
- F41.0F2I-3: เก็บของมีคมหรือสิ่งที่อาจใช้ทำร้ายตนเองออกจากบริเวณผู้ป่วย
- F41.0F2I-4: พูดคุยกับผู้ป่วยอย่างอ่อนโยน รับฟังโดยไม่ตัดสิน เพื่อให้ผู้ป่วยกล้าเปิดใจ
- F41.0F2I-5: สอนเทคนิคควบคุมอารมณ์ เช่น หายใจลึก ฝึกสติ (Mindfulness)
- F41.0F2I-6: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความกลัวหรือความเครียด
- F41.0F2I-7: ประสานทีมสหวิชาชีพ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา เมื่อพบความเสี่ยงสูง
- F41.0F2I-8: บันทึกพฤติกรรมและการตอบสนองอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามความคืบหน้า
- F41.0F2I-9: สอนครอบครัวให้รู้จักสังเกตสัญญาณเตือนและวิธีช่วยเหลือเบื้องต้น
- F41.0F2I-10: วางแผนความปลอดภัยร่วมกับผู้ป่วยก่อนจำหน่าย (safety plan)
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F2R-1: ผู้ป่วยไม่แสดงพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือพยายามหลบหนี
- F41.0F2R-2: ผู้ป่วยพูดว่า “รู้ว่ามีคนอยู่ตรงนี้ รู้สึกปลอดภัยขึ้น”
- F41.0F2R-3: ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีผ่อนคลายที่เรียนรู้เพื่อลดอาการได้เอง
- F41.0F2R-4: ครอบครัวเข้าใจและร่วมสังเกตอาการได้
- F41.0F2R-5: ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการทำแผนความปลอดภัยและยอมรับการติดตามต่อเนื่อง
………………………………………………
🧠 วินิจฉัยการพยาบาล F41.0F3: มีรูปแบบการหายใจไม่ปกติจากความเครียด (Ineffective breathing
pattern related to anxiety)
🔍
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “หายใจไม่อิ่ม เหมือนจะขาดใจ”, “ใจสั่น หายใจเร็วมาก”
O:
- หายใจเร็วมากกว่า 24 ครั้ง/นาที
- ผิวหนังซีด เหงื่อออก
- หน้ามืด เวียนศีรษะเล็กน้อย
- บางรายพบอาการ Hyperventilation (หายใจเร็วและลึกผิดปกติ)
- ผลวัดค่า O2 saturation อาจปกติหรือสูงกว่าปกติเล็กน้อยในภาวะ hyperventilation
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยหายใจช้าลงและสม่ำเสมอมากขึ้น
- ผู้ป่วยไม่มีอาการหน้ามืด เวียนหัว หรือรู้สึกหายใจไม่อิ่ม
- ผู้ป่วยสามารถควบคุมลมหายใจได้ด้วยตนเองเมื่อมีอาการเกิดขึ้น
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 12–20 ครั้ง/นาที
- สีผิวเป็นปกติ ไม่มีอาการซีดหรือหน้ามืด
- ผู้ป่วยรายงานว่า “รู้สึกหายใจได้ปกติขึ้น”
- ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคฝึกหายใจได้ด้วยตนเอง
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F3I-1: ประเมินอัตราการหายใจ ลักษณะการหายใจ สีผิว และระดับความรู้สึกตัวทุก 2-4 ชั่วโมง
- F41.0F3I-2: ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งศีรษะสูง (High Fowler’s position) เพื่อให้หายใจสะดวก
- F41.0F3I-3: อยู่กับผู้ป่วยเพื่อให้ความมั่นใจในขณะเกิดอาการหายใจเร็ว
- F41.0F3I-4: สอนเทคนิคการหายใจลึก-ช้า เช่น สูดลมหายใจเข้าทางจมูก นับ 1–4 กลั้นหายใจ แล้วหายใจออกทางปากช้า ๆ
- F41.0F3I-5: ใช้ถุงกระดาษช่วยหายใจ (paper bag technique) กรณีผู้ป่วยมี hyperventilation ชัดเจน (เฉพาะรายที่แพทย์เห็นสมควร)
- F41.0F3I-6: สังเกตอาการซ้ำของ hyperventilation และความรุนแรงของอาการตื่นตระหนก
- F41.0F3I-7: ประเมินความรู้ของผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการหายใจผิดปกติและวิธีจัดการ
- F41.0F3I-8: กระตุ้นให้ผู้ป่วยฝึกหายใจช้า ๆ อย่างสม่ำเสมอเมื่อมีสัญญาณของความวิตกกังวล
