เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2568

EP.78 จิตเวชหัวข้อ 38 : โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) F41.0


 Psych. Topic 38 : Antisocial Personality : F60.2

🌪 โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) | F41.0

            เมื่อหัวใจเต้นแรง มือสั่น เหงื่อออก โดยไม่รู้สาเหตุ อาจไม่ใช่แค่ความเครียด — แต่อาจเป็น "โรคตื่นตระหนก"

🧠 พยาธิสภาพ / ช่วงอายุที่พบบ่อย

  • โรคนี้เกิดจากการทำงานผิดปกติของสารเคมีในสมอง ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดรุนแรงเกินจริง
  • มักพบในช่วงอายุ 20–45 ปี และพบใน ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

🚨 อาการที่พบบ่อย

  • ใจสั่น เหงื่อออก หายใจไม่ทัน
  • เจ็บหน้าอก หน้ามืด รู้สึกเหมือนจะตาย
  • อาการเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ใช้เวลา 10–30 นาที
  • ❗️หลายคนคิดว่า "เป็นโรคหัวใจ" ทั้งที่ความจริงคือ "โรคตื่นตระหนก"

⚠️ ปัจจัยกระตุ้น

ความเครียดสะสม

  • พันธุกรรม
  • ประสบการณ์เลวร้ายในอดีต
  • การใช้สารเสพติดหรือคาเฟอีนมากเกินไป

💊 การรักษา

  • ยาคลายวิตกกังวล หรือยากลุ่ม SSRI
  • การทำจิตบำบัด (CBT)
  • การฝึกหายใจและการผ่อนคลาย
  • ✔️ รักษาได้ และควบคุมอาการได้ หากพบแพทย์เร็ว

🩺 แนวทางการพยาบาล

  • รับฟังอย่างไม่ตัดสิน
  • อยู่กับผู้ป่วยเมื่อเกิดอาการ
  • แนะนำการหายใจเข้า-ออกลึกๆ ช้าๆ
  • ส่งต่อแพทย์เพื่อประเมินและรักษาต่อเนื่อง

🫶 การดูแลตนเองสำหรับบุคคลทั่วไป

  • ฝึกสมาธิ ผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือเดินเบาๆ
  • หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หากมีอาการบ่อย ควรพบแพทย์ ไม่ต้องอาย เพราะ “ใจคุณก็ต้องการการดูแลเหมือนร่างกาย”

……………………………………………………….

🧡 ดูแลใจ...อย่าปล่อยให้ใจวิ่งหนีตัวเอง
📽 นำความรู้ดีๆ นี้แชร์ต่อ เพราะ “เข้าใจเร็ว = รักษาไว”

💥 "ใจเต้นแรง ไม่ได้แปลว่าคุณกำลัง ‘รัก’ เสมอไป… บางทีมันคือโรคที่หัวใจไม่ได้เป็นต้นเหตุ!"

📌 โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) รู้ก่อน… รอดก่อน
#ตื่นตระหนกไม่ใช่เรื่องเล่นๆ #PanicDisorder #ใจสั่นไม่ใช่โรคหัวใจ #สุขภาพจิตก็สำคัญ #พยาบาลเล่าให้ฟัง #รู้ก่อนป่วย #MentalHealthAwareness #Reelsสุขภาพจิต #โรคจิตเวชต้องรู้ #อย่ามองข้ามใจตัวเอง

……………………………………………………..

