พยาธิสภาพของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เป็นกลุ่มโรคปอดที่มีลักษณะเฉพาะด้วยการอุดกั้นของทางเดินหายใจที่ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างสมบูรณ์ และมีการเสื่อมถอยของสมรรถภาพปอดอย่างต่อเนื่อง พยาธิสภาพหลักประกอบด้วยการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม การสูญเสียความยืดหยุ่นของปอด (emphysema) และการเพิ่มการหลั่งของเสมหะซึ่งนำไปสู่การตีบแคบของหลอดลมขนาดเล็ก การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการตอบสนองของเนื้อเยื่อปอดต่อสารกระตุ้น เช่น ควันบุหรี่หรือมลพิษในอากาศ ส่งผลให้เกิดการจำกัดการไหลของอากาศเข้า-ออกในปอด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบาก ไอเรื้อรัง มีเสมหะ และอาจเกิดภาวะกำเริบเฉียบพลันเมื่อมีการติดเชื้อหรือสัมผัสสารกระตุ้นมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ลดคุณภาพชีวิตและเพิ่มอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคนี้
การรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
การรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) มุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการ ชะลอการเสื่อมถอยของสมรรถภาพปอด ลดความถี่และความรุนแรงของภาวะกำเริบ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การรักษาหลักประกอบด้วยการเลิกสูบบุหรี่ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด การใช้ยาขยายหลอดลม เช่น ยาเบต้า-อะโกนิสต์ชนิดออกฤทธิ์สั้นหรือยาว (SABA/LABA) และยาต้านโคลิเนอร์จิก (anticholinergics) เพื่อลดการตีบแคบของหลอดลม ในรายที่มีการอักเสบร่วมอาจใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดพ่นร่วมด้วย นอกจากนี้ ยังอาจพิจารณาการรักษาด้วยออกซิเจนในผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องออกซิเจนเรื้อรัง และการฟื้นฟูสมรรถภาพปอด (pulmonary rehabilitation) เช่น การออกกำลังกายและการให้ความรู้ผู้ป่วย สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะกำเริบเฉียบพลัน การรักษาประกอบด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะหากมีการติดเชื้อ การเพิ่มขนาดยาขยายหลอดลม และการให้ออกซิเจนอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ การติดตามอาการและการจัดการปัจจัยเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยลดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมุ่งเน้นที่การบรรเทาอาการ ส่งเสริมการหายใจที่มีประสิทธิภาพ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เริ่มจากการประเมินภาวะการหายใจ เช่น อัตราการหายใจ ความอิ่มตัวของออกซิเจน (SpO₂) และอาการหอบเหนื่อย การดูแลให้ผู้ป่วยอยู่ในท่ากึ่งนั่ง (semi-Fowler’s position) เพื่อช่วยขยายปอดและลดการทำงานของกล้ามเนื้อในการหายใจ สนับสนุนการใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจหรือติดตามการใช้ออกซิเจนให้เหมาะสม นอกจากนี้ การดูแลด้านโภชนาการเป็นสิ่งสำคัญ โดยเน้นอาหารที่มีโปรตีนสูงและพลังงานเพียงพอเพื่อลดการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลิกสูบบุหรี่ การจัดการกับเสมหะ และการฝึกเทคนิคการหายใจ เช่น การหายใจแบบปากจู๋ (pursed-lip breathing) พร้อมส่งเสริมการออกกำลังกายเบาๆ อย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มสมรรถภาพของปอด การให้ความรู้เรื่องการป้องกันภาวะกำเริบและการรับมือกับอาการกำเริบเฉียบพลันเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลแบบองค์รวมที่ยั่งยืน
วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง- J44.9F1: การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่องจากการตีบแคบของหลอดลมและการสะสมเสมหะ:Impaired gas exchange due to airway obstruction and mucus retention
- J44.9F2: การหายใจไม่มีประสิทธิภาพจากกล้ามเนื้อทางเดินหายใจล้า:Ineffective breathing pattern due to respiratory muscle fatigue
- J44.9F3: การเคลียร์ทางเดินหายใจบกพร่องจากการสะสมเสมหะ:Ineffective airway clearance due to mucus accumulation
- J44.9F4: เสี่ยงติดเชื้อในทางเดินหายใจจากการอักเสบเรื้อรังและการสะสมเสมหะ:Risk for respiratory infection due to chronic inflammation and mucus
retention
- J44.9F5: ความทนทานต่อกิจกรรมลดลงจากอาการหายใจลำบาก:Activity intolerance due to dyspnea
- J44.9F6: เสี่ยงภาวะโภชนาการไม่เพียงพอจากการเพิ่มความต้องการพลังงานและอาการหายใจลำบาก:Risk for imbalanced nutrition and dyspnea
- J44.9F7: ความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคเรื้อรังและการหายใจลำบาก:Anxiety related to chronic illness and difficulty breathing
- J44.9F8: ขาดความรู้ในการดูแลตนเองที่บ้าน:Deficient knowledge regarding self-care at home
- J44.9F9: เสี่ยงภาวะกำเริบเฉียบพลันหลังกลับบ้านจากการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา:Risk for acute exacerbation after discharge due to non-adherence to
treatment plan
- J44.9F10: ความสามารถในการรับมือกับโรคเรื้อรังลดลง:Ineffective coping related to chronic illness
- J44.9F11: เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น
หัวใจล้มเหลวด้านขวาจากภาวะขาดออกซิเจนและความดันในหลอดเลือดปอดสูง:Risk for chronic complications, such as right-sided heart failure, due to
persistent hypoxia and pulmonary hypertension
(ตัวเลข F1, I-1, R-1 เป็นเพียงตัวเลขที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การจัดลำดับวินิจฉัยการพยาบาลเป็นไปอย่างมีระบบ
อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม)......................................................J44.9F1:การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่องจากการตีบแคบของหลอดลมและการสะสมเสมหะ:Impaired gas exchange due to airway obstruction and mucus retention
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจลำบาก โดยเฉพาะขณะออกแรง
- มีอาการแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย และรู้สึกอ่อนเพลีย
- อาจมีประวัติการสูบบุหรี่หรือการสัมผัสสารระคายเคือง
Objective
Data (O):
- ค่า SpO₂ ต่ำกว่า 90%
- เสียงหายใจมี wheezing หรือ rhonchi
- สังเกตอาการหอบเหนื่อย (dyspnea) และการใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจ
- ภาวะ cyanosis บริเวณริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
2.
Goals
- ผู้ป่วยมีค่า SpO₂ อยู่ในช่วง 92-96% ภายใน 24 ชั่วโมง
- การหายใจดีขึ้นและไม่มีอาการหอบเหนื่อยเฉียบพลัน
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยมาก
3.
Evaluate Criteria
- SpO₂
ของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 92%
- การฟังปอดไม่มีเสียง wheezing หรือ rhonchi
- อาการเหนื่อยล้าลดลง และไม่มี cyanosis
- ผู้ป่วยสามารถบอกความรู้สึกว่าหายใจได้โล่งขึ้น
4.
Intervention
- J44.9F1I1:
จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่ากึ่งนั่ง (semi-Fowler’s
position) เพื่อลดแรงกดบนปอดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซ
-
J44.9F1I2: ให้การบำบัดออกซิเจน (oxygen therapy) โดยควบคุมให้ระดับ SpO₂ อยู่ระหว่าง 92-96% เพื่อป้องกันภาวะคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง
-
J44.9F1I3: ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาขยายหลอดลม เช่น beta-agonists หรือ anticholinergics ตามคำสั่งแพทย์
-
J44.9F1I4: ช่วยผู้ป่วยฝึกการหายใจแบบปากจู๋ (pursed-lip
breathing) เพื่อลดการอัดคั่งของอากาศในปอดและเพิ่มการหายใจออกอย่างมีประสิทธิภาพ
-
J44.9F1I5: ดูดเสมหะออกจากทางเดินหายใจเมื่อมีการสะสมมากและผู้ป่วยไม่สามารถขับออกเองได้
5.
Response
- J44.9F1R1:
ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ดีขึ้น ค่า SpO₂ เพิ่มขึ้นถึง 92-96%
-
J44.9F1R2: ไม่มีอาการหอบเหนื่อยรุนแรง และการฟังเสียงปอดพบว่าลดเสียง wheezing
-
J44.9F1R3: ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกหายใจโล่งขึ้น และสามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยมาก
-
J44.9F1R4: เสมหะลดลงและไม่มีการอุดตันของทางเดินหายใจ
...........................................................
J44.9F2:
การหายใจไม่มีประสิทธิภาพจากกล้ามเนื้อทางเดินหายใจล้า:Ineffective breathing pattern due to respiratory muscle fatigue
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจลำบากขณะพักหรือทำกิจกรรม
- รู้สึกเหนื่อยง่ายแม้ทำกิจกรรมเบา
- มีอาการแน่นหน้าอกและรู้สึกเหมือนต้องหายใจแรงขึ้น
Objective
Data (O):
- สังเกตการใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจ เช่น กล้ามเนื้อคอและไหล่
- การหายใจมีอัตราเพิ่มขึ้น (>24 ครั้ง/นาที) หรือผิดปกติ
- การเคลื่อนไหวของทรวงอกไม่สม่ำเสมอ
- การฟังเสียงปอดพบว่ามี wheezing หรือ diminished breath
sounds
2.
Goals
- ผู้ป่วยมีรูปแบบการหายใจที่สม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพภายใน 24 ชั่วโมง
- ลดการใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจ
- ลดอาการหายใจลำบากขณะพักหรือทำกิจกรรม
3.
Evaluate Criteria
- อัตราการหายใจลดลงอยู่ในช่วง 12-20 ครั้ง/นาที
- การใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจลดลง และทรวงอกเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยสามารถพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้โดยไม่หยุดหายใจ
- อาการเหนื่อยและหายใจลำบากลดลง
4.
Intervention
- J44.9F2I1:
จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่ากึ่งนั่ง (semi-Fowler’s
position) หรือท่าที่สบายที่สุดเพื่อลดแรงกดบนปอดและช่วยให้หายใจได้ง่ายขึ้น
-
J44.9F2I2: สอนเทคนิคการหายใจลึกและการหายใจแบบปากจู๋ (pursed-lip
breathing) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการหายใจและลดภาวะ hyperinflation ของปอด
-
J44.9F2I3: ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนเพื่อลดความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ
-
J44.9F2I4: ให้ยาขยายหลอดลมตามคำสั่งแพทย์เพื่อช่วยลดการตีบแคบของหลอดลม
-
J44.9F2I5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำการไอที่มีประสิทธิภาพ (effective
coughing) เพื่อลดการสะสมของเสมหะที่อาจเป็นสาเหตุของการหายใจไม่มีประสิทธิภาพ
-
J44.9F2I6: ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ เช่น BiPAP หรือ CPAP หากผู้ป่วยมีภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
5.
