พยาธิสภาพของผู้ป่วยโรคลมชัก
โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นภาวะที่เกิดจากการที่สมองมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าเกินความจำเป็น หรือการปล่อยกระแสไฟฟ้าในรูปแบบผิดปกติที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งทำให้เกิดการชักอย่างไม่คาดคิดและไม่สามารถควบคุมได้ การปล่อยกระแสไฟฟ้าผิดปกตินี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของเซลล์ประสาทในสมอง การบาดเจ็บที่สมอง หรือจากปัจจัยภายนอกที่กระตุ้น เช่น การขาดออกซิเจนในสมอง การใช้สารเสพติด หรือการติดเชื้อในสมอง
การรักษาผู้ป่วยโรคลมชัก
การรักษาผู้ป่วยโรคลมชักมุ่งเน้นที่การควบคุมและป้องกันการเกิดชัก โดยหลักๆ ใช้การรักษาด้วยยา เช่น ยากันชัก (antiepileptic
drugs: AEDs) ซึ่งจะช่วยควบคุมการเกิดชักให้ลดน้อยลงหรือหายไป การรักษาอาจต้องปรับยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน หากการใช้ยาไม่ได้ผล อาจพิจารณาการรักษาทางเลือกอื่น เช่น การผ่าตัด การกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า หรือการควบคุมอาหาร โดยเฉพาะในกรณีของผู้ป่วยเด็ก
การพยาบาลผู้ป่วยโรคลมชัก
การพยาบาลผู้ป่วยโรคลมชักมุ่งเน้นการเฝ้าระวังและดูแลในช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการชัก รวมถึงการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างชัก เช่น การรักษาทางเดินหายใจ การป้องกันการบาดเจ็บ การติดตามการใช้ยาและผลข้างเคียงจากยาเพื่อควบคุมอาการชักให้ได้ผลดี นอกจากนี้ยังต้องให้การสนับสนุนด้านจิตใจและให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเกิดอาการชักในอนาคต รวมถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยา การดูแลสุขภาพ และการจัดการกับอาการหรือความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้อง
วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคลมชัก
- G40.9F1 เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ (Risk for Injury) (การชักอาจทำให้ผู้ป่วยล้มลงหรือบาดเจ็บจากการหมดสติ ต้องมีการป้องกันและดูแลอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ)
- G40.9F2 รูปแบบการหายใจที่ไม่เหมาะสม (Ineffective Breathing Pattern) (หลังการชักอาจทำให้ทางเดินหายใจอุดตันหรือหายใจไม่ปกติ ต้องได้รับการดูแลเร่งด่วนเพื่อให้การหายใจเป็นปกติ)
- G40.9F3 ความวิตกกังวล (Anxiety) (ผู้ป่วยอาจกลัวว่าจะชักอีกในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจและการรักษา จึงต้องช่วยคลายความกังวลและให้กำลังใจ)
- G40.9F4 ขาดความรู้ (Knowledge Deficit) (ผู้ป่วยอาจไม่เข้าใจเกี่ยวกับการจัดการโรค การใช้ยา และวิธีการรักษาความปลอดภัย ต้องให้ความรู้เพื่อให้สามารถดูแลตัวเองได้)
- G40.9F5 ครอบครัวอาจรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดได้ยาก (Families may struggle to cope with challenging situations) (ครอบครัวอาจเครียดจากการดูแลผู้ป่วย จำเป็นต้องให้การสนับสนุนและช่วยเหลือเพื่อให้ครอบครัวสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้)
- G40.9F6 การเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสม (Impaired Physical Mobility) (หลังการชักหรือจากผลข้างเคียงของยา ผู้ป่วยอาจเคลื่อนไหวได้ยาก ต้องประเมินและช่วยเหลือในการเคลื่อนไหว)
- G40.9F7 เสี่ยงต่อการไม่ปฏิบัติตามการใช้ยา (Risk for Noncompliance with Medication Regimen) (ผู้ป่วยอาจหยุดใช้ยาเพราะผลข้างเคียง ซึ่งอาจทำให้การชักเกิดขึ้นอีก ต้องมีการติดตามและให้คำแนะนำเพื่อให้ผู้ป่วยใช้ยาอย่างต่อเนื่อง)
- G40.9F8 กระบวนการครอบครัวที่ขัดแย้ง (Interrupted Family Processes) (สถานการณ์ของผู้ป่วยอาจทำให้ครอบครัวต้องปรับตัวใหม่ ควรให้การสนับสนุนเพื่อให้ครอบครัวกลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติ)
- G40.9F9 เสี่ยงต่อการนอนไม่หลับ (Risk for Sleep Deprivation) (การชักและผลข้างเคียงจากยาอาจรบกวนการนอน ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยล้า ต้องช่วยให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ)
- G40.9F10 ขาดความรู้เกี่ยวกับการจัดการระยะยาว (Deficient Knowledge) (ผู้ป่วยต้องเข้าใจการรักษาระยะยาวของโรคและวิธีการดูแลตัวเอง จึงจำเป็นต้องให้ความรู้เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพในอนาคต)
หมายเหตุ: ตัวเลข F1, F2, F3 เป็นเพียงตัวเลขที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การจัดลำดับวินิจฉัยการพยาบาลเป็นไปอย่างมีระบบ อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
……………………………………..