- F41.0F3I-9: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยบันทึกอาการและวิธีรับมือที่ใช้ได้ผล
- F41.0F3I-10: ให้คำแนะนำครอบครัวเพื่อช่วยเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติของการหายใจ
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F3R-1: ผู้ป่วยหายใจในอัตราปกติ (12–20 ครั้ง/นาที)
- F41.0F3R-2: สีผิวผู้ป่วยดูเป็นปกติ ไม่มีเหงื่อออกหรือหน้ามืด
- F41.0F3R-3: ผู้ป่วยสามารถทำตามเทคนิคหายใจลึกได้เองเมื่อมีอาการ
- F41.0F3R-4: ผู้ป่วยบอกว่า “รู้สึกหายใจดีขึ้น ไม่เหมือนตอนแรก”
- F41.0F3R-5: ไม่มีอาการ hyperventilation ซ้ำในช่วงเฝ้าระวัง
…………………………………………………..
F41.0F4 : มีความนับถือตนเองต่ำและรู้สึกด้อยคุณค่า (Low self-esteem and negative self-image)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “รู้สึกตัวเองไม่มีค่าเลย”
- “ทำไมเราควบคุมตัวเองไม่ได้เลย”
- “เราเป็นภาระให้คนอื่น”
O:
- มีสีหน้าเศร้าหมอง
- ไม่สบตา ไม่พูดจา
- แยกตัว ไม่ร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น
- บางรายร้องไห้บ่อย
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถแสดงความรู้สึกในเชิงบวกต่อตนเองได้
- ผู้ป่วยสามารถร่วมกิจกรรมง่าย ๆ กับผู้อื่นได้
- ผู้ป่วยสามารถรับรู้และยอมรับความสามารถบางด้านของตนเองได้
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยพูดถึงตนเองด้วยถ้อยคำในเชิงบวกอย่างน้อย 1 ด้าน
- ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกับผู้อื่นอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ผู้ป่วยพูดคุยกับบุคลากรด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้น
- สีหน้าและอารมณ์ของผู้ป่วยดูสงบขึ้น
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F4I-1: ประเมินคำพูดและพฤติกรรมที่สะท้อนความรู้สึกต่ำต้อยของผู้ป่วยเป็นรายวัน
- F41.0F4I-2: อยู่ใกล้ชิด ให้ความสนใจ และรับฟังผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน
- F41.0F4I-3: สนับสนุนให้ผู้ป่วยพูดถึงสิ่งที่ตนทำได้ดีหรือความสามารถของตนเอง
- F41.0F4I-4: สะท้อนความสำเร็จเล็ก ๆ ที่ผู้ป่วยทำได้ เพื่อเสริมแรงในเชิงบวก
- F41.0F4I-5: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยร่วมทำกิจกรรมกลุ่มง่าย ๆ ที่ไม่สร้างความกดดัน
- F41.0F4I-6: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปกติของโรคตื่นตระหนก เพื่อช่วยลดความรู้สึกผิด
- F41.0F4I-7: ร่วมกับทีมสุขภาพจิตในการวางแผนฟื้นฟูความนับถือตนเองระยะยาว
- F41.0F4I-8: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยให้ข้อเสนอแนะในการดูแลตนเอง เพื่อเสริมความรู้สึกมีคุณค่า
- F41.0F4I-9: ชวนผู้ป่วยจดบันทึกสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองในแต่ละวัน
- F41.0F4I-10: ให้ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีส่วนร่วมสนับสนุนด้านจิตใจในทางสร้างสรรค์
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F4R-1: ผู้ป่วยพูดถึงตนเองในเชิงบวกอย่างน้อย 1 ด้าน
- F41.0F4R-2: ผู้ป่วยมีสีหน้าและอารมณ์ดูผ่อนคลายมากขึ้น
- F41.0F4R-3: ผู้ป่วยเริ่มพูดคุยกับผู้อื่นหรือบุคลากรโดยไม่หลีกเลี่ยง
- F41.0F4R-4: ผู้ป่วยร่วมกิจกรรมง่าย ๆ ได้โดยไม่ปฏิเสธ
- F41.0F4R-5: ผู้ป่วยแสดงความหวังหรือแผนในอนาคตแม้เพียงเล็กน้อย
…………………………………………………..