Response
- J44.9F2R1:
อัตราการหายใจของผู้ป่วยลดลงอยู่ในช่วงปกติ (12-20 ครั้ง/นาที)
-
J44.9F2R2: การใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจลดลง และการเคลื่อนไหวทรวงอกกลับมาเป็นปกติ
-
J44.9F2R3: ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจได้โล่งขึ้นและไม่มีอาการเหนื่อยขณะพัก
-
J44.9F2R4: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยมาก
-
J44.9F2R5: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคการหายใจที่สอนอย่างมีประสิทธิภาพ
............................................................
J44.9F3:
การเคลียร์ทางเดินหายใจบกพร่องจากการสะสมเสมหะ:Ineffective airway clearance due to mucus accumulation
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานว่ามีเสมหะข้นเหนียว ไม่สามารถขับออกได้เอง
- มีอาการหายใจลำบาก รู้สึกว่าทางเดินหายใจอุดตัน
- รายงานว่ามีเสียงดังขณะหายใจ
Objective
Data (O):
- พบเสียง wheezing หรือ rhonchi จากการฟังปอด
- การไอไม่มีประสิทธิภาพ หรือผู้ป่วยไออย่างต่อเนื่องแต่ไม่สามารถขับเสมหะออกได้
- มีค่า SpO₂ ต่ำกว่า 90%
- การเคลื่อนไหวของทรวงอกไม่สมดุล
2.
Goals
- ผู้ป่วยสามารถเคลียร์เสมหะออกจากทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใน 24 ชั่วโมง
- ลดการสะสมของเสมหะในทางเดินหายใจ
- การหายใจของผู้ป่วยดีขึ้น และไม่มีเสียง wheezing หรือ rhonchi
3.
Evaluate Criteria
- การฟังเสียงปอดไม่มีเสียง rhonchi หรือ wheezing
- ผู้ป่วยสามารถขับเสมหะออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ค่า SpO₂ เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 92%
- ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจโล่งขึ้นและไม่มีอาการอุดตันในทางเดินหายใจ
4.
Intervention
- J44.9F3I1:
จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่า postural drainage เพื่อช่วยให้เสมหะไหลออกจากปอดได้ง่าย
-
J44.9F3I2: กระตุ้นการไอที่มีประสิทธิภาพ (effective
coughing) โดยใช้เทคนิคสอน เช่น huff coughing
-
J44.9F3I3: ให้การพ่นยา (nebulization) ด้วยยาขยายหลอดลมหรือยาละลายเสมหะตามคำสั่งแพทย์
-
J44.9F3I4: ดูดเสมหะออกจากทางเดินหายใจเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถขับออกเองได้
-
J44.9F3I5: ให้การบำบัดด้วยการทำ chest
physiotherapy เช่น การเคาะปอด (percussion) เพื่อช่วยระบายเสมหะ
-
J44.9F3I6: ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างเพียงพอ (ยกเว้นมีข้อห้าม) เพื่อช่วยให้เสมหะบางและขับออกได้ง่าย
-
J44.9F3I7: ให้คำแนะนำผู้ป่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น ควันบุหรี่และมลพิษในอากาศ
5.
Response
- J44.9F3R1:
ผู้ป่วยสามารถขับเสมหะออกได้เองและไม่มีอาการอุดตันในทางเดินหายใจ
-
J44.9F3R2: เสียง wheezing และ rhonchi ลดลงเมื่อฟังปอด
-
J44.9F3R3: ค่า SpO₂ เพิ่มขึ้นถึง 92% หรือมากกว่า
-
J44.9F3R4: ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจโล่งขึ้นและสามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยมาก
-
J44.9F3R5: ไม่มีการสะสมของเสมหะในทางเดินหายใจเมื่อสังเกตจากการหายใจ
.......................................................
J44.9F4:
เสี่ยงติดเชื้อในทางเดินหายใจจากการอักเสบเรื้อรังและการสะสมเสมหะ:Risk for respiratory infection due to chronic inflammation and mucus retention
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยมีประวัติเป็นหวัดหรือการติดเชื้อในทางเดินหายใจบ่อยครั้ง
- รายงานว่ามีเสมหะข้นเหนียวและไอเรื้อรัง
Objective
Data (O):
- พบเสมหะสีเหลืองหรือเขียว ซึ่งบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ
- การฟังปอดพบเสียง wheezing หรือ rhonchi
- มีไข้ต่ำๆ (low-grade fever) หรืออุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 37.5°C
- ค่าเม็ดเลือดขาว (WBC) เพิ่มขึ้นจากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- ผู้ป่วยอ่อนเพลีย ไม่มีแรง และหายใจเร็วผิดปกติ
2.
Goals
- ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วย
- ลดความเสี่ยงจากการสะสมเสมหะและการอักเสบเรื้อรังในทางเดินหายใจ
- ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันและการตอบสนองของร่างกายที่ดี
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยไม่มีอาการหรือสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ไข้ เสมหะสีผิดปกติ หรือหายใจลำบากเพิ่มขึ้น
- ค่าเม็ดเลือดขาว (WBC) อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- เสมหะลดลงและมีลักษณะใสหรือไม่มีเสมหะ
- ผู้ป่วยรายงานว่ามีสุขภาพที่ดีขึ้นและไม่มีอาการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ
4.
Intervention
- J44.9F4I1:
สอนผู้ป่วยให้ล้างมืออย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอเพื่อลดการสัมผัสเชื้อโรค
-
J44.9F4I2: จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดและปลอดเชื้อ เช่น การดูแลเตียงและอุปกรณ์การใช้งาน
-
J44.9F4I3: ส่งเสริมการได้รับวัคซีน เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันปอดบวม
-
J44.9F4I4: ให้การพ่นยา (nebulization) ด้วยยาละลายเสมหะหรือยาขยายหลอดลม เพื่อลดการสะสมของเสมหะ
-
J44.9F4I5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อช่วยให้เสมหะบางลง
-
J44.9F4I6: สอนเทคนิคการไอที่มีประสิทธิภาพเพื่อระบายเสมหะออกจากทางเดินหายใจ
-
J44.9F4I7: เฝ้าระวังอาการของการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง เสมหะสีผิดปกติ หรือหายใจลำบาก
-
J44.9F4I8: ให้ยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อ
-
J44.9F4I9: ประเมินสัญญาณชีพและติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ เช่น ค่าเม็ดเลือดขาว
5.
Response
- J44.9F4R1:
ผู้ป่วยไม่มีไข้ และสัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
-
J44.9F4R2: เสมหะลดลงและไม่มีสีหรือกลิ่นที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อ
-
J44.9F4R3: ผลการตรวจค่าเม็ดเลือดขาว (WBC) อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-
J44.9F4R4: ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจโล่งขึ้น ไม่มีอาการไอเรื้อรังหรืออาการผิดปกติอื่นๆ
-
J44.9F4R5: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการป้องกันการติดเชื้อได้อย่างเหมาะสม
...............................................................
J44.9F5: ความทนทานต่อกิจกรรมลดลงจากอาการหายใจลำบาก:Activity intolerance due to dyspnea
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานว่าเหนื่อยง่ายเมื่อทำกิจกรรมทางกายภาพ เช่น เดิน หรือขึ้นบันได
- รู้สึกหายใจลำบากเมื่อทำกิจกรรมที่ใช้พลังงาน
- ผู้ป่วยแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการหายใจที่ไม่คล่อง
Objective
Data (O):
- ค่า SpO₂ ลดลงในขณะทำกิจกรรม
- หายใจเร็วและตื้น (tachypnea, shallow
breathing) ขณะทำกิจกรรม
- พบการเปลี่ยนแปลงในอัตราการเต้นของหัวใจ (tachycardia) เมื่อทำกิจกรรม
- การเคลื่อนไหวของทรวงอกผิดปกติ
- ผู้ป่วยหยุดทำกิจกรรมเพื่อฟื้นหายใจ
2.
Goals
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้โดยไม่เกิดอาการหายใจลำบาก
- อัตราการหายใจและการเต้นของหัวใจกลับสู่ภาวะปกติภายใน 5 นาทีหลังทำกิจกรรม
- ปรับปรุงความสามารถในการทนทานต่อกิจกรรมทางกายภาพ โดยการออกกำลังกายเบาๆ
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเบาๆ เช่น เดิน หรือขึ้นบันไดได้โดยไม่เกิดอาการเหนื่อยหอบหรือหายใจลำบาก
- ค่า SpO₂ เพิ่มขึ้นถึง 90% หรือมากกว่าในขณะทำกิจกรรม
- ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ลึกขึ้นและมีการฟื้นตัวจากอาการหายใจลำบากหลังจากการทำกิจกรรมภายใน 5 นาที
- ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในอัตราการเต้นของหัวใจหรือการหายใจ
4.
Intervention
- J44.9F5I1:
สอนผู้ป่วยให้พักระหว่างทำกิจกรรมหนัก เช่น เดินหรือทำงานบ้าน เพื่อป้องกันการหายใจลำบาก
-
J44.9F5I2: ส่งเสริมการหายใจแบบลึกและช้า (diaphragmatic
breathing) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซและลดการหายใจตื้น
-
J44.9F5I3: จัดท่าให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สามารถหายใจได้สะดวกขึ้น เช่น ท่านั่งตัวตรง หรือท่ายืนที่เปิดปอด
-
J44.9F5I4: กระตุ้นให้ผู้ป่วยออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเดินเบาๆ หรือการฝึกหายใจเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ
-
J44.9F5I5: แนะนำให้ผู้ป่วยแบ่งการทำกิจกรรมหนักเป็นหลายๆ ครั้งแทนการทำครั้งเดียว
-
J44.9F5I6: ให้ผู้ป่วยได้รับยาขยายหลอดลมตามคำสั่งแพทย์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการหายใจลำบาก
-
J44.9F5I7: สอนให้ผู้ป่วยสังเกตสัญญาณของอาการเหนื่อยหอบและทำการพักหรือหยุดกิจกรรมเมื่อมีอาการเหนื่อยหอบเกิดขึ้น
5.
Response
- J44.9F5R1:
ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวัน เช่น เดินหรือทำงานบ้านได้โดยไม่เกิดอาการหายใจลำบาก
-
J44.9F5R2: ค่า SpO₂ คงที่ที่ระดับ 90% หรือมากกว่าในขณะทำกิจกรรม
-
J44.9F5R3: ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ลึกและช้า (diaphragmatic
breathing) อย่างมีประสิทธิภาพ
-
J44.9F5R4: อัตราการหายใจและการเต้นของหัวใจกลับสู่ภาวะปกติภายใน 5 นาทีหลังจากการทำกิจกรรม
-
J44.9F5R5: ผู้ป่วยรายงานว่ามีการทนทานต่อกิจกรรมทางกายภาพเพิ่มขึ้น และไม่มีอาการเหนื่อยหอบหรือหายใจลำบาก
....................................................................