G40.9F1 เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ (Risk for Injury)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยหรือญาติรายงานประวัติการชัก
- ลักษณะการชัก เช่น ชักแบบลมหมดสติ (Generalized seizure) หรือชักเฉพาะที่ (Focal seizure)
- ระบุปัจจัยกระตุ้น เช่น ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ
O:
- การสังเกตลักษณะการชัก เช่น ชักกระตุก (Tonic-clonic), ชักเฉพาะที่ (Focal onset)
- การบาดเจ็บจากการชัก เช่น รอยฟกช้ำ แผลแตก
- ผลตรวจร่างกาย เช่น ระดับความรู้สึกตัว (Glasgow Coma Scale: GCS)
- ผลการตรวจ EEG, MRI หรือ CT scan
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยปลอดภัยจากการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการชัก
- ผู้ป่วยและญาติสามารถรับรู้และปฏิบัติวิธีป้องกันการบาดเจ็บได้อย่างถูกต้อง
Evaluate
Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยไม่มีบาดเจ็บใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการชัก
- ญาติหรือผู้ดูแลสามารถระบุและปฏิบัติวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยระหว่างการชักได้อย่างถูกต้อง
- ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น สมองบวม หรืออาการขาดออกซิเจน
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- G40.9F1I-1: จัดเตรียมอุปกรณ์และสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย เช่น ปรับพื้นที่รอบเตียงผู้ป่วยเพื่อป้องกันการล้ม หรือการชนกับวัตถุแข็ง
- G40.9F1I-2: วางแผ่นนุ่มหรือผ้าขนหนูรอบเตียงผู้ป่วยเพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บขณะชัก
- G40.9F1I-3: สอนญาติหรือผู้ดูแลเกี่ยวกับการปฏิบัติระหว่างการชัก เช่น ห้ามงัดปากผู้ป่วยหรือจับตัวผู้ป่วยขณะชัก
- G40.9F1I-4: ประเมินระยะเวลาและลักษณะการชักทุกครั้ง เพื่อติดตามความถี่และผลกระทบของการชัก
- G40.9F1I-5: ให้ยา Anticonvulsants ตามแผนการรักษาของแพทย์ พร้อมติดตามผลข้างเคียงของยา
- G40.9F1I-6: แจ้งแพทย์ทันทีหากพบการชักที่ยาวนาน (>5 นาที) หรือมีลักษณะการชักที่เปลี่ยนแปลงจากเดิม
Response
(การตอบสนอง)
- G40.9F1R-1: ผู้ป่วยไม่มีบาดเจ็บใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการชัก
- G40.9F1R-2: ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมระหว่างการชัก
- G40.9F1R-3: ญาติหรือผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยขณะชักได้
- G40.9F1R-4: ระยะเวลาและความรุนแรงของการชักลดลง หรือไม่มีการชักเกิดขึ้นในช่วงการดูแล
………………………………
G40.9F2 รูปแบบการหายใจที่ไม่เหมาะสม (Ineffective Breathing Pattern)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรู้สึกหายใจลำบากหลังการชัก
- ผู้ป่วยหรือญาติรายงานอาการหายใจไม่สะดวก เช่น หายใจเสียงดังหรือรู้สึกแน่นหน้าอก
O:
- อัตราการหายใจผิดปกติ เช่น เร็ว >24 ครั้ง/นาที หรือช้า <12 ครั้ง/นาที
- สังเกตมีการใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจ เช่น การยกไหล่หรือการหายใจลึก
- เสียงหายใจผิดปกติ เช่น เสียง wheezing หรือ stridor
- สภาพทางเดินหายใจ เช่น น้ำลาย หรือสิ่งคัดหลั่งอุดตัน
- ค่าออกซิเจนปลายนิ้ว (SpO₂) ต่ำกว่า 94%
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีรูปแบบการหายใจที่เหมาะสมและเพียงพอ
- ผู้ป่วยไม่มีภาวะขาดออกซิเจนหรือการอุดตันในทางเดินหายใจ
Evaluate
Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยหายใจสะดวก อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 12-20 ครั้ง/นาที
- ค่า SpO₂ ≥ 94% โดยไม่มีการใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ
- ไม่มีเสียงผิดปกติจากการหายใจ