F41.0F5: ขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการดูแลตนเอง
(Deficient knowledge about the illness and self-care)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “กลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจ”
- “ไม่รู้ว่าอาการที่เป็นเกิดจากอะไร”
- “รู้สึกเหมือนจะตายตอนที่เป็นอาการแบบนี้”
O:
- ผู้ป่วยแสดงความกังวลทุกครั้งเมื่อมีอาการ
- ถามซ้ำ ๆ ว่าตนเองจะหายหรือไม่
- ปฏิเสธการใช้ยาเพราะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยเข้าใจว่าอาการเกิดจากโรคตื่นตระหนก ไม่ใช่โรคทางกายร้ายแรง
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีรับมือเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการ
- ผู้ป่วยมีทัศนคติที่ดีขึ้นเกี่ยวกับโรคและการดูแลตนเอง
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยอธิบายลักษณะอาการของโรคตื่นตระหนกได้อย่างถูกต้อง
- ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการผ่อนคลายตนเองเมื่อเกิดอาการได้อย่างน้อย 1 วิธี
- ผู้ป่วยยอมรับแผนการรักษาและเข้าใจวัตถุประสงค์ของยา
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F5I-1: ประเมินระดับความรู้ ความเข้าใจ และความเชื่อเดิมเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วย
- F41.0F5I-2: อธิบายธรรมชาติของโรคตื่นตระหนกอย่างง่าย ให้เข้าใจว่าไม่ใช่โรคร้ายแรง
- F41.0F5I-3: แสดงภาพหรือวิดีโอประกอบ เพื่อช่วยให้เข้าใจกลไกการเกิดอาการ
- F41.0F5I-4: ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการเตือนล่วงหน้าและวิธีรับมือ เช่น การหายใจลึก ช้า
- F41.0F5I-5: สอนเทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจแบบ 4-7-8 หรือ progressive muscle relaxation
- F41.0F5I-6: แนะนำแนวทางปฏิบัติตนเมื่ออยู่บ้าน เช่น การจดบันทึกอารมณ์/กระตุ้นการผ่อนคลาย
- F41.0F5I-7: อธิบายวัตถุประสงค์ของยาและวิธีใช้ เพื่อเพิ่มความร่วมมือในการรักษา
- F41.0F5I-8: จัดกิจกรรมกลุ่มให้ผู้ป่วยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อเรียนรู้จากผู้อื่น
- F41.0F5I-9: ให้เอกสารสรุปความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคที่อ่านเข้าใจง่าย
- F41.0F5I-10: ประสานทีมสุขภาพจิตติดตามผลการเรียนรู้และความเข้าใจต่อเนื่อง
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F5R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายว่าอาการเกิดจากโรคตื่นตระหนก ไม่ใช่โรคหัวใจ
- F41.0F5R-2: ผู้ป่วยเข้าใจวิธีผ่อนคลายและสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
- F41.0F5R-3: ผู้ป่วยลดความกลัวตายหรือกลัวโรคร้ายแรงลง
- F41.0F5R-4: ผู้ป่วยยอมรับและร่วมมือในการใช้ยาและเข้ารับการบำบัด
- F41.0F5R-5: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจว่า "ตนสามารถรับมือได้หากเกิดอาการอีก"
………………………………………………..
