เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2567

EP. 19 👉👉ตัวอย่าง :การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดบวม (Pneumonia) : J18

 

 พยาธิสภาพของการพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดบวม (Pneumonia)

โรคปอดบวมคือการอักเสบของเนื้อปอด ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา การติดเชื้อทำให้เกิดการอักเสบในถุงลมปอด ทำให้ถุงลมเต็มไปด้วยหนองและสารคัดหลั่ง ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ผู้ป่วยจึงมีอาการหายใจลำบาก ไอ มีไข้ และเจ็บหน้าอก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม การติดเชื้ออาจลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือภาวะหายใจล้มเหลว

การรักษาผู้ป่วยโรคปอดบวม (Pneumonia)

การรักษาโรคปอดบวมมุ่งเน้นไปที่การกำจัดเชื้อโรคและบรรเทาอาการ ในกรณีส่วนใหญ่ ผู้ป่วยจะได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หากสาเหตุเกิดจากไวรัส การรักษาจะเน้นที่การบรรเทาอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ การรักษาอาจรวมถึงการให้ออกซิเจนเพื่อช่วยในการหายใจ และการทำกายภาพบำบัดทรวงอกเพื่อช่วยในการขับเสมหะ ในกรณีที่รุนแรง ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดบวม (Pneumonia)

การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดบวมมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการรักษาและฟื้นฟู ผู้ป่วยควรได้รับการดูแลเพื่อให้ได้รับยาตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องและครบถ้วน พยาบาลจะติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เช่น อุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ และระดับออกซิเจนในเลือด เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม นอกจากนี้ การดูแลทางด้านจิตใจก็มีความสำคัญ ผู้ป่วยอาจรู้สึกกังวลหรือกลัวเนื่องจากอาการป่วย การให้กำลังใจและการสนับสนุนทางอารมณ์จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจและมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรค

การวินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดบวม (Pneumonia)

  1. J18F1 การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่อง (Impaired Gas Exchange)
  2. J18F2 การกำจัดเสมหะไม่มีประสิทธิภาพ (Ineffective Airway Clearance)
  3. J18F3 การขาดสารน้ำ/การคายน้ำ (Risk for Deficient Fluid Volume)
  4. J18F4 เสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน (Risk for Infection)
  5. J18F5 การรับประทานอาหารและน้ำไม่เพียงพอ (Imbalanced Nutrition: Less Than Body Requirements)
  6. J18F6 ความวิตกกังวล (Anxiety)
  7. J18F7 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจำหน่าย (Risk for Complications)
  8. J18F8 ความรู้ไม่เพียงพอเกี่ยวกับการดูแลตนเอง (Deficient Knowledge)
  9. J18F9 ประสิทธิภาพการดูแลตนเองบกพร่อง (Ineffective Self-Health Management)
  10. J18F10 เสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำของโรคปอดบวม (Risk for Recurrence)

หมายเหตุ: ตัวเลข F1, I-1, R-1 เป็นเพียงตัวเลขที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การจัดลำดับวินิจฉัยการพยาบาลเป็นไปอย่างมีระบบ อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม

.......................................................................

J18F1 การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่อง (Impaired Gas Exchange)

Assessment (การประเมิน)

  • หายใจไม่สะดวกต้องนั่งหายใจ 
  • การหายใจไม่สม่ำเสมอ         
  • หายใจเข้าลึกกว่าหายใจออก
  • กระสับกระส่าย
  • หายใจเข้ามีเสียงดังปีกจมูกบาน
  • ผิวหนังเริ่มซีด,เย็น
  • ผิวหนังสีเขียวคล้ำ โดยเห็นชัดบริเวณริมฝีปาก เล็บมือเล็บเท้า
  • pH <7.35
  • pO2 < 60 mmHg.
  • pCO2 >45 mmHg.
  • O2 sat <95 %
  • Hb < 12 g%
  • RR > 30 ครั้งต่อนาที
  • พบ Fine Crepitation
  • Chest X-ray ปอดพบ Infiltration
  • ระดับความรู้สึกตัวลดลง

Goals (เป้าหมาย)