- ผู้ป่วยรู้สึกสบาย ไม่มีอาการแน่นหน้าอก
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- G40.9F2I-1: จัดท่านอนตะแคงซ้ายหรือขวา (Lateral Position) เพื่อลดความเสี่ยงต่อการอุดตันทางเดินหายใจ
- G40.9F2I-2: ประเมินทางเดินหายใจทันทีหลังการชัก เช่น ตรวจหาการอุดตันจากน้ำลายหรือสิ่งคัดหลั่ง
- G40.9F2I-3: ทำการดูดเสมหะ (Suction) หากพบสิ่งอุดตันในทางเดินหายใจ
- G40.9F2I-4: ติดตามค่า SpO₂ และอัตราการหายใจอย่างใกล้ชิด
- G40.9F2I-5: ให้การช่วยเหลือด้วยออกซิเจน (Oxygen therapy) ในกรณีที่ SpO₂ ต่ำกว่า 94%
- G40.9F2I-6: แจ้งแพทย์ทันทีหากพบการหายใจล้มเหลวหรืออาการไม่ตอบสนองต่อการดูแลเบื้องต้น
- G40.9F2I-7: สอนญาติให้ช่วยจัดท่าผู้ป่วยและดูแลทางเดินหายใจเบื้องต้นหลังการชัก
Response
(การตอบสนอง)
- G40.9F2R-1: ผู้ป่วยหายใจสะดวกขึ้น ไม่มีเสียงผิดปกติจากทางเดินหายใจ
- G40.9F2R-2: อัตราการหายใจอยู่ในช่วงปกติ 12-20 ครั้ง/นาที
- G40.9F2R-3: ค่า SpO₂ ≥ 94% โดยไม่มีภาวะขาดออกซิเจน
- G40.9F2R-4: ญาติหรือผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลทางเดินหายใจหลังการชักได้อย่างถูกต้อง
……………………………………
G40.9F3 วิตกกังวล (Anxiety)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการชักในอนาคต
- ผู้ป่วยกล่าวถึงความกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุมร่างกายหรือทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่น
O:
- สังเกตผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวล เช่น มือสั่น เหงื่อออกมาก หายใจเร็ว
- ผู้ป่วยแสดงสีหน้าเคร่งเครียดหรือเลี่ยงการพูดคุยเกี่ยวกับโรค
- ประเมินระดับความวิตกกังวลด้วยเครื่องมือ เช่น Hospital Anxiety and Depression Scale (HADS) หรือ GAD-7
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีระดับความวิตกกังวลลดลง
- ผู้ป่วยสามารถแสดงความรู้สึกและข้อกังวลต่อทีมสุขภาพได้อย่างเปิดเผย
- ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจและมีความสามารถในการจัดการอาการของตนเอง
Evaluate
Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกผ่อนคลายและวิตกกังวลน้อยลง
- ผู้ป่วยสามารถบอกแนวทางการรับมือเมื่อเกิดการชักได้
- ผู้ป่วยมีท่าทีที่มั่นใจและเข้าร่วมการรักษาอย่างกระตือรือร้น
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- G40.9F3I-1: สร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้ป่วย โดยการรับฟังอย่างตั้งใจและไม่ตัดสิน
- G40.9F3I-2: อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับโรคลมชักและแนวทางการรักษาเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
- G40.9F3I-3: สอนเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ หรือการฝึกสติ (Mindfulness)
- G40.9F3I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยแสดงข้อกังวลและตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับอาการหรือผลกระทบของโรค
- G40.9F3I-5: แนะนำผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน (Support Group) เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่มีปัญหาเดียวกัน
- G40.9F3I-6: ประเมินความต้องการปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ หากผู้ป่วยมีภาวะวิตกกังวลรุนแรง
Response
(การตอบสนอง)
- G40.9F3R-1: ผู้ป่วยรายงานว่าความวิตกกังวลลดลง
- G40.9F3R-2: ผู้ป่วยสามารถฝึกเทคนิคการผ่อนคลายได้อย่างถูกต้อง
- G40.9F3R-3: ผู้ป่วยเข้าร่วมการรักษาและให้ความร่วมมือในการดูแลตนเอง
- G40.9F3R-4: ผู้ป่วยมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคลมชักและแนวทางการป้องกันการชัก
……………………………………..