🧠 วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) | F41.0

  1. F41.0F1 มีความวิตกกังวลและหวาดกลัวอย่างรุนแรงจนกระทบต่อระบบร่างกาย (Severe anxiety and fear affecting physiological functions) ผู้ป่วยมีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจเร็ว เหงื่อออก และกลัวว่าจะตาย ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
  2. F41.0F2 เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อตนเองจากอาการตื่นตระหนกเฉียบพลัน (Risk for self-harm due to panic attacks) ผู้ป่วยบางรายมีความคิดทำร้ายตนเองหรือหนีออกจากสถานที่เพื่อหลีกเลี่ยงความกลัวเฉียบพลัน
  3. F41.0F3 มีรูปแบบการหายใจไม่ปกติจากความเครียด (Ineffective breathing pattern related to anxiety) หายใจเร็ว ผิวหนังซีด หน้ามืด บางรายมีอาการ Hyperventilation จำเป็นต้องฝึกหายใจช้า-ลึก
  4. F41.0F4 มีความนับถือตนเองต่ำและรู้สึกด้อยคุณค่า (Low self-esteem and negative self-image) ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอ ไม่มีค่า รู้สึกผิดที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
  5. F41.0F5 ขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการดูแลตนเอง (Deficient knowledge about the illness and self-care) ผู้ป่วยไม่เข้าใจอาการของตนเอง และมักเข้าใจผิดว่าเป็นโรคหัวใจหรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ
  6. F41.0F6 มีรูปแบบการเผชิญปัญหาแบบหลีกเลี่ยงหรือไม่เหมาะสม (Ineffective coping related to stress response) ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ไม่กล้าออกจากบ้าน หรือเลิกงาน
  7. F41.0F7 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรับประทานยาหรือหยุดยาเอง (Risk for complications due to medication misuse or nonadherence) ผู้ป่วยอาจหยุดยาเองเพราะกลัวผลข้างเคียง หรือไม่เข้าใจความสำคัญของการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
  8. F41.0F8 มีความต้องการการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวหรือบุคคลรอบข้าง (Need for emotional support from family or caregivers) ครอบครัวอาจไม่เข้าใจอาการของผู้ป่วย ทำให้ขาดแรงสนับสนุนในการดูแลรักษา
  9. F41.0F9 มีความพร้อมบางส่วนในการเรียนรู้และฝึกฝนการดูแลตนเอง (Partial readiness for self-care and learning) ผู้ป่วยเริ่มเปิดใจรับฟังคำแนะนำจากพยาบาลและมีแนวโน้มเรียนรู้วิธีควบคุมอาการได้ดีขึ้น
  10. F41.0F10 มีความต้องการวางแผนจำหน่ายและติดตามต่อเนื่องหลังออกจากโรงพยาบาล (Need for discharge planning and follow-up care) เพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ควรมีการส่งต่อจิตแพทย์ นัดติดตาม และให้ครอบครัวมีส่วนร่วม

……………………………………………………

Bottom of Form

F41.0F1: มีความวิตกกังวลและหวาดกลัวอย่างรุนแรงจนกระทบต่อระบบร่างกาย (Severe anxiety and fear affecting physiological functions)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยบอกว่า “รู้สึกเหมือนจะตาย หายใจไม่ทัน ใจเต้นแรงมาก”

O:

  • หายใจเร็ว RR > 22 ครั้ง/นาที
  • หัวใจเต้นเร็ว HR > 100 bpm
  • มือเย็น เหงื่อออก
  • หน้าซีด กระสับกระส่าย
  • วัดระดับความวิตกกังวล (Anxiety rating scale) สูง

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวลลดลงภายใน 30–60 นาที
  • ระบบการหายใจและการไหลเวียนโลหิตกลับสู่ค่าปกติ
  • ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและสามารถควบคุมอาการได้

📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • RR ≤ 20 ครั้ง/นาที
  • HR ≤ 100 bpm
  • สีผิวและการไหลเวียนดีขึ้น
  • ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคหายใจช้าและบอกว่าสงบขึ้น

🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F41.0F1I-1: ประเมินสัญญาณชีพทุก 15–30 นาทีในระยะที่มีอาการเฉียบพลัน เพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
  • F41.0F1I-2: อยู่กับผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ให้ความรู้สึกปลอดภัยและลดความกลัว
  • F41.0F1I-3: พูดคุยด้วยน้ำเสียงช้า นุ่มนวล ชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสงบลง
  • F41.0F1I-4: แนะนำเทคนิคหายใจช้า-ลึก (deep breathing) หรือการหายใจเข้าทางจมูกออกทางปากช้าๆ
  • F41.0F1I-5: จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบ ปลอดสิ่งกระตุ้น เช่น ปิดโทรทัศน์ ลดแสง
  • F41.0F1I-6: ประเมินระดับความวิตกกังวลซ้ำหลังการแนะนำวิธีผ่อนคลาย
  • F41.0F1I-7: ให้ความรู้ผู้ป่วยว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความวิตก ไม่ใช่โรคร้ายแรง
  • F41.0F1I-8: หากอาการรุนแรงต่อเนื่อง ประสานแพทย์เพื่อให้ยาคลายกังวลตามคำสั่ง

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F41.0F1R-1: ผู้ป่วยหายใจช้าลง RR อยู่ในค่าปกติภายใน 30 นาที
  • F41.0F1R-2: ผู้ป่วยบอกว่า “รู้สึกดีขึ้น ไม่กลัวเหมือนก่อน”
  • F41.0F1R-3: สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ และไม่มีอาการมือสั่น เหงื่อออก
  • F41.0F1R-4: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคหายใจเพื่อควบคุมอาการได้เอง
  • F41.0F1R-5: ผู้ป่วยแสดงออกว่ารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อติดต่อกับพยาบาล

……………………………………………….