  • ค่า SpO₂ ของผู้ป่วยอยู่ในช่วง 92-98% ภายใน 24 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยสามารถหายใจได้สะดวกขึ้นโดยไม่มีอาการหอบเหนื่อยในขณะพัก
  • การฟังปอดไม่พบเสียงผิดปกติ เช่น crackles หรือ wheezing
  • ผู้ป่วยมีความเข้าใจวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซ เช่น การฝึกหายใจลึก

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ค่า SpO₂ ของผู้ป่วยกลับมาในระดับปกติ (≥ 92%)
  • ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจได้สะดวกขึ้น และไม่มีอาการหายใจลำบาก
  • ไม่มีสีผิวซีดหรือเขียวคล้ำ
  • ผล X-ray แสดงการลดลงของการอักเสบที่ปอด

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • J18F1I-1 เฝ้าติดตามระดับความรู้สึกตัว อัตราการหายใจ ค่า SpOและสัญญาณชีพทุก 2-4 ชั่วโมง
  • J18F1I-2 ประเมินอาการ cyanosis สีผิวริมฝีปาก ปลายเล็บ และความลึกของการหายใจ พร้อมฟังเสียงปอดเพื่อ J18F01I03 ตรวจหาเสียงผิดปกติ เช่น crackles หรือ wheezing
  • J18F1I-4 ตรวจ ABG (Arterial Blood Gas) เป็นระยะเพื่อติดตามระดับ PaOและ PaCO
  • J18F1I-5 ประสานงานเพื่อตรวจ Chest X-ray เมื่อเหมาะสม
  • J18F1I-6 จัดท่าผู้ป่วยให้นอนศีรษะสูง 30-45 องศา หรือพลิกตะแคงทุก 2-4 ชั่วโมง
  • J18F1I-7 ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง โดยการดูดเสมหะอย่างเหมาะสม
  • J18F1I-8 ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจน High-flow nasal cannula/CPAP ในกรณีที่มีภาวะหายใจล้มเหลว
  • J18F1I-9 ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนทางหน้ากาก 7-15 ลิตร/นาที
  • J18F1I-10 สอนและกระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจลึก (diaphragmatic breathing) และไอขับเสมหะอย่างมีประสิทธิภาพ
  • J18F1I-11 ใช้เครื่อง incentive spirometer หรือ tri-flow เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของปอด
  • J18F1I-12 ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น amoxicillin หรือ ceftriaxone ตามคำสั่งแพทย์ (กรณีติดเชื้อแบคทีเรีย)
  • J18F1I-13 ให้ corticosteroids หากมีการอักเสบรุนแรง และพ่นยาขยายหลอดลม เช่น salbutamol หรือ ipratropium bromide
  • J18F1I-14 ตรวจสอบตำแหน่งและประสิทธิภาพของท่อช่วยหายใจ รวมถึงปรับ cuff pressure ให้อยู่ในช่วง 25-30 mmHg
  • J18F1I-15 ปรับการตั้งค่าเครื่องช่วยหายใจให้เหมาะสม พร้อมเฝ้าสังเกตอาการขณะฝึกหายใจด้วยเครื่อง (weaning)
  • J18F1I-16 ถอดท่อช่วยหายใจเมื่อผู้ป่วยพร้อม โดยเฝ้าสังเกตอาการหลังถอดอย่างใกล้ชิด และให้ผู้ป่วยลุกนั่งบนเตียงหรือเก้าอี้ทันทีเมื่อพร้อม
  • J18F1I-17 เฝ้าติดตามค่า SpOปลายนิ้วอย่างต่อเนื่อง และกระตุ้นให้ผู้ป่วยเปลี่ยนท่าบ่อย เพื่อป้องกันการคั่งของสารคัดหลั่งในปอด
  • J18F1I-18 สนับสนุนการเคลื่อนไหวเล็กน้อย เช่น การนั่งบนเก้าอี้ เพื่อป้องกันภาวะปอดแฟบ และฟื้นฟูสมรรถภาพการหายใจ

Response (การตอบสนอง)