J44.9F6: เสี่ยงภาวะโภชนาการไม่เพียงพอจากการเพิ่มความต้องการพลังงานและอาการหายใจลำบาก:Risk for imbalanced nutrition and dyspnea
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานว่าไม่ค่อยหิวและมักจะมีอาการหายใจลำบากหลังจากรับประทานอาหาร
- ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยล้าหลังการรับประทานอาหารที่มีปริมาณมาก
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกคลื่นไส้หรือท้องอืดหลังรับประทานอาหาร
- ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติเนื่องจากอาการหายใจลำบาก
- ผู้ป่วยอาจแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักตัวที่ลดลงและการขาดสารอาหาร
Objective
Data (O):
- น้ำหนักตัวลดลงอย่างชัดเจนในช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์หรือเดือน
- สัญญาณชีพไม่ปกติ เช่น อัตราการหายใจเร็ว (tachypnea), อัตราการเต้นของหัวใจเร็ว (tachycardia)
- ค่า BMI ลดลงต่ำกว่าปกติ
- พบสัญญาณของการขาดสารอาหาร เช่น ผิวหนังแห้ง ผมร่วง
- การตรวจปัสสาวะอาจพบสารที่บ่งชี้ถึงการขาดน้ำหรือขาดสารอาหาร
2.
Goals
- ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้เพียงพอเพื่อรองรับความต้องการพลังงานและสารอาหาร
- ลดอาการหายใจลำบากขณะรับประทานอาหาร
- ควบคุมน้ำหนักให้คงที่หรือเพิ่มขึ้นภายใน 2 สัปดาห์
- ผู้ป่วยได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมโดยไม่รู้สึกหายใจลำบาก
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระดับที่ปลอดภัย (ไม่เกิน 5% ของน้ำหนักตัวใน 1 เดือน)
- ค่า BMI คงที่หรือเพิ่มขึ้นในระดับปกติ
- การตรวจสารอาหารและระดับน้ำในร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ไม่มีการสูญเสียกล้ามเนื้อหรือสัญญาณของภาวะโภชนาการไม่เพียงพอ
4.
Intervention
- J44.9F6I1:
ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารให้เป็นมื้อย่อยๆ หลายๆ มื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงการหายใจลำบากหลังรับประทานอาหาร
-
J44.9F6I2: แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงและมีโปรตีนสูง เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม, ไข่, เนื้อสัตว์, หรืออาหารที่เสริมโปรตีน
-
J44.9F6I3: ส่งเสริมการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ แต่ไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไปในขณะรับประทานอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการหายใจลำบาก
-
J44.9F6I4: แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารในที่ที่อากาศไม่ร้อนหรืออบอ้าวเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหายใจลำบาก
-
J44.9F6I5: ให้คำแนะนำในการปรุงอาหารให้มีรสชาติที่ดีขึ้นและกระตุ้นความอยากอาหาร เช่น การปรุงอาหารที่มีรสจัด
-
J44.9F6I6: ให้ผู้ป่วยรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น วิตามิน A, C, D, และแคลเซียม
-
J44.9F6I7: สอนผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการหายใจให้ถูกต้อง เช่น การหายใจลึกๆ ก่อนรับประทานอาหาร
5.
Response
- J44.9F6R1:
ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้นโดยไม่เกิดอาการหายใจลำบาก
-
J44.9F6R2: น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
-
J44.9F6R3: ค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ หรือเพิ่มขึ้นตามที่ตั้งเป้า
-
J44.9F6R4: การตรวจสุขภาพพบว่าไม่มีการขาดสารอาหารหรือภาวะขาดน้ำ
-
J44.9F6R5: ผู้ป่วยรู้สึกพึงพอใจในการรับประทานอาหารและมีพลังงานเพียงพอต่อการทำกิจกรรม
...............................................................
J44.9F7: ความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคเรื้อรังและการหายใจลำบาก:Anxiety related to chronic illness and difficulty breathing
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการหายใจลำบากและอาการที่ไม่ดีขึ้น
- ผู้ป่วยบอกว่ารู้สึกเครียดและกลัวว่าจะไม่สามารถจัดการกับอาการโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้
- ผู้ป่วยมีอาการใจสั่น, หายใจไม่สะดวก, และรู้สึกเครียดในช่วงที่มีการหายใจไม่สะดวก
- ผู้ป่วยบ่งชี้ว่าอาการหายใจลำบากทำให้เครียดมากขึ้น และบางครั้งส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ
Objective
Data (O):
- พบว่าผู้ป่วยมีสัญญาณของความวิตกกังวล เช่น การเคลื่อนไหวกระวนกระวาย, หายใจเร็ว, หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
- การสังเกตสัญญาณของความเครียด เช่น ผู้ป่วยมีเหงื่อออกมาก, กล้ามเนื้อเครียด
- ผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่สะดวกที่ปรากฏในการตรวจสภาพร่างกาย หรือมีอัตราการหายใจเร็ว (tachypnea)
2.
Goals
- ผู้ป่วยสามารถลดความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้องกับอาการโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- ผู้ป่วยมีการหายใจที่สะดวกและควบคุมการหายใจได้
- ผู้ป่วยสามารถจัดการความเครียดจากอาการได้ดีขึ้นและสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น
- ผู้ป่วยมีความรู้สึกมั่นใจและรู้สึกถึงการสนับสนุนจากทีมแพทย์และพยาบาล
- ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้อย่างมีคุณภาพและรู้สึกผ่อนคลายเมื่อมีการหายใจลำบาก
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยรายงานการลดลงของความวิตกกังวลและความเครียด
- ผู้ป่วยสามารถควบคุมการหายใจได้ดีขึ้นโดยการหายใจลึกและหายใจช้า
- ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่ลดความเครียด เช่น การฝึกผ่อนคลาย, การหายใจลึก
- อัตราการหายใจและอัตราการเต้นของหัวใจในระดับปกติเมื่อวัดในระหว่างการดูแล
- ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นและรู้สึกผ่อนคลายในช่วงเวลานอน
4.
Intervention
- J44.9F7I1:
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการหายใจที่ช่วยลดความเครียด เช่น การหายใจแบบลึกๆ และการหายใจช้า เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้ดีขึ้นและลดความวิตกกังวล
-
J44.9F7I2: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ, การฟังเพลงเบาๆ, หรือการทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การอ่านหนังสือ
-
J44.9F7I3: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการเข้าใจและยอมรับภาวะสุขภาพเรื้อรังเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีทัศนคติเชิงบวกและลดความวิตกกังวล
-
J44.9F7I4: จัดหาสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและปลอดภัยเพื่อช่วยลดสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้ผู้ป่วยเครียดมากขึ้น
-
J44.9F7I5: สนับสนุนผู้ป่วยในการพูดคุยเกี่ยวกับความวิตกกังวลและอาการที่เป็นปัญหา โดยการให้คำปรึกษาหรือการช่วยเหลือในด้านจิตใจ
-
J44.9F7I6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยใช้การรักษาเสริม เช่น การใช้ยาลดความวิตกกังวลตามที่แพทย์สั่ง
5.
Response
- J44.9F7R1:
ผู้ป่วยสามารถบอกได้ว่าอาการวิตกกังวลลดลงและสามารถควบคุมความเครียดได้ดีขึ้น
-
J44.9F7R2: ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ลึกและช้าโดยไม่รู้สึกหายใจไม่สะดวก
-
J44.9F7R3: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่แสดงถึงการลดความเครียด เช่น การผ่อนคลายหรือการใช้เทคนิคการหายใจ
-
J44.9F7R4: สัญญาณชีพกลับสู่ภาวะปกติ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจในระดับปกติ
-
J44.9F7R5: ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นและรู้สึกผ่อนคลายเมื่อมีการหายใจลำบาก
.................................................................
J44.9F8: ขาดความรู้ในการดูแลตนเองที่บ้าน:Deficient knowledge regarding self-care at home
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยแสดงความไม่แน่ใจเกี่ยวกับวิธีการใช้ยาที่แพทย์สั่งและไม่ทราบวิธีการใช้ออกซิเจนที่บ้าน
- ผู้ป่วยกล่าวว่ามีความสับสนเกี่ยวกับวิธีการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการของโรคลุกลาม
- ผู้ป่วยไม่ทราบถึงขั้นตอนในการตรวจเช็กอาการหรือวิธีการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโรคในแต่ละวัน
- ผู้ป่วยมีความกังวลเกี่ยวกับการดูแลตัวเองที่บ้านและกลัวว่าจะทำไม่ถูก
Objective
Data (O):
- พบว่าผู้ป่วยไม่มีความเข้าใจในวิธีการใช้ยาหรือการใช้เครื่องช่วยหายใจหรือออกซิเจน
- ผู้ป่วยไม่สามารถแสดงการใช้ยาที่ถูกต้อง หรือแสดงการใช้เครื่องช่วยหายใจอย่างไม่เหมาะสม
- ผู้ป่วยไม่สามารถระบุสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการอักเสบหรือการหายใจลำบากได้
- ไม่มีการบันทึกหรือการติดตามอาการและการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ
2.
Goals
- ผู้ป่วยมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, การใช้ยา, การใช้ออกซิเจน, และการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
- ผู้ป่วยสามารถใช้ยาตามแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องและสามารถปรับการใช้ยาตามอาการที่เปลี่ยนแปลง
- ผู้ป่วยสามารถใช้ออกซิเจนที่บ้านได้อย่างถูกต้อง
- ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการหายใจลำบากและอาการที่แย่ลง
- ผู้ป่วยมีความรู้และความมั่นใจในการดูแลตัวเองที่บ้าน
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง และบอกวิธีการใช้ออกซิเจนที่บ้าน
- ผู้ป่วยสามารถระบุสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการของโรค
- ผู้ป่วยสามารถแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามแผนการรักษาและการใช้ยาอย่างถูกต้อง
- ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการจัดการกับอาการที่เปลี่ยนแปลงและวิธีการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
- ผู้ป่วยมีการบันทึกหรือมีแผนการติดตามอาการและการใช้ยา
4.
Intervention
- J44.9F8I1:
ให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและการจัดการโรคเบื้องต้น รวมถึงการใช้ยาที่ถูกต้องและการใช้ออกซิเจนที่บ้าน
-
J44.9F8I2: สอนวิธีการใช้ยาและออกซิเจนอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งสาธิตและฝึกฝนจนผู้ป่วยสามารถทำได้เอง
-
J44.9F8I3: แนะนำให้ผู้ป่วยมีแผนการติดตามอาการและใช้บันทึกการใช้ยา เพื่อช่วยในการติดตามผลการรักษาและสังเกตการเปลี่ยนแปลงของโรค
-
J44.9F8I4: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการหายใจลำบาก เช่น ควันบุหรี่, ฝุ่นละออง, และสารระคายเคืองอื่นๆ และแนะนำวิธีหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้
-
J44.9F8I5: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลตนเองเมื่อเกิดอาการแย่ลง เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ, การใช้ยาฉุกเฉิน, หรือการไปพบแพทย์
-
J44.9F8I6: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยเข้าใจการรักษาด้วยออกซิเจนและวิธีการใช้ออกซิเจนที่บ้าน รวมถึงการดูแลเครื่องมือที่ใช้
-
J44.9F8I7: ให้ผู้ป่วยเข้าร่วมการเรียนรู้กลุ่มหรือการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคเดียวกัน เพื่อเพิ่มความเข้าใจและการจัดการโรคที่ดีขึ้น
5.