G40.9F4 ขาดความรู้ (Knowledge Deficit)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยสอบถามเกี่ยวกับสาเหตุและการจัดการโรคลมชัก
- ผู้ป่วยหรือญาติแสดงความกังวลเกี่ยวกับการดูแลหลังเกิดอาการชัก
O:
- ผู้ป่วยไม่สามารถอธิบายวิธีการป้องกันอาการชักได้
- ผู้ป่วยไม่เข้าใจวิธีการใช้ยาต้านชักหรือการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม
- ผู้ป่วยหรือญาติไม่มีการวางแผนเกี่ยวกับการดูแลเมื่อเกิดการชัก
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยหรือญาติมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคลมชัก การใช้ยา และการจัดการตนเอง
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวและดูแลตนเองอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
Evaluate
Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายลักษณะของโรคลมชักและปัจจัยกระตุ้นได้ถูกต้อง
- ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาต้านชักได้อย่างเหมาะสม
- ญาติหรือผู้ดูแลสามารถจัดการสถานการณ์เมื่อเกิดอาการชักได้
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- G40.9F4I-1: อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับโรคลมชัก เช่น ลักษณะอาการ ปัจจัยกระตุ้น และแนวทางป้องกัน
- G40.9F4I-2: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาต้านชัก เช่น เวลาที่ควรรับประทานยา และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- G40.9F4I-3: สอนวิธีการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันอาการชัก เช่น การนอนหลับเพียงพอ การลดความเครียด และการหลีกเลี่ยงสารกระตุ้น
- G40.9F4I-4: จัดทำเอกสารหรือแผนที่ชัดเจนสำหรับการปฏิบัติเมื่อเกิดอาการชัก เช่น การจัดท่าผู้ป่วยให้นอนตะแคงและการดูแลทางเดินหายใจ
- G40.9F4I-5: สอนญาติหรือผู้ดูแลวิธีการช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อเกิดการชัก เช่น การป้องกันการบาดเจ็บและไม่ใช้สิ่งของยัดปากผู้ป่วย
- G40.9F4I-6: ประเมินความเข้าใจของผู้ป่วยหรือญาติโดยการให้สรุปหรือแสดงวิธีปฏิบัติ
- G40.9F4I-7: แนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน (Support Group) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์
Response
(การตอบสนอง)
- G40.9F4R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายเกี่ยวกับโรคลมชักและการปฏิบัติตนได้ถูกต้อง
- G40.9F4R-2: ผู้ป่วยใช้ยาต้านชักตามคำแนะนำโดยไม่มีข้อผิดพลาด
- G40.9F4R-3: ญาติหรือผู้ดูแลสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดอาการชัก
- G40.9F4R-4: ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกมั่นใจในการจัดการตนเองและปฏิบัติตามคำแนะนำ
…………………………………….