  • เวลา # .
  • J18F1R-1 การหายใจสะดวก ไม่มีอาการหอบลึกใน
  • J18F1R-2 ผู้ป่วยไม่มีอาการกระสับกระส่าย ไม่พบอาการปีกจมูกบาน
  • J18F1R-3 ผิวหนังไม่ซีดหรือเย็นในระหว่างเวลา # .
  • J18F1R-4 ผิวหนังไม่พบอาการเขียวคล้ำ โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากและเล็บมือเล็บเท้า
  • J18F1R-5 ค่า pH อยู่ในช่วง 7.35 - 7.45
  • J18F1R-6 ค่า pO2 อยู่ในช่วง 60-100 mmHg
  • J18F1R-7 ค่า pCO2 อยู่ในช่วง 35-45 mmHg
  • J18F1R-8 ค่า O2 saturation มากกว่า 95%
  • J18F1R-9 ค่า Hb มากกว่า 12 g%
  • J18F1R-10 อัตราการหายใจ (RR) อยู่ในช่วง 12-30 ครั้งต่อนาที
  • J18F1R-11 ไม่พบเสียง Fine Crepitation
  • J18F1R-12 ผลการตรวจ X-ray ปอดไม่พบอาการ Infiltration
  • J18F1R-13ระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วยอยู่ในสภาวะปกติ

……………………………….

J18F2 การกำจัดเสมหะไม่มีประสิทธิภาพ (Ineffective Airway Clearance)

Assessment (การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไอไม่สามารถขับเสมหะออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความรู้สึกหายใจไม่สะดวกหรืออึดอัด
  • มีเสียงปอดผิดปกติ เช่น crackles, wheezing หรือ rhonchi บ่งชี้การคั่งของเสมหะ
  • สัญญาณชีพผิดปกติ เช่น อัตราการหายใจเกิน 30 ครั้ง/นาที และ SpOต่ำกว่า 92%
  • เสมหะหนาเหนียวหรือมีปริมาณมาก พร้อมการกระตุ้นหรือบวมของปีกจมูก
  • การหายใจหอบ และการตรวจ CXR พบความผิดปกติ
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัว (GCS) และอาการเช่น เหงื่อแตก, ใจสั่น, หน้าแดง, ปากบวม
  • หายใจหอบ = # ครั้ง/นาที

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยจะสามารถขับเสมหะออกจากทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่มีอาการหายใจลำบากภายใน 24-48 ชั่วโมง
  • ค่า SpO₂ ของผู้ป่วยจะคงอยู่ในช่วงที่เหมาะสม (≥ 92%) ภายใน 24 ชั่วโมง
  • เสมหะจะมีลักษณะที่สามารถขับออกได้ดีขึ้น (ไม่เหนียวหรือปริมาณลดลง) ภายใน 48 ชั่วโมง
  • การหายใจของผู้ป่วยจะคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ (อัตราการหายใจ30 ครั้ง/นาที) ภายใน 48 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยจะสามารถใช้เทคนิคการหายใจและการไอขับเสมหะอย่างมีประสิทธิภาพ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • SpO₂ ≥ 92% และไม่มีอาการหายใจลำบาก
  • ไม่มีเสียงผิดปกติที่พบจากการฟังปอด
  • เสมหะมีลักษณะที่สามารถขับออกได้ดีขึ้น (ไม่เหนียวหรือปริมาณลดลง)
  • อัตราการหายใจกลับสู่เกณฑ์ปกติ (≤ 30 ครั้ง/นาที)
  • ผู้ป่วยสามารถหายใจลึกหรือไอขับเสมหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ค่า pH, pCO₂ และ pO₂ ในช่วงปกติ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • J18F2I-1 ประเมินสัญญาณชีพทุก 2 ชั่วโมง และบันทึกการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษา
  • J18F2I-2 ประเมินการหายใจ สีผิว ระดับความรู้สึกตัว
  • J18F2I-3 Monitor O₂ saturation และรักษาระดับให้ > 95%
  • J18F2I-4 สนับสนุนให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง (Fowler's position) 30-45 องศา หรือพลิกตัวทุก 2-4 ชั่วโมง
  • J18F2I-5 ดูดเสมหะทางเดินหายใจให้โล่งทุก 2 ชั่วโมง และทุกครั้งที่มีเสมหะ
  • J18F2I-6 สังเกตลักษณะเสมหะ (สี, ความเหนียว, ปริมาณ) และอาการที่เกี่ยวข้อง
  • J18F2I-7 ใช้ incentive spirometer หรือ tri-flow เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของปอด
  • J18F2I-8 สอนและกระตุ้นให้ผู้ป่วยใช้เทคนิค diaphragmatic breathing และ pursed-lip breathing เพื่อช่วยขับเสมหะ
  • J18F2I-9 สอนการไอที่มีประสิทธิภาพเพื่อขับเสมหะออกจากทางเดินหายใจ
  • J18F2I-10 ใช้ยาขยายหลอดลม เช่น salbutamol หรือ ipratropium bromide เพื่อลดการหดตัวของหลอดลม
  • J18F2I-11 ให้การบำบัดด้วยออกซิเจนทาง nasal cannula หรือ face mask เพื่อรักษาระดับ SpO₂ ให้คงที่
  • J18F2I-12 พิจารณา high-flow nasal cannula หรือ CPAP หากผู้ป่วยมีภาวะหายใจล้มเหลว
  • J18F2I-13 ส่งตรวจ Chest X-ray หรือ ABG หากมีความผิดปกติทางการหายใจที่ยังไม่สามารถจัดการได้
  • J18F2I-14 ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ABG และ Chest X-ray
  • J18F2I-15 รายงานแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