F41.0F6: มีรูปแบบการเผชิญปัญหาแบบหลีกเลี่ยงหรือไม่เหมาะสม
(Ineffective coping related to stress response)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “ไม่กล้าออกจากบ้าน กลัวจะเป็นอีก”
- “ลาออกจากงาน เพราะเครียดเวลาต้องเจอคนเยอะ”
- “เลี่ยงสถานที่ที่เคยเกิดอาการ”
O:
- ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมและปฏิเสธกิจกรรมที่เคยทำ
- ผู้ป่วยมีท่าทีวิตกเมื่อพูดถึงสถานการณ์ที่กระตุ้นอาการ
- มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงซ้ำ ๆ และแยกตัวมากขึ้น
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่เคยหลีกเลี่ยงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
- ผู้ป่วยมีวิธีเผชิญปัญหาที่เหมาะสมกับความเครียด
- ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้มากขึ้น
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถเผชิญสถานการณ์ที่กลัวอย่างน้อย 1 สถานการณ์
- ผู้ป่วยมีทักษะในการจัดการความเครียดด้วยตนเอง
- ผู้ป่วยลดพฤติกรรมการหลีกเลี่ยงในชีวิตประจำวัน
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F6I-1: ประเมินพฤติกรรมการเผชิญปัญหาเดิมและสถานการณ์ที่ผู้ป่วยหลีกเลี่ยง
- F41.0F6I-2: รับฟังและยอมรับความรู้สึกของผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน
- F41.0F6I-3: ให้ความรู้เกี่ยวกับวงจรความเครียดและผลของการหลีกเลี่ยง
- F41.0F6I-4: แนะนำเทคนิคผ่อนคลาย เช่น หายใจลึก, mindfulness ก่อนเผชิญสถานการณ์ที่กลัว
- F41.0F6I-5: วางแผนร่วมกับผู้ป่วยในการเผชิญสถานการณ์ที่กลัวแบบเป็นขั้นตอน (exposure therapy)
- F41.0F6I-6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยลองทำกิจกรรมเล็ก ๆ ที่เคยหลีกเลี่ยง เช่น ออกไปหน้าบ้าน
- F41.0F6I-7: ชมเชยและให้กำลังใจเมื่อผู้ป่วยมีความพยายามในการเผชิญปัญหา
- F41.0F6I-8: ส่งต่อพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาสำหรับการฝึกพฤติกรรมปรับตัวเพิ่มเติม
- F41.0F6I-9: สนับสนุนให้มีผู้ดูแลหรือญาติร่วมอยู่ในกิจกรรมการเผชิญปัญหาเพื่อสร้างความมั่นใจ
- F41.0F6I-10: ติดตามผลพฤติกรรมการเผชิญสถานการณ์ของผู้ป่วยเป็นระยะ
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F6R-1: ผู้ป่วยสามารถออกจากบ้านและเผชิญสถานการณ์เดิมได้บางส่วน
- F41.0F6R-2: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคผ่อนคลายเมื่อรู้สึกเครียด
- F41.0F6R-3: ผู้ป่วยลดพฤติกรรมการหลีกเลี่ยง และเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ
- F41.0F6R-4: ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกมั่นใจและควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
- F41.0F6R-5: ผู้ป่วยแสดงออกถึงความพร้อมในการเผชิญปัญหาอย่างเหมาะสมมากขึ้น
……………………………………………….