F41.0F2 : เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อตนเองจากอาการตื่นตระหนกเฉียบพลัน (Risk for self-harm due to panic attacks)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่า “อยากหนีออกไปจากที่นี่ตอนที่มันเกิดขึ้น”, “รู้สึกไม่ไหวแล้ว เหมือนอยากให้มันจบ”

O:

  • แสดงพฤติกรรมกระสับกระส่าย เดินวน พูดเร็ว
  • เคยมีประวัติพยายามหนีจากสถานการณ์หรือสถานที่
  • มีประวัติเคยทำร้ายตนเองหรือคิดฆ่าตัวตาย
  • คะแนนประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย (Suicide Risk Assessment) อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยปลอดภัย ไม่เกิดอันตรายต่อตนเองในระยะวิกฤต
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมควบคุมตนเองได้เมื่อเกิดอาการ
  • ผู้ป่วยสามารถบอกหรือแสดงออกถึงความต้องการความช่วยเหลือ

📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ไม่มีการทำร้ายตนเองหรือพยายามหลบหนี
  • ผู้ป่วยขอความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม
  • แสดงความสามารถควบคุมอารมณ์และอาการได้ดีขึ้น
  • พฤติกรรมลดความเสี่ยงปรากฏน้อยลงหรือหายไป

🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F41.0F2I-1: ประเมินระดับความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองโดยใช้แบบประเมินที่เชื่อถือได้
  • F41.0F2I-2: เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยอยู่กับผู้ป่วยตลอดช่วงที่มีอาการรุนแรง
  • F41.0F2I-3: เก็บของมีคมหรือสิ่งที่อาจใช้ทำร้ายตนเองออกจากบริเวณผู้ป่วย
  • F41.0F2I-4: พูดคุยกับผู้ป่วยอย่างอ่อนโยน รับฟังโดยไม่ตัดสิน เพื่อให้ผู้ป่วยกล้าเปิดใจ
  • F41.0F2I-5: สอนเทคนิคควบคุมอารมณ์ เช่น หายใจลึก ฝึกสติ (Mindfulness)
  • F41.0F2I-6: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความกลัวหรือความเครียด
  • F41.0F2I-7: ประสานทีมสหวิชาชีพ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา เมื่อพบความเสี่ยงสูง
  • F41.0F2I-8: บันทึกพฤติกรรมและการตอบสนองอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามความคืบหน้า
  • F41.0F2I-9: สอนครอบครัวให้รู้จักสังเกตสัญญาณเตือนและวิธีช่วยเหลือเบื้องต้น
  • F41.0F2I-10: วางแผนความปลอดภัยร่วมกับผู้ป่วยก่อนจำหน่าย (safety plan)

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F41.0F2R-1: ผู้ป่วยไม่แสดงพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือพยายามหลบหนี
  • F41.0F2R-2: ผู้ป่วยพูดว่า “รู้ว่ามีคนอยู่ตรงนี้ รู้สึกปลอดภัยขึ้น”
  • F41.0F2R-3: ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีผ่อนคลายที่เรียนรู้เพื่อลดอาการได้เอง
  • F41.0F2R-4: ครอบครัวเข้าใจและร่วมสังเกตอาการได้
  • F41.0F2R-5: ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการทำแผนความปลอดภัยและยอมรับการติดตามต่อเนื่อง

………………………………………………

🧠 วินิจฉัยการพยาบาล F41.0F3: มีรูปแบบการหายใจไม่ปกติจากความเครียด (Ineffective breathing pattern related to anxiety)

 🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่า “หายใจไม่อิ่ม เหมือนจะขาดใจ”, “ใจสั่น หายใจเร็วมาก”

O:

  • หายใจเร็วมากกว่า 24 ครั้ง/นาที
  • ผิวหนังซีด เหงื่อออก
  • หน้ามืด เวียนศีรษะเล็กน้อย
  • บางรายพบอาการ Hyperventilation (หายใจเร็วและลึกผิดปกติ)
  • ผลวัดค่า O2 saturation อาจปกติหรือสูงกว่าปกติเล็กน้อยในภาวะ hyperventilation

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยหายใจช้าลงและสม่ำเสมอมากขึ้น
  • ผู้ป่วยไม่มีอาการหน้ามืด เวียนหัว หรือรู้สึกหายใจไม่อิ่ม
  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมลมหายใจได้ด้วยตนเองเมื่อมีอาการเกิดขึ้น

📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 12–20 ครั้ง/นาที
  • สีผิวเป็นปกติ ไม่มีอาการซีดหรือหน้ามืด
  • ผู้ป่วยรายงานว่า “รู้สึกหายใจได้ปกติขึ้น”
  • ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคฝึกหายใจได้ด้วยตนเอง

🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F41.0F3I-1: ประเมินอัตราการหายใจ ลักษณะการหายใจ สีผิว และระดับความรู้สึกตัวทุก 2-4 ชั่วโมง
  • F41.0F3I-2: ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งศีรษะสูง (High Fowler’s position) เพื่อให้หายใจสะดวก
  • F41.0F3I-3: อยู่กับผู้ป่วยเพื่อให้ความมั่นใจในขณะเกิดอาการหายใจเร็ว
  • F41.0F3I-4: สอนเทคนิคการหายใจลึก-ช้า เช่น สูดลมหายใจเข้าทางจมูก นับ 1–4 กลั้นหายใจ แล้วหายใจออกทางปากช้า ๆ
  • F41.0F3I-5: ใช้ถุงกระดาษช่วยหายใจ (paper bag technique) กรณีผู้ป่วยมี hyperventilation ชัดเจน (เฉพาะรายที่แพทย์เห็นสมควร)
  • F41.0F3I-6: สังเกตอาการซ้ำของ hyperventilation และความรุนแรงของอาการตื่นตระหนก
  • F41.0F3I-7: ประเมินความรู้ของผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการหายใจผิดปกติและวิธีจัดการ
  • F41.0F3I-8: กระตุ้นให้ผู้ป่วยฝึกหายใจช้า ๆ อย่างสม่ำเสมอเมื่อมีสัญญาณของความวิตกกังวล
  • F41.0F3I-9: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยบันทึกอาการและวิธีรับมือที่ใช้ได้ผล
  • F41.0F3I-10: ให้คำแนะนำครอบครัวเพื่อช่วยเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติของการหายใจ

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F41.0F3R-1: ผู้ป่วยหายใจในอัตราปกติ (12–20 ครั้ง/นาที)
  • F41.0F3R-2: สีผิวผู้ป่วยดูเป็นปกติ ไม่มีเหงื่อออกหรือหน้ามืด
  • F41.0F3R-3: ผู้ป่วยสามารถทำตามเทคนิคหายใจลึกได้เองเมื่อมีอาการ
  • F41.0F3R-4: ผู้ป่วยบอกว่า “รู้สึกหายใจดีขึ้น ไม่เหมือนตอนแรก”
  • F41.0F3R-5: ไม่มีอาการ hyperventilation ซ้ำในช่วงเฝ้าระวัง

…………………………………………………..

 F41.0F4 : มีความนับถือตนเองต่ำและรู้สึกด้อยคุณค่า (Low self-esteem and negative self-image)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • รู้สึกตัวเองไม่มีค่าเลย”
  • ทำไมเราควบคุมตัวเองไม่ได้เลย”
  • เราเป็นภาระให้คนอื่น”

O:

  • มีสีหน้าเศร้าหมอง
  • ไม่สบตา ไม่พูดจา
  • แยกตัว ไม่ร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น
  • บางรายร้องไห้บ่อย

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถแสดงความรู้สึกในเชิงบวกต่อตนเองได้
  • ผู้ป่วยสามารถร่วมกิจกรรมง่าย ๆ กับผู้อื่นได้
  • ผู้ป่วยสามารถรับรู้และยอมรับความสามารถบางด้านของตนเองได้

📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยพูดถึงตนเองด้วยถ้อยคำในเชิงบวกอย่างน้อย 1 ด้าน
  • ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกับผู้อื่นอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
  • ผู้ป่วยพูดคุยกับบุคลากรด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้น
  • สีหน้าและอารมณ์ของผู้ป่วยดูสงบขึ้น

🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F41.0F4I-1: ประเมินคำพูดและพฤติกรรมที่สะท้อนความรู้สึกต่ำต้อยของผู้ป่วยเป็นรายวัน
  • F41.0F4I-2: อยู่ใกล้ชิด ให้ความสนใจ และรับฟังผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน
  • F41.0F4I-3: สนับสนุนให้ผู้ป่วยพูดถึงสิ่งที่ตนทำได้ดีหรือความสามารถของตนเอง
  • F41.0F4I-4: สะท้อนความสำเร็จเล็ก ๆ ที่ผู้ป่วยทำได้ เพื่อเสริมแรงในเชิงบวก
  • F41.0F4I-5: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยร่วมทำกิจกรรมกลุ่มง่าย ๆ ที่ไม่สร้างความกดดัน
  • F41.0F4I-6: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปกติของโรคตื่นตระหนก เพื่อช่วยลดความรู้สึกผิด
  • F41.0F4I-7: ร่วมกับทีมสุขภาพจิตในการวางแผนฟื้นฟูความนับถือตนเองระยะยาว
  • F41.0F4I-8: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยให้ข้อเสนอแนะในการดูแลตนเอง เพื่อเสริมความรู้สึกมีคุณค่า
  • F41.0F4I-9: ชวนผู้ป่วยจดบันทึกสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองในแต่ละวัน
  • F41.0F4I-10: ให้ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีส่วนร่วมสนับสนุนด้านจิตใจในทางสร้างสรรค์

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F41.0F4R-1: ผู้ป่วยพูดถึงตนเองในเชิงบวกอย่างน้อย 1 ด้าน
  • F41.0F4R-2: ผู้ป่วยมีสีหน้าและอารมณ์ดูผ่อนคลายมากขึ้น
  • F41.0F4R-3: ผู้ป่วยเริ่มพูดคุยกับผู้อื่นหรือบุคลากรโดยไม่หลีกเลี่ยง
  • F41.0F4R-4: ผู้ป่วยร่วมกิจกรรมง่าย ๆ ได้โดยไม่ปฏิเสธ
  • F41.0F4R-5: ผู้ป่วยแสดงความหวังหรือแผนในอนาคตแม้เพียงเล็กน้อย

…………………………………………………..