Response (การตอบสนอง)

  • เวลา # .
  • J18F2R-1ผู้ป่วยสามารถขับเสมหะออกจากทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่มีอาการหายใจลำบาก
  • J18F2R-2 ค่า SpO₂ กลับมาสู่เกณฑ์ปกติ (≥ 92%) และไม่มีอาการหายใจเร็วหรือหายใจลำบาก
  • J18F2R-3 เสมหะลดปริมาณลงและมีความเหนียวลดลง
  • J18F2R-4 อัตราการหายใจอยู่ในเกณฑ์ปกติ (< 30 ครั้ง/นาที)
  • J18F2R-5 ผู้ป่วยแสดงความสามารถในการหายใจลึกและไอขับเสมหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

…………………………..

J18F3 การขาดสารน้ำ/การคายน้ำ (Risk for Deficient Fluid Volume)

Assessment (การประเมิน)

  • สังเกตอาการและอาการแสดงของการขาดน้ำ เช่น กระหายน้ำ, ผิวหนังแห้ง, ปากแห้ง, ปัสสาวะลดลง หรือสีปัสสาวะเข้ม
  • วัดสัญญาณชีพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจที่สูงขึ้น, ความดันโลหิตต่ำ หรือภาวะหายใจเร็ว
  • ประเมินน้ำหนักตัวทุกวัน เพื่อติดตามการขาดน้ำ
  • ตรวจสอบผลการตรวจห้องปฏิบัติการ เช่น ความเข้มข้นของเลือด (hematocrit, BUN) หรือระดับอิเล็กโทรไลต์ที่ผิดปกติ
  • ตรวจสัญญาณการขาดน้ำจากระบบการหายใจ เช่น การหายใจเร็วหรือหายใจตื้น
  • สังเกตการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการให้น้ำหรือสารน้ำ

Goals (เป้าหมาย)

  • รักษาสมดุลของสารน้ำในร่างกายให้คงที่
  • ลดหรือป้องกันอาการแห้งกร้านของผิวหนังและปาก
  • ป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำและการหายใจเร็วจากการขาดน้ำ
  • ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการขาดน้ำที่มีผลต่อการทำงานของอวัยวะ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • สัญญาณชีพ เช่น ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจที่คงที่
  • ปัสสาวะออกปกติ (ปริมาณและสี) และไม่มีอาการของการขาดน้ำ
  • น้ำหนักตัวคงที่หรือเพิ่มขึ้นตามที่คาด
  • ความชุ่มชื้นของผิวหนังและเยื่อบุปากดีขึ้น
  • ผลตรวจห้องปฏิบัติการที่เป็นปกติ (เช่น ความเข้มข้นของเลือดลดลง)