F41.0F7: เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรับประทานยาหรือหยุดยาเอง
(Risk for complications due to medication misuse or nonadherence)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “ไม่อยากกินยา กลัวติด”
- “กินยาแล้วง่วง อยากหยุดเอง”
- “ไม่รู้ว่าต้องกินตลอด หรือแค่ตอนเป็น”
O:
- ผู้ป่วยขาดความรู้เกี่ยวกับยาที่ใช้
- ผู้ป่วยไม่มีตารางการกินยาอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยไม่ได้ติดตามอาการหลังรับประทานยา
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยรับประทานยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอตามแผนการรักษา
- ผู้ป่วยเข้าใจประโยชน์ ผลข้างเคียง และความสำคัญของการรับประทานยา
- ลดความเสี่ยงการหยุดยาเองหรือการใช้ยาไม่เหมาะสม
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายเหตุผลของการใช้ยาได้
- ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการรับประทานยาสม่ำเสมอ
- ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการหยุดยาเองหรือใช้ยาเกินขนาด
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F7I-1: ประเมินความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับยาที่ได้รับ
- F41.0F7I-2: อธิบายข้อมูลยาให้ชัดเจน เช่น ประโยชน์, ผลข้างเคียง, ระยะเวลาในการใช้
- F41.0F7I-3: สร้างความมั่นใจว่าผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักเป็นชั่วคราวและสามารถจัดการได้
- F41.0F7I-4: สอนเทคนิคการจำเวลารับประทานยา เช่น ใช้นาฬิกาเตือน หรือแอปพลิเคชัน
- F41.0F7I-5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องการรักษาร่วมกับแพทย์
- F41.0F7I-6: จัดให้มีตารางติดตามผลการใช้ยาและผลข้างเคียงอย่างสม่ำเสมอ
- F41.0F7I-7: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของญาติหรือผู้ดูแลในการสังเกตและช่วยเตือนรับประทานยา
- F41.0F7I-8: ประเมินเจตคติของผู้ป่วยเกี่ยวกับยาและปรับความเข้าใจหากมีความเข้าใจผิด
- F41.0F7I-9: ให้คำแนะนำเรื่องการหยุดยาที่ปลอดภัยต้องทำร่วมกับแพทย์เท่านั้น
- F41.0F7I-10: ส่งต่อเภสัชกรหรือทีมจิตเวชเพิ่มเติม หากพบพฤติกรรมเสี่ยงต่อการใช้ยาผิด
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F7R-1: ผู้ป่วยรับประทานยาได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่ลืม
- F41.0F7R-2: ผู้ป่วยอธิบายข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับยาที่ใช้ได้อย่างถูกต้อง
- F41.0F7R-3: ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมหยุดยาหรือใช้ยาผิดวิธี
- F41.0F7R-4: ผู้ป่วยร่วมมือในการติดตามอาการและรายงานผลข้างเคียงกับทีมรักษา
- F41.0F7R-5: ผู้ดูแลสามารถช่วยสนับสนุนการใช้ยาได้อย่างเหมาะสม
………………………………………………….