F41.0F5: ขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการดูแลตนเอง (Deficient knowledge about the illness and self-care)
🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • กลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจ”
  • ไม่รู้ว่าอาการที่เป็นเกิดจากอะไร”
  • รู้สึกเหมือนจะตายตอนที่เป็นอาการแบบนี้”

O:

  • ผู้ป่วยแสดงความกังวลทุกครั้งเมื่อมีอาการ
  • ถามซ้ำ ๆ ว่าตนเองจะหายหรือไม่
  • ปฏิเสธการใช้ยาเพราะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยเข้าใจว่าอาการเกิดจากโรคตื่นตระหนก ไม่ใช่โรคทางกายร้ายแรง
  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีรับมือเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการ
  • ผู้ป่วยมีทัศนคติที่ดีขึ้นเกี่ยวกับโรคและการดูแลตนเอง

📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยอธิบายลักษณะอาการของโรคตื่นตระหนกได้อย่างถูกต้อง
  • ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการผ่อนคลายตนเองเมื่อเกิดอาการได้อย่างน้อย 1 วิธี
  • ผู้ป่วยยอมรับแผนการรักษาและเข้าใจวัตถุประสงค์ของยา

🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F41.0F5I-1: ประเมินระดับความรู้ ความเข้าใจ และความเชื่อเดิมเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วย
  • F41.0F5I-2: อธิบายธรรมชาติของโรคตื่นตระหนกอย่างง่าย ให้เข้าใจว่าไม่ใช่โรคร้ายแรง
  • F41.0F5I-3: แสดงภาพหรือวิดีโอประกอบ เพื่อช่วยให้เข้าใจกลไกการเกิดอาการ
  • F41.0F5I-4: ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการเตือนล่วงหน้าและวิธีรับมือ เช่น การหายใจลึก ช้า
  • F41.0F5I-5: สอนเทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจแบบ 4-7-8 หรือ progressive muscle relaxation
  • F41.0F5I-6: แนะนำแนวทางปฏิบัติตนเมื่ออยู่บ้าน เช่น การจดบันทึกอารมณ์/กระตุ้นการผ่อนคลาย
  • F41.0F5I-7: อธิบายวัตถุประสงค์ของยาและวิธีใช้ เพื่อเพิ่มความร่วมมือในการรักษา
  • F41.0F5I-8: จัดกิจกรรมกลุ่มให้ผู้ป่วยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อเรียนรู้จากผู้อื่น
  • F41.0F5I-9: ให้เอกสารสรุปความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคที่อ่านเข้าใจง่าย
  • F41.0F5I-10: ประสานทีมสุขภาพจิตติดตามผลการเรียนรู้และความเข้าใจต่อเนื่อง

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F41.0F5R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายว่าอาการเกิดจากโรคตื่นตระหนก ไม่ใช่โรคหัวใจ
  • F41.0F5R-2: ผู้ป่วยเข้าใจวิธีผ่อนคลายและสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
  • F41.0F5R-3: ผู้ป่วยลดความกลัวตายหรือกลัวโรคร้ายแรงลง
  • F41.0F5R-4: ผู้ป่วยยอมรับและร่วมมือในการใช้ยาและเข้ารับการบำบัด
  • F41.0F5R-5: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจว่า "ตนสามารถรับมือได้หากเกิดอาการอีก"

………………………………………………..

F41.0F6: มีรูปแบบการเผชิญปัญหาแบบหลีกเลี่ยงหรือไม่เหมาะสม (Ineffective coping related to stress response)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ไม่กล้าออกจากบ้าน กลัวจะเป็นอีก”
  • ลาออกจากงาน เพราะเครียดเวลาต้องเจอคนเยอะ”
  • เลี่ยงสถานที่ที่เคยเกิดอาการ”

O:

  • ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมและปฏิเสธกิจกรรมที่เคยทำ
  • ผู้ป่วยมีท่าทีวิตกเมื่อพูดถึงสถานการณ์ที่กระตุ้นอาการ
  • มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงซ้ำ ๆ และแยกตัวมากขึ้น

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่เคยหลีกเลี่ยงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • ผู้ป่วยมีวิธีเผชิญปัญหาที่เหมาะสมกับความเครียด
  • ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้มากขึ้น

📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถเผชิญสถานการณ์ที่กลัวอย่างน้อย 1 สถานการณ์
  • ผู้ป่วยมีทักษะในการจัดการความเครียดด้วยตนเอง
  • ผู้ป่วยลดพฤติกรรมการหลีกเลี่ยงในชีวิตประจำวัน

🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F41.0F6I-1: ประเมินพฤติกรรมการเผชิญปัญหาเดิมและสถานการณ์ที่ผู้ป่วยหลีกเลี่ยง
  • F41.0F6I-2: รับฟังและยอมรับความรู้สึกของผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน
  • F41.0F6I-3: ให้ความรู้เกี่ยวกับวงจรความเครียดและผลของการหลีกเลี่ยง
  • F41.0F6I-4: แนะนำเทคนิคผ่อนคลาย เช่น หายใจลึก, mindfulness ก่อนเผชิญสถานการณ์ที่กลัว
  • F41.0F6I-5: วางแผนร่วมกับผู้ป่วยในการเผชิญสถานการณ์ที่กลัวแบบเป็นขั้นตอน (exposure therapy)
  • F41.0F6I-6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยลองทำกิจกรรมเล็ก ๆ ที่เคยหลีกเลี่ยง เช่น ออกไปหน้าบ้าน
  • F41.0F6I-7: ชมเชยและให้กำลังใจเมื่อผู้ป่วยมีความพยายามในการเผชิญปัญหา
  • F41.0F6I-8: ส่งต่อพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาสำหรับการฝึกพฤติกรรมปรับตัวเพิ่มเติม
  • F41.0F6I-9: สนับสนุนให้มีผู้ดูแลหรือญาติร่วมอยู่ในกิจกรรมการเผชิญปัญหาเพื่อสร้างความมั่นใจ
  • F41.0F6I-10: ติดตามผลพฤติกรรมการเผชิญสถานการณ์ของผู้ป่วยเป็นระยะ

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F41.0F6R-1: ผู้ป่วยสามารถออกจากบ้านและเผชิญสถานการณ์เดิมได้บางส่วน
  • F41.0F6R-2: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคผ่อนคลายเมื่อรู้สึกเครียด
  • F41.0F6R-3: ผู้ป่วยลดพฤติกรรมการหลีกเลี่ยง และเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ
  • F41.0F6R-4: ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกมั่นใจและควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
  • F41.0F6R-5: ผู้ป่วยแสดงออกถึงความพร้อมในการเผชิญปัญหาอย่างเหมาะสมมากขึ้น

……………………………………………….

F41.0F7: เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรับประทานยาหรือหยุดยาเอง (Risk for complications due to medication misuse or nonadherence)
🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ไม่อยากกินยา กลัวติด”
  • กินยาแล้วง่วง อยากหยุดเอง”
  • ไม่รู้ว่าต้องกินตลอด หรือแค่ตอนเป็น”

O:

  • ผู้ป่วยขาดความรู้เกี่ยวกับยาที่ใช้
  • ผู้ป่วยไม่มีตารางการกินยาอย่างสม่ำเสมอ
  • ผู้ป่วยไม่ได้ติดตามอาการหลังรับประทานยา

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยรับประทานยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอตามแผนการรักษา
  • ผู้ป่วยเข้าใจประโยชน์ ผลข้างเคียง และความสำคัญของการรับประทานยา
  • ลดความเสี่ยงการหยุดยาเองหรือการใช้ยาไม่เหมาะสม

📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายเหตุผลของการใช้ยาได้
  • ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการรับประทานยาสม่ำเสมอ
  • ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการหยุดยาเองหรือใช้ยาเกินขนาด

🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F41.0F7I-1: ประเมินความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับยาที่ได้รับ
  • F41.0F7I-2: อธิบายข้อมูลยาให้ชัดเจน เช่น ประโยชน์, ผลข้างเคียง, ระยะเวลาในการใช้
  • F41.0F7I-3: สร้างความมั่นใจว่าผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักเป็นชั่วคราวและสามารถจัดการได้
  • F41.0F7I-4: สอนเทคนิคการจำเวลารับประทานยา เช่น ใช้นาฬิกาเตือน หรือแอปพลิเคชัน
  • F41.0F7I-5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องการรักษาร่วมกับแพทย์
  • F41.0F7I-6: จัดให้มีตารางติดตามผลการใช้ยาและผลข้างเคียงอย่างสม่ำเสมอ
  • F41.0F7I-7: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของญาติหรือผู้ดูแลในการสังเกตและช่วยเตือนรับประทานยา
  • F41.0F7I-8: ประเมินเจตคติของผู้ป่วยเกี่ยวกับยาและปรับความเข้าใจหากมีความเข้าใจผิด
  • F41.0F7I-9: ให้คำแนะนำเรื่องการหยุดยาที่ปลอดภัยต้องทำร่วมกับแพทย์เท่านั้น
  • F41.0F7I-10: ส่งต่อเภสัชกรหรือทีมจิตเวชเพิ่มเติม หากพบพฤติกรรมเสี่ยงต่อการใช้ยาผิด

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F41.0F7R-1: ผู้ป่วยรับประทานยาได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่ลืม
  • F41.0F7R-2: ผู้ป่วยอธิบายข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับยาที่ใช้ได้อย่างถูกต้อง
  • F41.0F7R-3: ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมหยุดยาหรือใช้ยาผิดวิธี
  • F41.0F7R-4: ผู้ป่วยร่วมมือในการติดตามอาการและรายงานผลข้างเคียงกับทีมรักษา
  • F41.0F7R-5: ผู้ดูแลสามารถช่วยสนับสนุนการใช้ยาได้อย่างเหมาะสม

………………………………………………….