Response
- J44.9F8R1:
ผู้ป่วยสามารถอธิบายการใช้ยาที่ถูกต้องและแสดงให้เห็นถึงการใช้ยาที่เหมาะสม
-
J44.9F8R2: ผู้ป่วยสามารถใช้ออกซิเจนที่บ้านอย่างถูกต้องและปฏิบัติตามแผนการรักษา
-
J44.9F8R3: ผู้ป่วยสามารถระบุสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดอาการแย่ลงและสามารถหลีกเลี่ยงได้
-
J44.9F8R4: ผู้ป่วยสามารถบันทึกอาการและการใช้ยาได้อย่างถูกต้องและมีแผนการติดตามผล
-
J44.9F8R5: ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการดูแลตนเองที่บ้านและสามารถตัดสินใจในกรณีที่อาการแย่ลงได้เอง
...........................................................
J44.9F9: เสี่ยงภาวะกำเริบเฉียบพลันหลังกลับบ้านจากการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา:Risk for acute exacerbation after discharge due to non-adherence to treatment plan
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรู้สึกหายใจลำบากโดยเฉพาะในตอนกลางคืนหรือหลังการออกแรง
- ผู้ป่วยกล่าวว่ามีเสมหะสะสมมากในหลอดลมและมักจะต้องพยายามขับเสมหะออก
- ผู้ป่วยมีอาการไอเรื้อรังและหายใจเสียงดัง (wheezing)
- ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจไม่อิ่มหรือรู้สึกขาดอากาศ
Objective
Data (O):
- อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น (>24 ครั้ง/นาที) หรืออาการหายใจติดขัด
- ค่าออกซิเจนในเลือดลดลง (SpO2 < 90%)
- พบเสมหะที่มีลักษณะข้นและเป็นสีเหลืองหรือเขียว
- เสียงฟังจากปอดมีเสียง wheezing หรือ crackles
- การขยายของปอดลดลงในทางรังสีหรือการตรวจทางคลินิก
2.
Goals
- ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ดีขึ้นและมีระดับออกซิเจนในเลือดที่สูงขึ้น (SpO2 ≥ 90%)
- ผู้ป่วยสามารถขับเสมหะออกจากทางเดินหายใจได้ดีขึ้น
- ลดอาการหายใจลำบากและเสียง wheezing ในผู้ป่วย
- ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการสะสมของเสมหะ เช่น การติดเชื้อในปอด
- ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคการหายใจที่เหมาะสมเพื่อช่วยในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยสามารถหายใจได้สะดวกขึ้นและระดับออกซิเจนในเลือดคงที่หรือเพิ่มขึ้น
- ผู้ป่วยสามารถขับเสมหะได้ง่ายขึ้นและไม่มีอาการเสมหะเกาะติดในหลอดลม
- ไม่มีเสียง wheezing หรือ crackles ในการฟังปอด
- ค่า SpO2 ≥ 90% อย่างต่อเนื่องและไม่มีอาการหายใจลำบาก
- การติดตามอาการของการเกิดภาวะทางเดินหายใจติดเชื้อลดลง
4.
Intervention
- J44.9F9I1:
ให้ผู้ป่วยใช้เทคนิคการหายใจเช่น pursed-lip
breathing เพื่อลดการตีบแคบของหลอดลมและเพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
-
J44.9F9I2: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการขับเสมหะออกจากทางเดินหายใจ เช่น การใช้แรงไอหรือการทำ postural drainage
-
J44.9F9I3: ให้ผู้ป่วยใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ เช่น เครื่องช่วยหายใจแบบ CPAP หรือ BiPAP เพื่อลดการสะสมของเสมหะและช่วยในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
-
J44.9F9I4: ติดตามระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) และปรับการใช้ออกซิเจนเพื่อให้มีระดับออกซิเจนที่เหมาะสม (≥ 90%)
-
J44.9F9I5: ให้การรักษาด้วยยาเช่น bronchodilators หรือ corticosteroids ตามคำสั่งแพทย์เพื่อบรรเทาอาการตีบแคบของหลอดลม
-
J44.9F9I6: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดการสะสมของเสมหะ เช่น ควันบุหรี่, ฝุ่น, และสารระคายเคือง
5.
Response
- J44.9F9R1:
ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคการหายใจได้อย่างถูกต้องและพบว่าการหายใจดีขึ้น
-
J44.9F9R2: เสมหะถูกขับออกจากทางเดินหายใจได้ดีขึ้นและไม่มีเสมหะสะสมอยู่ในหลอดลม
-
J44.9F9R3: ผู้ป่วยสามารถหายใจได้สะดวกขึ้น โดยมีเสียงหายใจที่นุ่มนวลและไม่มีเสียง wheezing
-
J44.9F9R4: ค่า SpO2 คงที่ ≥ 90% และผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจลำบากในช่วงการตรวจประจำ
-
J44.9F9R5: ไม่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจในระยะเวลาที่ทำการรักษา
.................................................................
J44.9F10: ความสามารถในการรับมือกับโรคเรื้อรังลดลง:Ineffective coping related to chronic illness
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรู้สึกเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันจากการเจ็บป่วย
- ผู้ป่วยกล่าวว่ามีความยากลำบากในการปรับตัวกับข้อจำกัดที่เกิดจากการหายใจลำบาก
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกสิ้นหวังและขาดความเชื่อมั่นในการควบคุมอาการของโรค
- ผู้ป่วยอาจรายงานว่าไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้เหมือนเดิม
Objective
Data (O):
- พบว่าผู้ป่วยมีอารมณ์เศร้า เครียด หรือวิตกกังวลที่เห็นได้ชัด
- พบอาการจากการพยายามปรับตัวกับการใช้ยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ที่อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกท้อแท้
- มีการลดลงของความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การเดินหรือการออกกำลังกาย
2.
Goals
- ผู้ป่วยจะสามารถระบุและพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับโรคเรื้อรังได้
- ผู้ป่วยจะสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดความวิตกกังวลและเพิ่มความมั่นใจในการดูแลตนเอง
- ผู้ป่วยสามารถเข้าใจและจัดการกับอาการของโรคได้ดีขึ้น
- ผู้ป่วยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันได้และมีความพึงพอใจในการดำเนินชีวิต
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยสามารถแสดงทักษะในการรับมือกับสถานการณ์โรคเรื้อรัง เช่น การพูดถึงความรู้สึกและวิธีการจัดการกับความเครียด
- ผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้และมีการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้นหลังการปรับตัว
- ผู้ป่วยมีระดับความวิตกกังวลลดลง และสามารถรับมือกับการใช้ยาและการดูแลตัวเองได้
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ หรือใกล้เคียงกับระดับที่เคยทำได้ก่อนป่วย
4.
Intervention
- J44.9F10I1:
ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการรับมือกับโรคเรื้อรังโดยการพูดคุยเพื่อระบายความรู้สึกและความวิตกกังวล
-
J44.9F10I2: สอนผู้ป่วยวิธีการปรับพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพ เช่น การปรับการออกกำลังกายตามความสามารถและการควบคุมการหายใจ
-
J44.9F10I3: แนะนำการฝึกสมาธิหรือการผ่อนคลายเพื่อช่วยลดความวิตกกังวล เช่น การหายใจลึกๆ หรือการทำโยคะ
-
J44.9F10I4: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาและการดูแลตัวเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการควบคุมโรค
-
J44.9F10I5: ส่งเสริมการเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือการให้คำปรึกษาในเรื่องสุขภาพจิตเพื่อสนับสนุนการรับมือกับโรคเรื้อรัง
-
J44.9F10I6: ตรวจสอบและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตได้ปกติ
5.
Response
- J44.9F10R1:
ผู้ป่วยสามารถพูดถึงวิธีการรับมือกับความเครียดและอารมณ์ที่เกิดจากโรคได้อย่างชัดเจน
-
J44.9F10R2: ผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและใช้ทักษะในการจัดการกับโรคได้ดีขึ้น
-
J44.9F10R3: ความวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลง โดยสามารถจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกของตนเองได้อย่างเหมาะสม
-
J44.9F10R4: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้มากขึ้น เช่น การเดิน, ทำอาหาร, และการออกกำลังกายเบาๆ
-
J44.9F10R5: ผู้ป่วยแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและสามารถดำเนินชีวิตได้ตามวิถีชีวิตใหม่ที่ได้ปรับตัวตามความสามารถ
...............................................................................
J44.9F11: เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น หัวใจล้มเหลวด้านขวาจากภาวะขาดออกซิเจนและความดันในหลอดเลือดปอดสูง:Risk for chronic complications, such as right-sided heart failure, due to persistent hypoxia and pulmonary hypertension
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบและหายใจลำบากหลังจากทำกิจกรรมเล็กน้อย
- ผู้ป่วยอาจรายงานการมีอาการบวมที่ขาหรือข้อเท้า ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของหัวใจล้มเหลวด้านขวา
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกเวียนศีรษะหรือมีอาการเจ็บหน้าอกเล็กน้อยเมื่อมีการเคลื่อนไหวที่มากขึ้น
- ผู้ป่วยอาจรายงานอาการเหนื่อยหอบที่ไม่หายขาดแม้หลังจากพัก
Objective
Data (O):
- พบอัตราการหายใจที่สูงผิดปกติ
- พบการบวมที่ขาหรือข้อเท้า
- การวัดออกซิเจนในเลือด (Oxygen saturation)
ต่ำกว่าปกติ
- พบการขยายตัวของหลอดเลือดดำที่คอ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลวด้านขวา
- การทดสอบการหายใจพบการลดลงของอัตราการไหลเวียนของเลือดในปอด
2.
Goals
- ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจพบภาวะแทรกซ้อนจากการขาดออกซิเจนและความดันในหลอดเลือดปอด
- ผู้ป่วยจะสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- ผู้ป่วยจะสามารถรักษาความดันโลหิตในปอดให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
- ผู้ป่วยจะมีออกซิเจนในเลือดในระดับปกติและลดความเสี่ยงจากภาวะหัวใจล้มเหลวด้านขวา
3.
Evaluate Criteria
- การตรวจพบและป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการขาดออกซิเจน เช่น การตรวจเช็คค่าออกซิเจนในเลือดและการติดตามความดันในหลอดเลือดปอด
- ผู้ป่วยสามารถรักษาระดับออกซิเจนในเลือดให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย โดยการใช้เครื่องช่วยหายใจตามคำแนะนำของแพทย์
- ผู้ป่วยมีอาการบวมลดลงและสามารถทำกิจกรรมได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหอบหรือเวียนศีรษะ
- ผู้ป่วยมีการติดตามผลสุขภาพที่ดีขึ้นและสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตได้ เช่น การออกกำลังกายเบา ๆ และการควบคุมอาหาร
4.