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • J18F3I-1 ประเมินปริมาณการบริโภคและการสูญเสียของเหลวทุกวัน
  • J18F3I-2 ให้ของเหลวทางปากหรือทางหลอดเลือดดำตามความจำเป็นเพื่อชดเชยการขาดน้ำ
  • J18F3I-3 สนับสนุนให้ผู้ป่วยดื่มน้ำบ่อย และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดื่มน้ำ
  • J18F3I-4 สังเกตการเปลี่ยนแปลงของปริมาณปัสสาวะและสีของปัสสาวะทุกวัน
  • J18F3I-5 ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (IV fluids) ตามคำสั่งแพทย์หากผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำที่รุนแรง
  • J18F3I-6 ตรวจสอบระดับอิเล็กโทรไลต์และให้การทดแทนหากจำเป็น
  • J18F3I-7 ให้สารละลายเกลือและน้ำตาล (oral rehydration solution) หากผู้ป่วยสามารถรับประทานได้
  • J18F3I-8 ควบคุมและจัดการสภาวะที่อาจเป็นสาเหตุของการขาดน้ำ เช่น การอาเจียน, ท้องเสีย หรือการมีไข้สูง

Response (การตอบสนอง)

  • เวลา # .
  • J18F3R-1 อาการของการขาดน้ำ เช่น กระหายน้ำ, ปากแห้ง, และผิวหนังแห้งดีขึ้น
  • J18F3R-2 การไหลของปัสสาวะกลับคืนเป็นปกติและสีปัสสาวะอ่อนลง
  • J18F3R-3 น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม
  • J18F3R-4 สัญญาณชีพเช่น ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจกลับสู่ภาวะปกติ
  • J18F3R-5 ผลตรวจห้องปฏิบัติการแสดงระดับของอิเล็กโทรไลต์ที่สมดุล
  • J18F3R-6 ผู้ป่วยมีพลังงานดีขึ้นและสามารถดำเนินกิจกรรมประจำวันได้อย่างปกติ

……………………………..

J18F4 เสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน (Risk for Infection)

Assessment (การประเมิน)

  • สังเกตสัญญาณและอาการของการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง, การเปลี่ยนแปลงในอุณหภูมิร่างกาย, การมีหนองหรือสารคัดหลั่งที่ไม่ปกติ
  • ตรวจสอบประวัติการรักษา เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะ, การผ่าตัด หรือการใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ
  • ประเมินสถานะของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน (เช่น เบาหวาน, HIV)
  • ตรวจสอบการเจาะหรือการใส่สายสวนที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ (เช่น catheter, IV line)
  • ประเมินอาการทางเดินหายใจ เช่น เสมหะที่มีสีผิดปกติ, การหายใจลำบาก, หรือเสียงผิดปกติที่เกิดจากการติดเชื้อ
  • สังเกตการตอบสนองของผู้ป่วยต่อยาปฏิชีวนะหรือการรักษา

Goals (เป้าหมาย)

  • ป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการรักษา
  • รักษาสถานะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยให้แข็งแรง
  • ลดการแพร่กระจายของเชื้อหรือการติดเชื้อใหม่
  • สนับสนุนการฟื้นตัวจากการติดเชื้อแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
  • ติดตามอาการการติดเชื้อและให้การรักษาที่เหมาะสมตามสถานการณ์