F41.0F8 : ความต้องการการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวหรือบุคคลรอบข้าง
(Need for emotional support from family or caregivers)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “ครอบครัวไม่เข้าใจ ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว”
- “ไม่มีใครอยู่ใกล้เวลารู้สึกกลัว”
- “อยากให้ใครสักคนเข้าใจและช่วยเหลือ”
O:
- ครอบครัวไม่เข้าร่วมดูแลหรือให้กำลังใจ
- ผู้ป่วยแสดงอาการเครียดหรือวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเมื่อขาดการสนับสนุน
- ขาดการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้ป่วยกับครอบครัว
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวหรือผู้ดูแล
- ครอบครัวเข้าใจอาการและวิธีช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเหมาะสม
- เพิ่มความรู้สึกปลอดภัยและลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ครอบครัวหรือผู้ดูแลแสดงการสนับสนุนทางอารมณ์อย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกได้รับความช่วยเหลือและเข้าใจจากคนรอบข้าง
- ผู้ป่วยแสดงอาการวิตกกังวลลดลงในสถานการณ์ที่ได้รับการสนับสนุน
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F8I-1: ประเมินความรู้และความเข้าใจของครอบครัวเกี่ยวกับโรคและอาการของผู้ป่วย
- F41.0F8I-2: ให้คำแนะนำครอบครัวเกี่ยวกับวิธีการสนับสนุนทางอารมณ์ เช่น การฟังอย่างใจเย็นและให้กำลังใจ
- F41.0F8I-3: จัดกิจกรรมอบรมหรือพูดคุยกลุ่มครอบครัวเพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับโรคตื่นตระหนก
- F41.0F8I-4: สนับสนุนให้ครอบครัวเข้าร่วมการวางแผนดูแลและติดตามอาการของผู้ป่วย
- F41.0F8I-5: แนะนำวิธีสื่อสารที่ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลของผู้ป่วย
- F41.0F8I-6: ประสานงานกับทีมสุขภาพจิตหรือกลุ่มสนับสนุนเพื่อเพิ่มเครือข่ายช่วยเหลือ
- F41.0F8I-7: สังเกตและแจ้งทีมสุขภาพเมื่อพบครอบครัวที่มีปัญหาหรือไม่สนับสนุนผู้ป่วยอย่างเหมาะสม
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F8R-1: ครอบครัวแสดงความเข้าใจและให้การสนับสนุนทางอารมณ์แก่ผู้ป่วย
- F41.0F8R-2: ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและมีความมั่นใจในสถานการณ์ที่มีครอบครัวอยู่ด้วย
- F41.0F8R-3: ความวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลงเมื่อได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว
- F41.0F8R-4: มีการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้ป่วยและครอบครัว
- F41.0F8R-5: ครอบครัวเข้าร่วมและมีส่วนร่วมในแผนการดูแลรักษาผู้ป่วย
………………………………………………………
F41.0F9 : มีความพร้อมบางส่วนในการเรียนรู้และฝึกฝนการดูแลตนเอง
(Partial readiness for self-care and learning)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “เริ่มเข้าใจคำแนะนำและอยากลองทำตาม”
- “อยากรู้วิธีควบคุมอาการให้ดีขึ้น”
- “บางครั้งยังรู้สึกกังวลแต่พยายามปรับตัว”
O:
- ผู้ป่วยมีท่าทีเปิดใจฟังและตั้งใจเรียนรู้
- ปฏิบัติตามคำแนะนำบางส่วนได้อย่างถูกต้อง
- มีการตั้งคำถามหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติมในเรื่องการดูแลตนเอง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะในการควบคุมอาการตื่นตระหนก
- ลดความถี่และความรุนแรงของอาการโดยใช้วิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยแสดงทักษะการควบคุมอาการด้วยตนเองได้เพิ่มขึ้น
- สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเองได้อย่างน้อย 70%
- รายงานความรู้สึกควบคุมอาการและความวิตกกังวลได้ดีขึ้น
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F9I-1: ประเมินความเข้าใจและทัศนคติของผู้ป่วยต่อการดูแลตนเอง
- F41.0F9I-2: ให้คำแนะนำและสอนเทคนิคควบคุมอาการ เช่น การหายใจช้า ๆ และการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- F41.0F9I-3: กระตุ้นให้ผู้ป่วยทดลองปฏิบัติและให้คำชมเมื่อปฏิบัติถูกต้อง
- F41.0F9I-4: จัดการประชุมหรือให้ข้อมูลเสริมโดยใช้สื่อที่เข้าใจง่าย เช่น แผ่นพับหรือวิดีโอ
- F41.0F9I-5: สนับสนุนผู้ป่วยตั้งเป้าหมายการดูแลตนเองที่เป็นไปได้จริง