Intervention
- J44.9F11I1:
ตรวจสอบระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) อย่างสม่ำเสมอและปรับการใช้เครื่องช่วยหายใจตามคำแนะนำจากแพทย์
-
J44.9F11I2: ให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษาที่กำหนด เช่น การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการและการใช้ยาในการลดความดันในหลอดเลือดปอด
-
J44.9F11I3: แนะนำการควบคุมอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลดการบริโภคเกลือและน้ำตาล
-
J44.9F11I4: ส่งเสริมการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการหายใจและลดความเสี่ยงจากการเกิดหัวใจล้มเหลว
-
J44.9F11I5: แนะนำให้ผู้ป่วยงดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่สามารถทำให้โรค COPD เลวร้ายลง
-
J44.9F11I6: จัดการการติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดออกซิเจนและความดันในหลอดเลือดปอดสูง
5.
Response
- J44.9F11R1:
ผู้ป่วยมีออกซิเจนในเลือดที่เพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับที่ปลอดภัย (SpO2 ≥ 90%)
-
J44.9F11R2: อาการบวมที่ขาหรือข้อเท้าลดลงอย่างเห็นได้ชัดและสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
-
J44.9F11R3: ความดันในหลอดเลือดปอดลดลงและผู้ป่วยสามารถดำเนินกิจกรรมประจำวันที่เคยทำได้ก่อนมีอาการเหนื่อยหอบ
-
J44.9F11R4: ผู้ป่วยสามารถควบคุมโรค COPD และป้องกันภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้ดีขึ้นตามคำแนะนำจากทีมแพทย์
-
J44.9F11R5: ผู้ป่วยมีความเข้าใจในการดูแลสุขภาพตนเองและสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติหลังจากปรับปรุงพฤติกรรมการดูแลตัวเอง
………………………………………
อำภัย อินดี
- J44.9F1: การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่องจากการตีบแคบของหลอดลมและการสะสมเสมหะ:Impaired gas exchange due to airway obstruction and mucus retention
- J44.9F2: การหายใจไม่มีประสิทธิภาพจากกล้ามเนื้อทางเดินหายใจล้า:Ineffective breathing pattern due to respiratory muscle fatigue
- J44.9F3: การเคลียร์ทางเดินหายใจบกพร่องจากการสะสมเสมหะ:Ineffective airway clearance due to mucus accumulation
- J44.9F4: เสี่ยงติดเชื้อในทางเดินหายใจจากการอักเสบเรื้อรังและการสะสมเสมหะ:Risk for respiratory infection due to chronic inflammation and mucus retention
- J44.9F5: ความทนทานต่อกิจกรรมลดลงจากอาการหายใจลำบาก:Activity intolerance due to dyspnea
- J44.9F6: เสี่ยงภาวะโภชนาการไม่เพียงพอจากการเพิ่มความต้องการพลังงานและอาการหายใจลำบาก:Risk for imbalanced nutrition and dyspnea
- J44.9F7: ความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคเรื้อรังและการหายใจลำบาก:Anxiety related to chronic illness and difficulty breathing
- J44.9F8: ขาดความรู้ในการดูแลตนเองที่บ้าน:Deficient knowledge regarding self-care at home
- J44.9F9: เสี่ยงภาวะกำเริบเฉียบพลันหลังกลับบ้านจากการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา:Risk for acute exacerbation after discharge due to non-adherence to treatment plan
- J44.9F10: ความสามารถในการรับมือกับโรคเรื้อรังลดลง:Ineffective coping related to chronic illness
- J44.9F11: เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น หัวใจล้มเหลวด้านขวาจากภาวะขาดออกซิเจนและความดันในหลอดเลือดปอดสูง:Risk for chronic complications, such as right-sided heart failure, due to persistent hypoxia and pulmonary hypertension
J44.9F1:การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่องจากการตีบแคบของหลอดลมและการสะสมเสมหะ:Impaired gas exchange due to airway obstruction and mucus retention
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจลำบาก โดยเฉพาะขณะออกแรง
- มีอาการแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย และรู้สึกอ่อนเพลีย
- อาจมีประวัติการสูบบุหรี่หรือการสัมผัสสารระคายเคือง
Objective
Data (O):
- ค่า SpO₂ ต่ำกว่า 90%
- เสียงหายใจมี wheezing หรือ rhonchi
- สังเกตอาการหอบเหนื่อย (dyspnea) และการใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจ
- ภาวะ cyanosis บริเวณริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
2.
Goals
- ผู้ป่วยมีค่า SpO₂ อยู่ในช่วง 92-96% ภายใน 24 ชั่วโมง
- การหายใจดีขึ้นและไม่มีอาการหอบเหนื่อยเฉียบพลัน
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยมาก
3.
Evaluate Criteria
- SpO₂ ของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 92%
- การฟังปอดไม่มีเสียง wheezing หรือ rhonchi
- อาการเหนื่อยล้าลดลง และไม่มี cyanosis
- ผู้ป่วยสามารถบอกความรู้สึกว่าหายใจได้โล่งขึ้น
4.
Intervention
- J44.9F1I1: จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่ากึ่งนั่ง (semi-Fowler’s position) เพื่อลดแรงกดบนปอดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซ
- J44.9F1I2: ให้การบำบัดออกซิเจน (oxygen therapy) โดยควบคุมให้ระดับ SpO₂ อยู่ระหว่าง 92-96% เพื่อป้องกันภาวะคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง
- J44.9F1I3: ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาขยายหลอดลม เช่น beta-agonists หรือ anticholinergics ตามคำสั่งแพทย์
- J44.9F1I4: ช่วยผู้ป่วยฝึกการหายใจแบบปากจู๋ (pursed-lip breathing) เพื่อลดการอัดคั่งของอากาศในปอดและเพิ่มการหายใจออกอย่างมีประสิทธิภาพ
- J44.9F1I5: ดูดเสมหะออกจากทางเดินหายใจเมื่อมีการสะสมมากและผู้ป่วยไม่สามารถขับออกเองได้
5.
Response
- J44.9F1R1: ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ดีขึ้น ค่า SpO₂ เพิ่มขึ้นถึง 92-96%
- J44.9F1R2: ไม่มีอาการหอบเหนื่อยรุนแรง และการฟังเสียงปอดพบว่าลดเสียง wheezing
- J44.9F1R3: ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกหายใจโล่งขึ้น และสามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยมาก
- J44.9F1R4: เสมหะลดลงและไม่มีการอุดตันของทางเดินหายใจ
...........................................................
J44.9F2: การหายใจไม่มีประสิทธิภาพจากกล้ามเนื้อทางเดินหายใจล้า:Ineffective breathing pattern due to respiratory muscle fatigue
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจลำบากขณะพักหรือทำกิจกรรม
- รู้สึกเหนื่อยง่ายแม้ทำกิจกรรมเบา
- มีอาการแน่นหน้าอกและรู้สึกเหมือนต้องหายใจแรงขึ้น
Objective
Data (O):
- สังเกตการใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจ เช่น กล้ามเนื้อคอและไหล่
- การหายใจมีอัตราเพิ่มขึ้น (>24 ครั้ง/นาที) หรือผิดปกติ
- การเคลื่อนไหวของทรวงอกไม่สม่ำเสมอ
- การฟังเสียงปอดพบว่ามี wheezing หรือ diminished breath sounds
2.
Goals
- ผู้ป่วยมีรูปแบบการหายใจที่สม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพภายใน 24 ชั่วโมง
- ลดการใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจ
- ลดอาการหายใจลำบากขณะพักหรือทำกิจกรรม
3.
Evaluate Criteria
- อัตราการหายใจลดลงอยู่ในช่วง 12-20 ครั้ง/นาที
- การใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจลดลง และทรวงอกเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยสามารถพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้โดยไม่หยุดหายใจ
- อาการเหนื่อยและหายใจลำบากลดลง
4.
Intervention
- J44.9F2I1: จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่ากึ่งนั่ง (semi-Fowler’s position) หรือท่าที่สบายที่สุดเพื่อลดแรงกดบนปอดและช่วยให้หายใจได้ง่ายขึ้น
- J44.9F2I2: สอนเทคนิคการหายใจลึกและการหายใจแบบปากจู๋ (pursed-lip breathing) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการหายใจและลดภาวะ hyperinflation ของปอด
- J44.9F2I3: ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนเพื่อลดความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ
- J44.9F2I4: ให้ยาขยายหลอดลมตามคำสั่งแพทย์เพื่อช่วยลดการตีบแคบของหลอดลม
- J44.9F2I5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำการไอที่มีประสิทธิภาพ (effective coughing) เพื่อลดการสะสมของเสมหะที่อาจเป็นสาเหตุของการหายใจไม่มีประสิทธิภาพ
- J44.9F2I6: ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ เช่น BiPAP หรือ CPAP หากผู้ป่วยมีภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
5.
Response
- J44.9F2R1: อัตราการหายใจของผู้ป่วยลดลงอยู่ในช่วงปกติ (12-20 ครั้ง/นาที)
- J44.9F2R2: การใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจลดลง และการเคลื่อนไหวทรวงอกกลับมาเป็นปกติ
- J44.9F2R3: ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจได้โล่งขึ้นและไม่มีอาการเหนื่อยขณะพัก
- J44.9F2R4: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยมาก
- J44.9F2R5: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคการหายใจที่สอนอย่างมีประสิทธิภาพ
............................................................
J44.9F3: การเคลียร์ทางเดินหายใจบกพร่องจากการสะสมเสมหะ:Ineffective airway clearance due to mucus accumulation
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานว่ามีเสมหะข้นเหนียว ไม่สามารถขับออกได้เอง
- มีอาการหายใจลำบาก รู้สึกว่าทางเดินหายใจอุดตัน
- รายงานว่ามีเสียงดังขณะหายใจ
Objective
Data (O):
- พบเสียง wheezing หรือ rhonchi จากการฟังปอด
- การไอไม่มีประสิทธิภาพ หรือผู้ป่วยไออย่างต่อเนื่องแต่ไม่สามารถขับเสมหะออกได้
- มีค่า SpO₂ ต่ำกว่า 90%
- การเคลื่อนไหวของทรวงอกไม่สมดุล
2.
Goals
- ผู้ป่วยสามารถเคลียร์เสมหะออกจากทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใน 24 ชั่วโมง
- ลดการสะสมของเสมหะในทางเดินหายใจ
- การหายใจของผู้ป่วยดีขึ้น และไม่มีเสียง wheezing หรือ rhonchi
3.
Evaluate Criteria
- การฟังเสียงปอดไม่มีเสียง rhonchi หรือ wheezing
- ผู้ป่วยสามารถขับเสมหะออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ค่า SpO₂ เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 92%
- ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจโล่งขึ้นและไม่มีอาการอุดตันในทางเดินหายใจ
4.