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • อาการไข้ลดลงหรือหายไป, ไม่มีอาการบวมและการติดเชื้อที่เห็นได้ชัด
  • ปริมาณและลักษณะของสารคัดหลั่ง (เช่น เสมหะ) กลับสู่ภาวะปกติ หรือไม่มีการเพิ่มขึ้น
  • ไม่มีการติดเชื้อจากแหล่งภายนอก (เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์)
  • ผลการตรวจห้องปฏิบัติการแสดงค่า WBC, CRP และอุณหภูมิร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ความดันโลหิต, อัตราการเต้นของหัวใจ, และการหายใจอยู่ในภาวะปกติ
  • การฟื้นฟูจากการติดเชื้อและการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • J18F4I-1 สังเกตและบันทึกอาการของการติดเชื้อ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในสัญญาณชีพ
  • J18F4I-2 ให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์และติดตามการตอบสนองของผู้ป่วย
  • J18F4I-3 ประเมินความเสี่ยงของการติดเชื้อในระหว่างการรักษา (เช่น การใช้สายสวน, การใส่ท่อช่วยหายใจ) และปรับปรุงการป้องกัน
  • J18F4I-4 ตรวจวัดและบันทึกสัญญาณชีพ (อุณหภูมิ, ความดันโลหิต, อัตราการเต้นของหัวใจ) ทุก 2-4 ชั่วโมง
  • J18F4I-5 จัดให้มีการรักษาความสะอาดในพื้นที่ที่มีการติดเชื้อเช่น เปลี่ยนผ้าปูที่นอน,การทำความสะอาดบาดแผล, หรือการเปลี่ยนสายสวน
  • J18F4I-6 ใช้เทคนิคการป้องกันการติดเชื้อที่เหมาะสม (เช่น การใช้มือสะอาด, การใช้อุปกรณ์ส่วนบุคคล) และการปฏิบัติตามแนวทางการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล
  • J18F4I-7 ส่งตัวอย่างการเพาะเชื้อและตรวจหาการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุหากมีการเปลี่ยนแปลงทางคลินิกที่น่าสงสัย
  • J18F4I-8 ส่งการตรวจห้องปฏิบัติการ เช่น CBC, CRP, procalcitonin เพื่อตรวจสอบสัญญาณของการติดเชื้อ
  • J18F4I-9 ให้การสนับสนุนทางจิตใจและสอนผู้ป่วยเกี่ยวกับวิธีการป้องกันการติดเชื้อและการดูแลตัวเอง

Response (การตอบสนอง)

  • เวลา # .
  • J18F4R-1 ไม่มีอาการของการติดเชื้อ เช่น ไข้, บวม หรือหนอง
  • J18F4R-2 สัญญาณชีพอยู่ในภาวะปกติ (เช่น อุณหภูมิร่างกาย, ความดันโลหิต, อัตราการเต้นของหัวใจ)
  • J18F4R-3 การติดเชื้อที่ตรวจพบมีการควบคุมและไม่กระจายไปยังส่วนอื่น
  • J18F4R-4 ผลการตรวจห้องปฏิบัติการแสดงผลเป็นปกติ (เช่น WBC, CRP) หรือค่ากลับสู่ภาวะปกติ
  • J18F4R-5 ผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อการดูแลตนเองได้
  • J18F4R-6 การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมีประสิทธิภาพและอาการของการติดเชื้อทุเลาลง

……………………………….

J18F5 การรับประทานอาหารและน้ำไม่เพียงพอ (Imbalanced Nutrition: Less Than Body Requirements)

Assessment (การประเมิน)

  • สังเกตการรับประทานอาหารและน้ำของผู้ป่วย เช่น ปริมาณอาหารที่รับประทานได้, ความอยากอาหาร, การกลืนอาหาร
  • ตรวจสอบการลดลงของน้ำหนักตัว (ลดลงมากกว่า 5% ใน 1 เดือนหรือ 10% ใน 6 เดือน)
  • ประเมินสัญญาณของการขาดสารอาหาร เช่น ผิวหนังแห้ง, ขาดพลังงาน, อ่อนเพลีย, ผมร่วง
  • ประเมินความสามารถในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร เช่น ภาวะการย่อยอาหารบกพร่องหรือภาวะลำไส้หยุดชะงัก
  • สังเกตอาการของภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง, ผิวหนังยืดหยุ่นน้อย, อัตราการหายใจเร็ว, ความดันโลหิตต่ำ
  • ประเมินการดูดซึมสารอาหารจากการตรวจห้องปฏิบัติการ เช่น โปรตีนในเลือด, ระดับวิตามินและแร่ธาตุในเลือด

Goals (เป้าหมาย)