F41.0F8 : ความต้องการการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวหรือบุคคลรอบข้าง (Need for emotional support from family or caregivers)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ครอบครัวไม่เข้าใจ ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว”
  • ไม่มีใครอยู่ใกล้เวลารู้สึกกลัว”
  • อยากให้ใครสักคนเข้าใจและช่วยเหลือ”

O:

  • ครอบครัวไม่เข้าร่วมดูแลหรือให้กำลังใจ
  • ผู้ป่วยแสดงอาการเครียดหรือวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเมื่อขาดการสนับสนุน
  • ขาดการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้ป่วยกับครอบครัว

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวหรือผู้ดูแล
  • ครอบครัวเข้าใจอาการและวิธีช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเหมาะสม
  • เพิ่มความรู้สึกปลอดภัยและลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย

📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลแสดงการสนับสนุนทางอารมณ์อย่างสม่ำเสมอ
  • ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกได้รับความช่วยเหลือและเข้าใจจากคนรอบข้าง
  • ผู้ป่วยแสดงอาการวิตกกังวลลดลงในสถานการณ์ที่ได้รับการสนับสนุน

🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F41.0F8I-1: ประเมินความรู้และความเข้าใจของครอบครัวเกี่ยวกับโรคและอาการของผู้ป่วย
  • F41.0F8I-2: ให้คำแนะนำครอบครัวเกี่ยวกับวิธีการสนับสนุนทางอารมณ์ เช่น การฟังอย่างใจเย็นและให้กำลังใจ
  • F41.0F8I-3: จัดกิจกรรมอบรมหรือพูดคุยกลุ่มครอบครัวเพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับโรคตื่นตระหนก
  • F41.0F8I-4: สนับสนุนให้ครอบครัวเข้าร่วมการวางแผนดูแลและติดตามอาการของผู้ป่วย
  • F41.0F8I-5: แนะนำวิธีสื่อสารที่ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลของผู้ป่วย
  • F41.0F8I-6: ประสานงานกับทีมสุขภาพจิตหรือกลุ่มสนับสนุนเพื่อเพิ่มเครือข่ายช่วยเหลือ
  • F41.0F8I-7: สังเกตและแจ้งทีมสุขภาพเมื่อพบครอบครัวที่มีปัญหาหรือไม่สนับสนุนผู้ป่วยอย่างเหมาะสม

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F41.0F8R-1: ครอบครัวแสดงความเข้าใจและให้การสนับสนุนทางอารมณ์แก่ผู้ป่วย
  • F41.0F8R-2: ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและมีความมั่นใจในสถานการณ์ที่มีครอบครัวอยู่ด้วย
  • F41.0F8R-3: ความวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลงเมื่อได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว
  • F41.0F8R-4: มีการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้ป่วยและครอบครัว
  • F41.0F8R-5: ครอบครัวเข้าร่วมและมีส่วนร่วมในแผนการดูแลรักษาผู้ป่วย

………………………………………………………

F41.0F9 : มีความพร้อมบางส่วนในการเรียนรู้และฝึกฝนการดูแลตนเอง (Partial readiness for self-care and learning)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • เริ่มเข้าใจคำแนะนำและอยากลองทำตาม”
  • อยากรู้วิธีควบคุมอาการให้ดีขึ้น”
  • บางครั้งยังรู้สึกกังวลแต่พยายามปรับตัว”

O:

  • ผู้ป่วยมีท่าทีเปิดใจฟังและตั้งใจเรียนรู้
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำบางส่วนได้อย่างถูกต้อง
  • มีการตั้งคำถามหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติมในเรื่องการดูแลตนเอง

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ
  • ผู้ป่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะในการควบคุมอาการตื่นตระหนก
  • ลดความถี่และความรุนแรงของอาการโดยใช้วิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง

📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยแสดงทักษะการควบคุมอาการด้วยตนเองได้เพิ่มขึ้น
  • สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเองได้อย่างน้อย 70%
  • รายงานความรู้สึกควบคุมอาการและความวิตกกังวลได้ดีขึ้น

🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F41.0F9I-1: ประเมินความเข้าใจและทัศนคติของผู้ป่วยต่อการดูแลตนเอง
  • F41.0F9I-2: ให้คำแนะนำและสอนเทคนิคควบคุมอาการ เช่น การหายใจช้า ๆ และการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  • F41.0F9I-3: กระตุ้นให้ผู้ป่วยทดลองปฏิบัติและให้คำชมเมื่อปฏิบัติถูกต้อง
  • F41.0F9I-4: จัดการประชุมหรือให้ข้อมูลเสริมโดยใช้สื่อที่เข้าใจง่าย เช่น แผ่นพับหรือวิดีโอ
  • F41.0F9I-5: สนับสนุนผู้ป่วยตั้งเป้าหมายการดูแลตนเองที่เป็นไปได้จริง
  • F41.0F9I-6: ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
  • F41.0F9I-7: สร้างความเชื่อมั่นและลดความกลัวในการเรียนรู้ผ่านการสนับสนุนเชิงบวก

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F41.0F9R-1: ผู้ป่วยแสดงความตั้งใจและความพร้อมในการเรียนรู้วิธีดูแลตนเองมากขึ้น
  • F41.0F9R-2: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคควบคุมอาการในสถานการณ์จริงได้
  • F41.0F9R-3: อาการตื่นตระหนกลดลงเมื่อใช้วิธีการดูแลตนเองที่ถูกต้อง
  • F41.0F9R-4: ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกมั่นใจและมีแรงจูงใจในการดูแลตนเองมากขึ้น
  • F41.0F9R-5: การปฏิบัติการดูแลตนเองมีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

……………………………………………………

F41.0F10 : มีความต้องการวางแผนจำหน่ายและติดตามต่อเนื่องหลังออกจากโรงพยาบาล (Need for discharge planning and follow-up care)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • อยากกลับบ้านแต่กังวลว่าจะควบคุมอาการไม่ได้”
  • กลัวว่าอาการจะกลับมาอีก”
  • ต้องการความช่วยเหลือจากครอบครัวและทีมแพทย์”

O:

  • ผู้ป่วยมีอาการตื่นตระหนกลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำ
  • มีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้ยาและการดูแลตนเอง
  • ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลและพร้อมให้การสนับสนุน

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยได้รับการวางแผนจำหน่ายที่เหมาะสมและปลอดภัย
  • ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้และความเข้าใจในการดูแลหลังจำหน่าย
  • มีระบบติดตามอาการและรับบริการต่อเนื่องจากทีมสุขภาพ
  • ลดโอกาสเกิดอาการกำเริบหลังออกจากโรงพยาบาล

📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายแผนการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาลได้
  • นัดหมายการติดตามกับจิตแพทย์หรือผู้ดูแลสุขภาพครบถ้วน
  • ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาและการดูแลตนเองหลังจำหน่าย
  • ไม่มีเหตุการณ์อาการกำเริบที่รุนแรงในระยะ 1 เดือนหลังจำหน่าย

🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F41.0F10I-1: ประเมินความพร้อมและความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวในการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาล
  • F41.0F10I-2: จัดทำแผนจำหน่ายร่วมกับทีมสุขภาพและผู้ป่วย รวมถึงกำหนดนัดติดตามผล
  • F41.0F10I-3: สอนและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
  • F41.0F10I-4: ให้คำแนะนำครอบครัวเกี่ยวกับวิธีสนับสนุนและสังเกตอาการผิดปกติ
  • F41.0F10I-5: ประสานงานกับจิตแพทย์หรือคลินิกจิตเวชสำหรับการติดตามผล
  • F41.0F10I-6: จัดทำเอกสารแผนการดูแลและติดต่อช่องทางฉุกเฉินเมื่อเกิดอาการ
  • F41.0F10I-7: กระตุ้นให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการวางแผนและตัดสินใจดูแลตนเอง

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F41.0F10R-1: ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเข้าใจและพร้อมในการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาล
  • F41.0F10R-2: นัดติดตามและการสื่อสารกับทีมสุขภาพเป็นไปตามแผน
  • F41.0F10R-3: ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้ยาและการดูแลตนเองได้ดี
  • F41.0F10R-4: ไม่มีเหตุการณ์อาการกำเริบรุนแรงภายในระยะเวลาติดตาม
F41.0F10R-5: ครอบครัวแสดงความพร้อมและสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยอย่างเหมาะสม

…………………………………………………………….

เอกสารอ้างอิง (References)

  • กรมสุขภาพจิต. (2564). แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรควิตกกังวลและโรคตื่นตระหนก. กระทรวงสาธารณสุข.
  • สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย. (2563). คู่มือการดูแลและรักษาผู้ป่วยโรคตื่นตระหนก. กรุงเทพฯ: สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย.
  • American Psychiatric Association. (2013). Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (5th ed.). Arlington, VA: American Psychiatric Publishing.
  • National Institute for Health and Care Excellence (NICE). (2011). Panic disorder and agoraphobia in adults: Management. NICE Clinical Guideline CG113. Retrieved from https://www.nice.org.uk/guidance/cg113

…………………………………………………..