Intervention
- J44.9F3I1: จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่า postural drainage เพื่อช่วยให้เสมหะไหลออกจากปอดได้ง่าย
- J44.9F3I2: กระตุ้นการไอที่มีประสิทธิภาพ (effective coughing) โดยใช้เทคนิคสอน เช่น huff coughing
- J44.9F3I3: ให้การพ่นยา (nebulization) ด้วยยาขยายหลอดลมหรือยาละลายเสมหะตามคำสั่งแพทย์
- J44.9F3I4: ดูดเสมหะออกจากทางเดินหายใจเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถขับออกเองได้
- J44.9F3I5: ให้การบำบัดด้วยการทำ chest physiotherapy เช่น การเคาะปอด (percussion) เพื่อช่วยระบายเสมหะ
- J44.9F3I6: ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างเพียงพอ (ยกเว้นมีข้อห้าม) เพื่อช่วยให้เสมหะบางและขับออกได้ง่าย
- J44.9F3I7: ให้คำแนะนำผู้ป่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น ควันบุหรี่และมลพิษในอากาศ
5.
Response
- J44.9F3R1: ผู้ป่วยสามารถขับเสมหะออกได้เองและไม่มีอาการอุดตันในทางเดินหายใจ
- J44.9F3R2: เสียง wheezing และ rhonchi ลดลงเมื่อฟังปอด
- J44.9F3R3: ค่า SpO₂ เพิ่มขึ้นถึง 92% หรือมากกว่า
- J44.9F3R4: ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจโล่งขึ้นและสามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยมาก
- J44.9F3R5: ไม่มีการสะสมของเสมหะในทางเดินหายใจเมื่อสังเกตจากการหายใจ
.......................................................
J44.9F4: เสี่ยงติดเชื้อในทางเดินหายใจจากการอักเสบเรื้อรังและการสะสมเสมหะ:Risk for respiratory infection due to chronic inflammation and mucus retention
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยมีประวัติเป็นหวัดหรือการติดเชื้อในทางเดินหายใจบ่อยครั้ง
- รายงานว่ามีเสมหะข้นเหนียวและไอเรื้อรัง
Objective
Data (O):
- พบเสมหะสีเหลืองหรือเขียว ซึ่งบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ
- การฟังปอดพบเสียง wheezing หรือ rhonchi
- มีไข้ต่ำๆ (low-grade fever) หรืออุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 37.5°C
- ค่าเม็ดเลือดขาว (WBC) เพิ่มขึ้นจากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- ผู้ป่วยอ่อนเพลีย ไม่มีแรง และหายใจเร็วผิดปกติ
2.
Goals
- ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วย
- ลดความเสี่ยงจากการสะสมเสมหะและการอักเสบเรื้อรังในทางเดินหายใจ
- ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันและการตอบสนองของร่างกายที่ดี
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยไม่มีอาการหรือสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ไข้ เสมหะสีผิดปกติ หรือหายใจลำบากเพิ่มขึ้น
- ค่าเม็ดเลือดขาว (WBC) อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- เสมหะลดลงและมีลักษณะใสหรือไม่มีเสมหะ
- ผู้ป่วยรายงานว่ามีสุขภาพที่ดีขึ้นและไม่มีอาการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ
4.
Intervention
- J44.9F4I1: สอนผู้ป่วยให้ล้างมืออย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอเพื่อลดการสัมผัสเชื้อโรค
- J44.9F4I2: จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดและปลอดเชื้อ เช่น การดูแลเตียงและอุปกรณ์การใช้งาน
- J44.9F4I3: ส่งเสริมการได้รับวัคซีน เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันปอดบวม
- J44.9F4I4: ให้การพ่นยา (nebulization) ด้วยยาละลายเสมหะหรือยาขยายหลอดลม เพื่อลดการสะสมของเสมหะ
- J44.9F4I5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อช่วยให้เสมหะบางลง
- J44.9F4I6: สอนเทคนิคการไอที่มีประสิทธิภาพเพื่อระบายเสมหะออกจากทางเดินหายใจ
- J44.9F4I7: เฝ้าระวังอาการของการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง เสมหะสีผิดปกติ หรือหายใจลำบาก
- J44.9F4I8: ให้ยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อ
- J44.9F4I9: ประเมินสัญญาณชีพและติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ เช่น ค่าเม็ดเลือดขาว
5.
Response
- J44.9F4R1: ผู้ป่วยไม่มีไข้ และสัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- J44.9F4R2: เสมหะลดลงและไม่มีสีหรือกลิ่นที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อ
- J44.9F4R3: ผลการตรวจค่าเม็ดเลือดขาว (WBC) อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- J44.9F4R4: ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจโล่งขึ้น ไม่มีอาการไอเรื้อรังหรืออาการผิดปกติอื่นๆ
- J44.9F4R5: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการป้องกันการติดเชื้อได้อย่างเหมาะสม
...............................................................
J44.9F5: ความทนทานต่อกิจกรรมลดลงจากอาการหายใจลำบาก:Activity intolerance due to dyspnea
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานว่าเหนื่อยง่ายเมื่อทำกิจกรรมทางกายภาพ เช่น เดิน หรือขึ้นบันได
- รู้สึกหายใจลำบากเมื่อทำกิจกรรมที่ใช้พลังงาน
- ผู้ป่วยแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการหายใจที่ไม่คล่อง
Objective
Data (O):
- ค่า SpO₂ ลดลงในขณะทำกิจกรรม
- หายใจเร็วและตื้น (tachypnea, shallow breathing) ขณะทำกิจกรรม
- พบการเปลี่ยนแปลงในอัตราการเต้นของหัวใจ (tachycardia) เมื่อทำกิจกรรม
- การเคลื่อนไหวของทรวงอกผิดปกติ
- ผู้ป่วยหยุดทำกิจกรรมเพื่อฟื้นหายใจ
2.
Goals
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้โดยไม่เกิดอาการหายใจลำบาก
- อัตราการหายใจและการเต้นของหัวใจกลับสู่ภาวะปกติภายใน 5 นาทีหลังทำกิจกรรม
- ปรับปรุงความสามารถในการทนทานต่อกิจกรรมทางกายภาพ โดยการออกกำลังกายเบาๆ
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเบาๆ เช่น เดิน หรือขึ้นบันไดได้โดยไม่เกิดอาการเหนื่อยหอบหรือหายใจลำบาก
- ค่า SpO₂ เพิ่มขึ้นถึง 90% หรือมากกว่าในขณะทำกิจกรรม
- ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ลึกขึ้นและมีการฟื้นตัวจากอาการหายใจลำบากหลังจากการทำกิจกรรมภายใน 5 นาที
- ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในอัตราการเต้นของหัวใจหรือการหายใจ
4.
Intervention
- J44.9F5I1: สอนผู้ป่วยให้พักระหว่างทำกิจกรรมหนัก เช่น เดินหรือทำงานบ้าน เพื่อป้องกันการหายใจลำบาก
- J44.9F5I2: ส่งเสริมการหายใจแบบลึกและช้า (diaphragmatic breathing) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซและลดการหายใจตื้น
- J44.9F5I3: จัดท่าให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สามารถหายใจได้สะดวกขึ้น เช่น ท่านั่งตัวตรง หรือท่ายืนที่เปิดปอด
- J44.9F5I4: กระตุ้นให้ผู้ป่วยออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเดินเบาๆ หรือการฝึกหายใจเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ
- J44.9F5I5: แนะนำให้ผู้ป่วยแบ่งการทำกิจกรรมหนักเป็นหลายๆ ครั้งแทนการทำครั้งเดียว
- J44.9F5I6: ให้ผู้ป่วยได้รับยาขยายหลอดลมตามคำสั่งแพทย์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการหายใจลำบาก
- J44.9F5I7: สอนให้ผู้ป่วยสังเกตสัญญาณของอาการเหนื่อยหอบและทำการพักหรือหยุดกิจกรรมเมื่อมีอาการเหนื่อยหอบเกิดขึ้น
5.
Response
- J44.9F5R1: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวัน เช่น เดินหรือทำงานบ้านได้โดยไม่เกิดอาการหายใจลำบาก
- J44.9F5R2: ค่า SpO₂ คงที่ที่ระดับ 90% หรือมากกว่าในขณะทำกิจกรรม
- J44.9F5R3: ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ลึกและช้า (diaphragmatic breathing) อย่างมีประสิทธิภาพ
- J44.9F5R4: อัตราการหายใจและการเต้นของหัวใจกลับสู่ภาวะปกติภายใน 5 นาทีหลังจากการทำกิจกรรม
- J44.9F5R5: ผู้ป่วยรายงานว่ามีการทนทานต่อกิจกรรมทางกายภาพเพิ่มขึ้น และไม่มีอาการเหนื่อยหอบหรือหายใจลำบาก
....................................................................
J44.9F6: เสี่ยงภาวะโภชนาการไม่เพียงพอจากการเพิ่มความต้องการพลังงานและอาการหายใจลำบาก:Risk for imbalanced nutrition and dyspnea
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานว่าไม่ค่อยหิวและมักจะมีอาการหายใจลำบากหลังจากรับประทานอาหาร
- ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยล้าหลังการรับประทานอาหารที่มีปริมาณมาก
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกคลื่นไส้หรือท้องอืดหลังรับประทานอาหาร
- ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติเนื่องจากอาการหายใจลำบาก
- ผู้ป่วยอาจแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักตัวที่ลดลงและการขาดสารอาหาร
Objective
Data (O):
- น้ำหนักตัวลดลงอย่างชัดเจนในช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์หรือเดือน
- สัญญาณชีพไม่ปกติ เช่น อัตราการหายใจเร็ว (tachypnea), อัตราการเต้นของหัวใจเร็ว (tachycardia)
- ค่า BMI ลดลงต่ำกว่าปกติ
- พบสัญญาณของการขาดสารอาหาร เช่น ผิวหนังแห้ง ผมร่วง
- การตรวจปัสสาวะอาจพบสารที่บ่งชี้ถึงการขาดน้ำหรือขาดสารอาหาร
2.
Goals
- ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้เพียงพอเพื่อรองรับความต้องการพลังงานและสารอาหาร
- ลดอาการหายใจลำบากขณะรับประทานอาหาร
- ควบคุมน้ำหนักให้คงที่หรือเพิ่มขึ้นภายใน 2 สัปดาห์
- ผู้ป่วยได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมโดยไม่รู้สึกหายใจลำบาก
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระดับที่ปลอดภัย (ไม่เกิน 5% ของน้ำหนักตัวใน 1 เดือน)
- ค่า BMI คงที่หรือเพิ่มขึ้นในระดับปกติ
- การตรวจสารอาหารและระดับน้ำในร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ไม่มีการสูญเสียกล้ามเนื้อหรือสัญญาณของภาวะโภชนาการไม่เพียงพอ
4.