G40.9F5 ครอบครัวอาจรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดได้ยาก (Families may struggle to cope with challenging situations)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ญาติแสดงความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการดูแลผู้ป่วย
- สมาชิกครอบครัวกล่าวถึงความเหนื่อยล้าหรือเครียดจากการดูแล
O:
- สังเกตสมาชิกในครอบครัวมีอาการเหนื่อยล้า เช่น ใบหน้าหมองคล้ำ ขาดพลังงาน
- สมาชิกในครอบครัวขาดความรู้หรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อการดูแลผู้ป่วย
- พบว่าครอบครัวขาดแผนการช่วยเหลือหรือสนับสนุนระหว่างการดูแล
Goals
(เป้าหมาย)
- ครอบครัวมีความรู้และความเข้าใจในการดูแลผู้ป่วยโรคลมชักอย่างเหมาะสม
- สมาชิกในครอบครัวสามารถรับมือกับสถานการณ์และดูแลตนเองได้ดีขึ้น
- ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวดีขึ้นและสนับสนุนกันมากขึ้น
Evaluate
Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ครอบครัวสามารถอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับโรคและวิธีการดูแลผู้ป่วยได้
- สมาชิกในครอบครัวมีการสนับสนุนและแบ่งหน้าที่ในการดูแลกันอย่างเหมาะสม
- สมาชิกในครอบครัวรายงานว่าความเครียดและความกังวลลดลง
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- G40.9F5I-1: ประเมินระดับความรู้ ความเข้าใจ และความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยของครอบครัว
- G40.9F5I-2: ให้คำปรึกษาและข้อมูลเกี่ยวกับโรคลมชัก รวมถึงวิธีการดูแลเมื่อเกิดการชัก
- G40.9F5I-3: ช่วยวางแผนการดูแลผู้ป่วยร่วมกับครอบครัว โดยแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างชัดเจน
- G40.9F5I-4: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิตของสมาชิกในครอบครัว เช่น การพักผ่อน การปรึกษานักจิตวิทยา หรือการใช้เทคนิคการผ่อนคลาย
- G40.9F5I-5: สนับสนุนให้ครอบครัวเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน (Support Group) เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้น
- G40.9F5I-6: ช่วยระบุแหล่งทรัพยากรสนับสนุน เช่น การดูแลจากอาสาสมัครหรือหน่วยงานสุขภาพในชุมชน
- G40.9F5I-7: ประเมินความต้องการของครอบครัวอย่างต่อเนื่องและปรับแผนการดูแลตามสถานการณ์
Response
(การตอบสนอง)
- G40.9F5R-1: ครอบครัวสามารถอธิบายลักษณะโรคลมชักและวิธีการดูแลได้ถูกต้อง
- G40.9F5R-2: สมาชิกในครอบครัวร่วมมือและแบ่งหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
- G40.9F5R-3: ครอบครัวรายงานว่าความเครียดลดลงและสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ได้
- G40.9F5R-4: ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวดีขึ้น
…………………………………….
G40.9F6 การเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสม (Impaired Physical
Mobility)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่ามีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือปวดเมื่อพยายามเคลื่อนไหว
- ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยหรือหมดแรงหลังการชัก
O:
- ผู้ป่วยเคลื่อนไหวช้า หรือเคลื่อนไหวผิดปกติ
- ผู้ป่วยมีการพึ่งพาคนดูแลหรืออุปกรณ์ช่วยเดิน
- ตรวจพบการเกร็งหรืออ่อนแรงของกล้ามเนื้อบางส่วน
- พบว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการล้มขณะเคลื่อนไหว
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเหมาะสมโดยลดการพึ่งพาผู้อื่นหรืออุปกรณ์ช่วย
- ผู้ป่วยมีความมั่นใจและปลอดภัยในการเคลื่อนไหว
- ลดความเสี่ยงต่อการล้มและการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหว
Evaluate
Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นหรือใช้อุปกรณ์ช่วย
- ผู้ป่วยไม่มีอาการปวดหรืออ่อนแรงมากขึ้นระหว่างเคลื่อนไหว
- ไม่มีเหตุการณ์การล้มหรือการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- G40.9F6I-1: ประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย เช่น ระยะการเคลื่อนไหว (Range of Motion) และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- G40.9F6I-2: จัดท่าทางที่เหมาะสมให้ผู้ป่วยในช่วงพักฟื้น เช่น ท่านอนศีรษะสูง หรือท่านอนตะแคงเพื่อลดแรงกด
- G40.9F6I-3: ช่วยผู้ป่วยฝึกการเคลื่อนไหวเบื้องต้น เช่น การลุกจากเตียง การนั่ง การเดิน
- G40.9F6I-4: สนับสนุนการใช้เครื่องช่วยเดิน เช่น Walker หรือไม้เท้า เมื่อจำเป็น
- G40.9F6I-5: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การยืดกล้ามเนื้อ หรือกายภาพบำบัด
- G40.9F6I-6: ประเมินความเสี่ยงต่อการล้ม เช่น พื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย และจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเคลื่อนไหว
- G40.9F6I-7: กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเคลื่อนไหว
Response
(การตอบสนอง)
- G40.9F6R-1: ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้โดยมีอาการเจ็บปวดหรืออ่อนแรงลดลง
- G40.9F6R-2: ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เองโดยลดการพึ่งพาผู้อื่นหรืออุปกรณ์ช่วย
- G40.9F6R-3: ไม่มีเหตุการณ์การล้มหรือการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหว
- G40.9F6R-4: ผู้ป่วยรายงานความมั่นใจและความพอใจในการเคลื่อนไหว
………………………………..