- F41.0F9I-6: ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
- F41.0F9I-7: สร้างความเชื่อมั่นและลดความกลัวในการเรียนรู้ผ่านการสนับสนุนเชิงบวก
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F9R-1: ผู้ป่วยแสดงความตั้งใจและความพร้อมในการเรียนรู้วิธีดูแลตนเองมากขึ้น
- F41.0F9R-2: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคควบคุมอาการในสถานการณ์จริงได้
- F41.0F9R-3: อาการตื่นตระหนกลดลงเมื่อใช้วิธีการดูแลตนเองที่ถูกต้อง
- F41.0F9R-4: ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกมั่นใจและมีแรงจูงใจในการดูแลตนเองมากขึ้น
- F41.0F9R-5: การปฏิบัติการดูแลตนเองมีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
……………………………………………………
F41.0F10 : มีความต้องการวางแผนจำหน่ายและติดตามต่อเนื่องหลังออกจากโรงพยาบาล
(Need for discharge planning and follow-up care)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “อยากกลับบ้านแต่กังวลว่าจะควบคุมอาการไม่ได้”
- “กลัวว่าอาการจะกลับมาอีก”
- “ต้องการความช่วยเหลือจากครอบครัวและทีมแพทย์”
O:
- ผู้ป่วยมีอาการตื่นตระหนกลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำ
- มีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้ยาและการดูแลตนเอง
- ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลและพร้อมให้การสนับสนุน
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยได้รับการวางแผนจำหน่ายที่เหมาะสมและปลอดภัย
- ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้และความเข้าใจในการดูแลหลังจำหน่าย
- มีระบบติดตามอาการและรับบริการต่อเนื่องจากทีมสุขภาพ
- ลดโอกาสเกิดอาการกำเริบหลังออกจากโรงพยาบาล
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายแผนการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาลได้
- นัดหมายการติดตามกับจิตแพทย์หรือผู้ดูแลสุขภาพครบถ้วน
- ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาและการดูแลตนเองหลังจำหน่าย
- ไม่มีเหตุการณ์อาการกำเริบที่รุนแรงในระยะ 1 เดือนหลังจำหน่าย
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F10I-1: ประเมินความพร้อมและความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวในการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาล
- F41.0F10I-2: จัดทำแผนจำหน่ายร่วมกับทีมสุขภาพและผู้ป่วย รวมถึงกำหนดนัดติดตามผล
- F41.0F10I-3: สอนและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
- F41.0F10I-4: ให้คำแนะนำครอบครัวเกี่ยวกับวิธีสนับสนุนและสังเกตอาการผิดปกติ
- F41.0F10I-5: ประสานงานกับจิตแพทย์หรือคลินิกจิตเวชสำหรับการติดตามผล
- F41.0F10I-6: จัดทำเอกสารแผนการดูแลและติดต่อช่องทางฉุกเฉินเมื่อเกิดอาการ
- F41.0F10I-7: กระตุ้นให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการวางแผนและตัดสินใจดูแลตนเอง
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F10R-1: ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเข้าใจและพร้อมในการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาล
- F41.0F10R-2: นัดติดตามและการสื่อสารกับทีมสุขภาพเป็นไปตามแผน
- F41.0F10R-3: ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้ยาและการดูแลตนเองได้ดี
- F41.0F10R-4: ไม่มีเหตุการณ์อาการกำเริบรุนแรงภายในระยะเวลาติดตาม
…………………………………………………………….
เอกสารอ้างอิง (References)
- กรมสุขภาพจิต. (2564). แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรควิตกกังวลและโรคตื่นตระหนก. กระทรวงสาธารณสุข.
- สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย. (2563). คู่มือการดูแลและรักษาผู้ป่วยโรคตื่นตระหนก. กรุงเทพฯ: สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย.
- American Psychiatric Association. (2013). Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (5th ed.). Arlington, VA: American Psychiatric Publishing.
- National Institute for Health and Care Excellence (NICE). (2011). Panic disorder and agoraphobia in adults: Management. NICE Clinical Guideline CG113. Retrieved from https://www.nice.org.uk/guidance/cg113