Intervention
- J44.9F6I1: ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารให้เป็นมื้อย่อยๆ หลายๆ มื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงการหายใจลำบากหลังรับประทานอาหาร
- J44.9F6I2: แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงและมีโปรตีนสูง เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม, ไข่, เนื้อสัตว์, หรืออาหารที่เสริมโปรตีน
- J44.9F6I3: ส่งเสริมการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ แต่ไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไปในขณะรับประทานอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการหายใจลำบาก
- J44.9F6I4: แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารในที่ที่อากาศไม่ร้อนหรืออบอ้าวเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหายใจลำบาก
- J44.9F6I5: ให้คำแนะนำในการปรุงอาหารให้มีรสชาติที่ดีขึ้นและกระตุ้นความอยากอาหาร เช่น การปรุงอาหารที่มีรสจัด
- J44.9F6I6: ให้ผู้ป่วยรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น วิตามิน A, C, D, และแคลเซียม
- J44.9F6I7: สอนผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการหายใจให้ถูกต้อง เช่น การหายใจลึกๆ ก่อนรับประทานอาหาร
5.
Response
- J44.9F6R1: ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้นโดยไม่เกิดอาการหายใจลำบาก
- J44.9F6R2: น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
- J44.9F6R3: ค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ หรือเพิ่มขึ้นตามที่ตั้งเป้า
- J44.9F6R4: การตรวจสุขภาพพบว่าไม่มีการขาดสารอาหารหรือภาวะขาดน้ำ
- J44.9F6R5: ผู้ป่วยรู้สึกพึงพอใจในการรับประทานอาหารและมีพลังงานเพียงพอต่อการทำกิจกรรม
...............................................................
J44.9F7: ความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคเรื้อรังและการหายใจลำบาก:Anxiety related to chronic illness and difficulty breathing
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการหายใจลำบากและอาการที่ไม่ดีขึ้น
- ผู้ป่วยบอกว่ารู้สึกเครียดและกลัวว่าจะไม่สามารถจัดการกับอาการโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้
- ผู้ป่วยมีอาการใจสั่น, หายใจไม่สะดวก, และรู้สึกเครียดในช่วงที่มีการหายใจไม่สะดวก
- ผู้ป่วยบ่งชี้ว่าอาการหายใจลำบากทำให้เครียดมากขึ้น และบางครั้งส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ
Objective
Data (O):
- พบว่าผู้ป่วยมีสัญญาณของความวิตกกังวล เช่น การเคลื่อนไหวกระวนกระวาย, หายใจเร็ว, หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
- การสังเกตสัญญาณของความเครียด เช่น ผู้ป่วยมีเหงื่อออกมาก, กล้ามเนื้อเครียด
- ผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่สะดวกที่ปรากฏในการตรวจสภาพร่างกาย หรือมีอัตราการหายใจเร็ว (tachypnea)
2.
Goals
- ผู้ป่วยสามารถลดความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้องกับอาการโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- ผู้ป่วยมีการหายใจที่สะดวกและควบคุมการหายใจได้
- ผู้ป่วยสามารถจัดการความเครียดจากอาการได้ดีขึ้นและสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น
- ผู้ป่วยมีความรู้สึกมั่นใจและรู้สึกถึงการสนับสนุนจากทีมแพทย์และพยาบาล
- ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้อย่างมีคุณภาพและรู้สึกผ่อนคลายเมื่อมีการหายใจลำบาก
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยรายงานการลดลงของความวิตกกังวลและความเครียด
- ผู้ป่วยสามารถควบคุมการหายใจได้ดีขึ้นโดยการหายใจลึกและหายใจช้า
- ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่ลดความเครียด เช่น การฝึกผ่อนคลาย, การหายใจลึก
- อัตราการหายใจและอัตราการเต้นของหัวใจในระดับปกติเมื่อวัดในระหว่างการดูแล
- ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นและรู้สึกผ่อนคลายในช่วงเวลานอน
4.
Intervention
- J44.9F7I1: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการหายใจที่ช่วยลดความเครียด เช่น การหายใจแบบลึกๆ และการหายใจช้า เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้ดีขึ้นและลดความวิตกกังวล
- J44.9F7I2: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ, การฟังเพลงเบาๆ, หรือการทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การอ่านหนังสือ
- J44.9F7I3: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการเข้าใจและยอมรับภาวะสุขภาพเรื้อรังเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีทัศนคติเชิงบวกและลดความวิตกกังวล
- J44.9F7I4: จัดหาสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและปลอดภัยเพื่อช่วยลดสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้ผู้ป่วยเครียดมากขึ้น
- J44.9F7I5: สนับสนุนผู้ป่วยในการพูดคุยเกี่ยวกับความวิตกกังวลและอาการที่เป็นปัญหา โดยการให้คำปรึกษาหรือการช่วยเหลือในด้านจิตใจ
- J44.9F7I6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยใช้การรักษาเสริม เช่น การใช้ยาลดความวิตกกังวลตามที่แพทย์สั่ง
5.
Response
- J44.9F7R1: ผู้ป่วยสามารถบอกได้ว่าอาการวิตกกังวลลดลงและสามารถควบคุมความเครียดได้ดีขึ้น
- J44.9F7R2: ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ลึกและช้าโดยไม่รู้สึกหายใจไม่สะดวก
- J44.9F7R3: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่แสดงถึงการลดความเครียด เช่น การผ่อนคลายหรือการใช้เทคนิคการหายใจ
- J44.9F7R4: สัญญาณชีพกลับสู่ภาวะปกติ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจในระดับปกติ
- J44.9F7R5: ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นและรู้สึกผ่อนคลายเมื่อมีการหายใจลำบาก
.................................................................
J44.9F8: ขาดความรู้ในการดูแลตนเองที่บ้าน:Deficient knowledge regarding self-care at home
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยแสดงความไม่แน่ใจเกี่ยวกับวิธีการใช้ยาที่แพทย์สั่งและไม่ทราบวิธีการใช้ออกซิเจนที่บ้าน
- ผู้ป่วยกล่าวว่ามีความสับสนเกี่ยวกับวิธีการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการของโรคลุกลาม
- ผู้ป่วยไม่ทราบถึงขั้นตอนในการตรวจเช็กอาการหรือวิธีการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโรคในแต่ละวัน
- ผู้ป่วยมีความกังวลเกี่ยวกับการดูแลตัวเองที่บ้านและกลัวว่าจะทำไม่ถูก
Objective
Data (O):
- พบว่าผู้ป่วยไม่มีความเข้าใจในวิธีการใช้ยาหรือการใช้เครื่องช่วยหายใจหรือออกซิเจน
- ผู้ป่วยไม่สามารถแสดงการใช้ยาที่ถูกต้อง หรือแสดงการใช้เครื่องช่วยหายใจอย่างไม่เหมาะสม
- ผู้ป่วยไม่สามารถระบุสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการอักเสบหรือการหายใจลำบากได้
- ไม่มีการบันทึกหรือการติดตามอาการและการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ
2.
Goals
- ผู้ป่วยมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, การใช้ยา, การใช้ออกซิเจน, และการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
- ผู้ป่วยสามารถใช้ยาตามแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องและสามารถปรับการใช้ยาตามอาการที่เปลี่ยนแปลง
- ผู้ป่วยสามารถใช้ออกซิเจนที่บ้านได้อย่างถูกต้อง
- ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการหายใจลำบากและอาการที่แย่ลง
- ผู้ป่วยมีความรู้และความมั่นใจในการดูแลตัวเองที่บ้าน
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง และบอกวิธีการใช้ออกซิเจนที่บ้าน
- ผู้ป่วยสามารถระบุสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการของโรค
- ผู้ป่วยสามารถแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามแผนการรักษาและการใช้ยาอย่างถูกต้อง
- ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการจัดการกับอาการที่เปลี่ยนแปลงและวิธีการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
- ผู้ป่วยมีการบันทึกหรือมีแผนการติดตามอาการและการใช้ยา
4.
Intervention
- J44.9F8I1: ให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและการจัดการโรคเบื้องต้น รวมถึงการใช้ยาที่ถูกต้องและการใช้ออกซิเจนที่บ้าน
- J44.9F8I2: สอนวิธีการใช้ยาและออกซิเจนอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งสาธิตและฝึกฝนจนผู้ป่วยสามารถทำได้เอง
- J44.9F8I3: แนะนำให้ผู้ป่วยมีแผนการติดตามอาการและใช้บันทึกการใช้ยา เพื่อช่วยในการติดตามผลการรักษาและสังเกตการเปลี่ยนแปลงของโรค
- J44.9F8I4: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการหายใจลำบาก เช่น ควันบุหรี่, ฝุ่นละออง, และสารระคายเคืองอื่นๆ และแนะนำวิธีหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้
- J44.9F8I5: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลตนเองเมื่อเกิดอาการแย่ลง เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ, การใช้ยาฉุกเฉิน, หรือการไปพบแพทย์
- J44.9F8I6: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยเข้าใจการรักษาด้วยออกซิเจนและวิธีการใช้ออกซิเจนที่บ้าน รวมถึงการดูแลเครื่องมือที่ใช้
- J44.9F8I7: ให้ผู้ป่วยเข้าร่วมการเรียนรู้กลุ่มหรือการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคเดียวกัน เพื่อเพิ่มความเข้าใจและการจัดการโรคที่ดีขึ้น
5.
Response
- J44.9F8R1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายการใช้ยาที่ถูกต้องและแสดงให้เห็นถึงการใช้ยาที่เหมาะสม
- J44.9F8R2: ผู้ป่วยสามารถใช้ออกซิเจนที่บ้านอย่างถูกต้องและปฏิบัติตามแผนการรักษา
- J44.9F8R3: ผู้ป่วยสามารถระบุสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดอาการแย่ลงและสามารถหลีกเลี่ยงได้
- J44.9F8R4: ผู้ป่วยสามารถบันทึกอาการและการใช้ยาได้อย่างถูกต้องและมีแผนการติดตามผล
- J44.9F8R5: ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการดูแลตนเองที่บ้านและสามารถตัดสินใจในกรณีที่อาการแย่ลงได้เอง
...........................................................
J44.9F9: เสี่ยงภาวะกำเริบเฉียบพลันหลังกลับบ้านจากการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา:Risk for acute exacerbation after discharge due to non-adherence to treatment plan
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรู้สึกหายใจลำบากโดยเฉพาะในตอนกลางคืนหรือหลังการออกแรง
- ผู้ป่วยกล่าวว่ามีเสมหะสะสมมากในหลอดลมและมักจะต้องพยายามขับเสมหะออก
- ผู้ป่วยมีอาการไอเรื้อรังและหายใจเสียงดัง (wheezing)
- ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจไม่อิ่มหรือรู้สึกขาดอากาศ
Objective
Data (O):
- อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น (>24 ครั้ง/นาที) หรืออาการหายใจติดขัด
- ค่าออกซิเจนในเลือดลดลง (SpO2 < 90%)
- พบเสมหะที่มีลักษณะข้นและเป็นสีเหลืองหรือเขียว
- เสียงฟังจากปอดมีเสียง wheezing หรือ crackles
- การขยายของปอดลดลงในทางรังสีหรือการตรวจทางคลินิก
2.