G40.9F7 เสี่ยงต่อการไม่ปฏิบัติตามการใช้ยา (Risk for Noncompliance with Medication Regimen)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกไม่สบายหรือมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น ง่วงนอนมากเกินไป หรือคลื่นไส้
- ผู้ป่วยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้ยาในระยะยาว
- ญาติหรือผู้ดูแลแจ้งว่าผู้ป่วยมักลืมรับประทานยา
O:
- พบยาที่เหลือในจำนวนที่ไม่ตรงกับการใช้ยาที่กำหนด
- ผู้ป่วยไม่สามารถอธิบายวิธีการใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
- ผลการตรวจระดับยาในเลือดต่ำกว่าช่วงการรักษา
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามแผนการใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
- ลดความเสี่ยงต่อการหยุดใช้ยาโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถจัดการผลข้างเคียงของยาได้
Evaluate
Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างต่อเนื่อง
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีการใช้ยา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และการจัดการผลข้างเคียงได้
- ระดับยาภายในเลือดอยู่ในช่วงการรักษาที่เหมาะสม
- ไม่มีการชักซ้ำเนื่องจากหยุดยาเอง
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- G40.9F7I-1: ประเมินความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับแผนการใช้ยา และเหตุผลที่อาจทำให้ไม่ปฏิบัติตาม
- G40.9F7I-2: อธิบายถึงความสำคัญของการใช้ยาอย่างต่อเนื่องในการควบคุมอาการชัก
- G40.9F7I-3: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยา และวิธีการจัดการกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- G40.9F7I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยหรือครอบครัวใช้เครื่องช่วยเตือน เช่น แอปพลิเคชันบนมือถือ หรือกล่องแบ่งยา
- G40.9F7I-5: ติดตามระดับยาในเลือดเป็นระยะตามคำสั่งแพทย์เพื่อปรับการรักษา
- G40.9F7I-6: จัดให้มีการพบแพทย์หรือพยาบาลวิชาชีพสำหรับคำปรึกษาหรือการให้ข้อมูลเพิ่มเติม
- G40.9F7I-7: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากมีผลข้างเคียงที่รุนแรง
Response
(การตอบสนอง)
- G40.9F7R-1: ผู้ป่วยมีการรับประทานยาตรงเวลาและตามแผนการรักษา
- G40.9F7R-2: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายถึงความสำคัญของการใช้ยาและวิธีจัดการกับผลข้างเคียงได้
- G40.9F7R-3: ระดับยาในเลือดของผู้ป่วยอยู่ในช่วงการรักษาที่เหมาะสม
- G40.9F7R-4: ผู้ป่วยไม่มีการชักซ้ำหรือหยุดยาด้วยตนเอง
…………………………………
G40.9F8 กระบวนการครอบครัวที่ขัดแย้ง (Interrupted Family
Processes)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ครอบครัวรายงานว่ารู้สึกเครียดหรือมีความขัดแย้งเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย
- ญาติระบุว่ามีความลำบากในการแบ่งบทบาทหน้าที่ในการดูแล
- ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกกังวลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว
O:
- สมาชิกในครอบครัวแสดงพฤติกรรมหรือการสื่อสารที่ไม่ประสานกัน
- พบปัญหาการบริหารจัดการเวลาในการดูแลผู้ป่วยร่วมกับงานประจำ
- สมาชิกครอบครัวบางคนหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในการดูแล
Goals
(เป้าหมาย)
- ครอบครัวสามารถปรับตัวและบริหารจัดการบทบาทหน้าที่ในชีวิตประจำวันได้
- ลดความขัดแย้งภายในครอบครัวและส่งเสริมความร่วมมือในการดูแลผู้ป่วย
- ครอบครัวมีความเข้าใจและสามารถสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Evaluate
Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ครอบครัวสามารถวางแผนและแบ่งบทบาทหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยได้
- การสื่อสารในครอบครัวมีความชัดเจนและประสานกันมากขึ้น
- ครอบครัวรายงานว่ารู้สึกเครียดน้อยลงและมั่นใจในบทบาทของตนเอง
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- G40.9F8I-1: ประเมินความเข้าใจและบทบาทของสมาชิกในครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย
- G40.9F8I-2: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรคลมชัก เช่น การป้องกันการชักและการจัดการหลังชัก
- G40.9F8I-3: สนับสนุนให้ครอบครัวมีการประชุมเพื่อพูดคุยแบ่งหน้าที่และแก้ไขความขัดแย้ง
- G40.9F8I-4: จัดกิจกรรมหรือโปรแกรมส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว เช่น การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนครอบครัวผู้ป่วยโรคลมชัก
- G40.9F8I-5: ให้การสนับสนุนด้านจิตสังคม เช่น การจัดหานักจิตวิทยาหรือเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์
- G40.9F8I-6: ส่งเสริมการสื่อสารในครอบครัวอย่างสร้างสรรค์ เช่น การใช้เทคนิคการฟังอย่างตั้งใจ
- G40.9F8I-7: ประเมินและติดตามผลของการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว
Response
(การตอบสนอง)
- G40.9F8R-1: ครอบครัวสามารถแบ่งหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
- G40.9F8R-2: การสื่อสารในครอบครัวมีความเข้าใจและลดความขัดแย้งลง
- G40.9F8R-3: ครอบครัวแสดงออกถึงความร่วมมือและการสนับสนุนผู้ป่วยอย่างชัดเจน
- G40.9F8R-4: ครอบครัวรายงานว่ารู้สึกพึงพอใจและมั่นใจในบทบาทการดูแลผู้ป่วย
........................................................
G40.9F9 เสี่ยงต่อการนอนไม่หลับ (Risk for Sleep Deprivation)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยระบุว่ามีปัญหาในการหลับหรือรู้สึกเหนื่อยล้าหลังตื่นนอน
- ผู้ป่วยกล่าวว่ารู้สึกกังวลเกี่ยวกับการชักในตอนกลางคืน
- ผู้ป่วยระบุว่าผลข้างเคียงของยาทำให้รู้สึกง่วงในตอนกลางวันและตื่นในตอนกลางคืน
O:
- สังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยล้าหรือดูอ่อนเพลีย
- การบันทึกการนอนหลับแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยนอนหลับไม่ต่อเนื่อง
- สังเกตพฤติกรรมระหว่างวัน เช่น ง่วงนอนมากผิดปกติ
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้อย่างเพียงพอ (7-8 ชั่วโมงต่อคืน)
- ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกพักผ่อนเพียงพอหลังตื่นนอน
- ลดผลกระทบจากการนอนไม่หลับต่อกิจวัตรประจำวัน
Evaluate
Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถหลับพักผ่อนได้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อคืน
- ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกสดชื่นและไม่เหนื่อยล้าหลังตื่นนอน
- บันทึกการนอนแสดงรูปแบบการหลับที่ต่อเนื่อง
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- G40.9F9I-1: ประเมินรูปแบบการนอนหลับของผู้ป่วย รวมถึงปัจจัยที่รบกวนการนอน เช่น ความเครียดหรือผลข้างเคียงของยา
- G40.9F9I-2: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการนอน เช่น การลดแสงและเสียงในห้องนอน
- G40.9F9I-3: สอนเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกและการทำสมาธิก่อนนอน
- G40.9F9I-4: แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนหรืออาหารที่กระตุ้นก่อนนอน
- G40.9F9I-5: ประเมินและปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาที่อาจส่งผลต่อการนอนหลับ
- G40.9F9I-6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยสร้างกิจวัตรการนอนหลับที่สม่ำเสมอ เช่น การเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน
- G40.9F9I-7: ส่งเสริมการออกกำลังกายเบาๆ ในระหว่างวันเพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพการนอน
- G40.9F9I-8: ติดตามการตอบสนองของผู้ป่วยต่อมาตรการที่ให้และปรับปรุงการดูแลตามความเหมาะสม
Response
(การตอบสนอง)
- G40.9F9R-1: ผู้ป่วยรายงานว่าสามารถหลับพักผ่อนได้อย่างต่อเนื่องและตื่นนอนอย่างสดชื่น
- G40.9F9R-2: ผู้ป่วยไม่มีอาการเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียในระหว่างวัน
- G40.9F9R-3: การบันทึกการนอนหลับแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยนอนหลับอย่างมีคุณภาพ
- G40.9F9R-4: ผู้ป่วยรายงานว่าสามารถจัดการความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับได้ดีขึ้น
......................................................
อำภัย อินดี