Goals
- ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ดีขึ้นและมีระดับออกซิเจนในเลือดที่สูงขึ้น (SpO2 ≥ 90%)
- ผู้ป่วยสามารถขับเสมหะออกจากทางเดินหายใจได้ดีขึ้น
- ลดอาการหายใจลำบากและเสียง wheezing ในผู้ป่วย
- ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการสะสมของเสมหะ เช่น การติดเชื้อในปอด
- ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคการหายใจที่เหมาะสมเพื่อช่วยในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยสามารถหายใจได้สะดวกขึ้นและระดับออกซิเจนในเลือดคงที่หรือเพิ่มขึ้น
- ผู้ป่วยสามารถขับเสมหะได้ง่ายขึ้นและไม่มีอาการเสมหะเกาะติดในหลอดลม
- ไม่มีเสียง wheezing หรือ crackles ในการฟังปอด
- ค่า SpO2 ≥ 90% อย่างต่อเนื่องและไม่มีอาการหายใจลำบาก
- การติดตามอาการของการเกิดภาวะทางเดินหายใจติดเชื้อลดลง
4.
Intervention
- J44.9F9I1: ให้ผู้ป่วยใช้เทคนิคการหายใจเช่น pursed-lip breathing เพื่อลดการตีบแคบของหลอดลมและเพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
- J44.9F9I2: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการขับเสมหะออกจากทางเดินหายใจ เช่น การใช้แรงไอหรือการทำ postural drainage
- J44.9F9I3: ให้ผู้ป่วยใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ เช่น เครื่องช่วยหายใจแบบ CPAP หรือ BiPAP เพื่อลดการสะสมของเสมหะและช่วยในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
- J44.9F9I4: ติดตามระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) และปรับการใช้ออกซิเจนเพื่อให้มีระดับออกซิเจนที่เหมาะสม (≥ 90%)
- J44.9F9I5: ให้การรักษาด้วยยาเช่น bronchodilators หรือ corticosteroids ตามคำสั่งแพทย์เพื่อบรรเทาอาการตีบแคบของหลอดลม
- J44.9F9I6: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดการสะสมของเสมหะ เช่น ควันบุหรี่, ฝุ่น, และสารระคายเคือง
5.
Response
- J44.9F9R1: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคการหายใจได้อย่างถูกต้องและพบว่าการหายใจดีขึ้น
- J44.9F9R2: เสมหะถูกขับออกจากทางเดินหายใจได้ดีขึ้นและไม่มีเสมหะสะสมอยู่ในหลอดลม
- J44.9F9R3: ผู้ป่วยสามารถหายใจได้สะดวกขึ้น โดยมีเสียงหายใจที่นุ่มนวลและไม่มีเสียง wheezing
- J44.9F9R4: ค่า SpO2 คงที่ ≥ 90% และผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจลำบากในช่วงการตรวจประจำ
- J44.9F9R5: ไม่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจในระยะเวลาที่ทำการรักษา
.................................................................
J44.9F10: ความสามารถในการรับมือกับโรคเรื้อรังลดลง:Ineffective coping related to chronic illness
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยรู้สึกเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันจากการเจ็บป่วย
- ผู้ป่วยกล่าวว่ามีความยากลำบากในการปรับตัวกับข้อจำกัดที่เกิดจากการหายใจลำบาก
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกสิ้นหวังและขาดความเชื่อมั่นในการควบคุมอาการของโรค
- ผู้ป่วยอาจรายงานว่าไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้เหมือนเดิม
Objective
Data (O):
- พบว่าผู้ป่วยมีอารมณ์เศร้า เครียด หรือวิตกกังวลที่เห็นได้ชัด
- พบอาการจากการพยายามปรับตัวกับการใช้ยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ที่อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกท้อแท้
- มีการลดลงของความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การเดินหรือการออกกำลังกาย
2.
Goals
- ผู้ป่วยจะสามารถระบุและพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับโรคเรื้อรังได้
- ผู้ป่วยจะสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดความวิตกกังวลและเพิ่มความมั่นใจในการดูแลตนเอง
- ผู้ป่วยสามารถเข้าใจและจัดการกับอาการของโรคได้ดีขึ้น
- ผู้ป่วยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันได้และมีความพึงพอใจในการดำเนินชีวิต
3.
Evaluate Criteria
- ผู้ป่วยสามารถแสดงทักษะในการรับมือกับสถานการณ์โรคเรื้อรัง เช่น การพูดถึงความรู้สึกและวิธีการจัดการกับความเครียด
- ผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้และมีการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้นหลังการปรับตัว
- ผู้ป่วยมีระดับความวิตกกังวลลดลง และสามารถรับมือกับการใช้ยาและการดูแลตัวเองได้
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ หรือใกล้เคียงกับระดับที่เคยทำได้ก่อนป่วย
4.
Intervention
- J44.9F10I1: ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการรับมือกับโรคเรื้อรังโดยการพูดคุยเพื่อระบายความรู้สึกและความวิตกกังวล
- J44.9F10I2: สอนผู้ป่วยวิธีการปรับพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพ เช่น การปรับการออกกำลังกายตามความสามารถและการควบคุมการหายใจ
- J44.9F10I3: แนะนำการฝึกสมาธิหรือการผ่อนคลายเพื่อช่วยลดความวิตกกังวล เช่น การหายใจลึกๆ หรือการทำโยคะ
- J44.9F10I4: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาและการดูแลตัวเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการควบคุมโรค
- J44.9F10I5: ส่งเสริมการเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือการให้คำปรึกษาในเรื่องสุขภาพจิตเพื่อสนับสนุนการรับมือกับโรคเรื้อรัง
- J44.9F10I6: ตรวจสอบและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตได้ปกติ
5.
Response
- J44.9F10R1: ผู้ป่วยสามารถพูดถึงวิธีการรับมือกับความเครียดและอารมณ์ที่เกิดจากโรคได้อย่างชัดเจน
- J44.9F10R2: ผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและใช้ทักษะในการจัดการกับโรคได้ดีขึ้น
- J44.9F10R3: ความวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลง โดยสามารถจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกของตนเองได้อย่างเหมาะสม
- J44.9F10R4: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้มากขึ้น เช่น การเดิน, ทำอาหาร, และการออกกำลังกายเบาๆ
- J44.9F10R5: ผู้ป่วยแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและสามารถดำเนินชีวิตได้ตามวิถีชีวิตใหม่ที่ได้ปรับตัวตามความสามารถ
...............................................................................
J44.9F11: เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น หัวใจล้มเหลวด้านขวาจากภาวะขาดออกซิเจนและความดันในหลอดเลือดปอดสูง:Risk for chronic complications, such as right-sided heart failure, due to persistent hypoxia and pulmonary hypertension
1.
Assessment
Subjective
Data (S):
- ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบและหายใจลำบากหลังจากทำกิจกรรมเล็กน้อย
- ผู้ป่วยอาจรายงานการมีอาการบวมที่ขาหรือข้อเท้า ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของหัวใจล้มเหลวด้านขวา
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกเวียนศีรษะหรือมีอาการเจ็บหน้าอกเล็กน้อยเมื่อมีการเคลื่อนไหวที่มากขึ้น
- ผู้ป่วยอาจรายงานอาการเหนื่อยหอบที่ไม่หายขาดแม้หลังจากพัก
Objective
Data (O):
- พบอัตราการหายใจที่สูงผิดปกติ
- พบการบวมที่ขาหรือข้อเท้า
- การวัดออกซิเจนในเลือด (Oxygen saturation) ต่ำกว่าปกติ
- พบการขยายตัวของหลอดเลือดดำที่คอ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลวด้านขวา
- การทดสอบการหายใจพบการลดลงของอัตราการไหลเวียนของเลือดในปอด
2.
Goals
- ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจพบภาวะแทรกซ้อนจากการขาดออกซิเจนและความดันในหลอดเลือดปอด
- ผู้ป่วยจะสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- ผู้ป่วยจะสามารถรักษาความดันโลหิตในปอดให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
- ผู้ป่วยจะมีออกซิเจนในเลือดในระดับปกติและลดความเสี่ยงจากภาวะหัวใจล้มเหลวด้านขวา
3.
Evaluate Criteria
- การตรวจพบและป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการขาดออกซิเจน เช่น การตรวจเช็คค่าออกซิเจนในเลือดและการติดตามความดันในหลอดเลือดปอด
- ผู้ป่วยสามารถรักษาระดับออกซิเจนในเลือดให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย โดยการใช้เครื่องช่วยหายใจตามคำแนะนำของแพทย์
- ผู้ป่วยมีอาการบวมลดลงและสามารถทำกิจกรรมได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหอบหรือเวียนศีรษะ
- ผู้ป่วยมีการติดตามผลสุขภาพที่ดีขึ้นและสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตได้ เช่น การออกกำลังกายเบา ๆ และการควบคุมอาหาร
4.
Intervention
- J44.9F11I1: ตรวจสอบระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) อย่างสม่ำเสมอและปรับการใช้เครื่องช่วยหายใจตามคำแนะนำจากแพทย์
- J44.9F11I2: ให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษาที่กำหนด เช่น การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการและการใช้ยาในการลดความดันในหลอดเลือดปอด
- J44.9F11I3: แนะนำการควบคุมอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลดการบริโภคเกลือและน้ำตาล
- J44.9F11I4: ส่งเสริมการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการหายใจและลดความเสี่ยงจากการเกิดหัวใจล้มเหลว
- J44.9F11I5: แนะนำให้ผู้ป่วยงดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่สามารถทำให้โรค COPD เลวร้ายลง
- J44.9F11I6: จัดการการติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดออกซิเจนและความดันในหลอดเลือดปอดสูง
5.
Response
- J44.9F11R1: ผู้ป่วยมีออกซิเจนในเลือดที่เพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับที่ปลอดภัย (SpO2 ≥ 90%)
- J44.9F11R2: อาการบวมที่ขาหรือข้อเท้าลดลงอย่างเห็นได้ชัดและสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
- J44.9F11R3: ความดันในหลอดเลือดปอดลดลงและผู้ป่วยสามารถดำเนินกิจกรรมประจำวันที่เคยทำได้ก่อนมีอาการเหนื่อยหอบ
- J44.9F11R4: ผู้ป่วยสามารถควบคุมโรค COPD และป้องกันภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้ดีขึ้นตามคำแนะนำจากทีมแพทย์
- J44.9F11R5: ผู้ป่วยมีความเข้าใจในการดูแลสุขภาพตนเองและสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติหลังจากปรับปรุงพฤติกรรมการดูแลตัวเอง
………………………………………
อำภัย อินดี