  • ให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารและน้ำที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
  • ป้องกันภาวะขาดน้ำหรือภาวะขาดสารอาหารที่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัว
  • ส่งเสริมการดูแลการรับประทานอาหารและน้ำเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและพลังงานให้กับร่างกาย
  • ฟื้นฟูน้ำหนักตัวให้กลับสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลาที่กำหนด
  • สร้างแรงจูงใจให้ผู้ป่วยมีความสนใจในการรับประทานอาหารและดื่มน้ำ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • การรับประทานอาหารและน้ำเพิ่มขึ้นตามความต้องการของร่างกาย
  • น้ำหนักตัวกลับคืนสู่ระดับปกติหรือเพิ่มขึ้นตามแผนการรักษา
  • สัญญาณชีพอยู่ในระดับปกติ และไม่มีอาการของภาวะขาดน้ำหรือขาดสารอาหาร
  • การดูดซึมสารอาหารดีขึ้นจากผลการตรวจห้องปฏิบัติการ เช่น ระดับโปรตีน, วิตามิน, แร่ธาตุในเลือด
  • ความรู้สึกของผู้ป่วยเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและน้ำดีขึ้น เช่น ไม่มีอาการเบื่ออาหารหรืออ่อนเพลีย

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • J18F5I-1 ประเมินและบันทึกการรับประทานอาหารและน้ำของผู้ป่วยทุกวัน รวมถึงประเภทและปริมาณที่รับประทาน
  • J18F5I-2 ส่งเสริมการรับประทานอาหารในปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้งเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานได้มากขึ้น
  • J18F5I-3 จัดเตรียมอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการทางโภชนาการของผู้ป่วย เช่น อาหารที่มีโปรตีนสูง, วิตามิน และแร่ธาตุ
  • J18F5I-4 สนับสนุนการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (ประมาณ 1.5-2 ลิตร/วัน ขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วย)
  • J18F5I-5 ใช้โภชนาการเสริม (เช่น สารอาหารทางการแพทย์) ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้เพียงพอ
  • J18F5I-6 สอนเทคนิคการรับประทานอาหารให้มีประสิทธิภาพ เช่น การกินช้าๆ และการเคี้ยวให้ละเอียด
  • J18F5I-7 พิจารณาการให้โภชนาการทางหลอดเลือด (parenteral nutrition) หรือทางการป้อนอาหารทางสาย (enteral nutrition) หากผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานได้
  • J18F5I-8 ประเมินสัญญาณของภาวะขาดน้ำหรือขาดสารอาหาร และให้การรักษาที่เหมาะสม เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือด
  • J18F5I-9 ติดตามผลการตรวจห้องปฏิบัติการ เช่น การทดสอบระดับโปรตีนและวิตามิน รวมถึงปรับการรักษาตามความจำเป็น
  • J18F5I-10 สนับสนุนการจัดการกับภาวะคลื่นไส้หรือปัญหาการกลืนอาหารด้วยการใช้ยาหรือการให้คำแนะนำ

Response (การตอบสนอง)

  • เวลา # .
  • J18F5R-1 ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารและน้ำได้ตามที่กำหนด
  • J18F5R-2 น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามแผนการรักษา
  • J18F5R-3 สัญญาณชีพอยู่ในภาวะปกติ และไม่มีอาการขาดน้ำหรือขาดสารอาหาร
  • J18F5R-4 การดูดซึมสารอาหารดีขึ้นตามผลการตรวจห้องปฏิบัติการ
  • J18F5R-5 ผู้ป่วยมีความกระตือรือร้นในการรับประทานอาหารและดื่มน้ำ
  • J18F5R-6 ผู้ป่วยแสดงอาการฟื้นตัวจากภาวะขาดสารอาหารหรือภาวะขาดน้ำ

………………………………………

J18F6 ความวิตกกังวล (Anxiety)

Assessment (การประเมิน)

  • สังเกตอาการทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล เช่น เหงื่อออกมาก, หายใจถี่, หัวใจเต้นเร็ว, ปากแห้ง, กล้ามเนื้อเกร็ง
  • ประเมินพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงความวิตกกังวล เช่น การขยับตัวหรือกระวนกระวาย, การพูดตัดคำ, หรือการถามคำถามซ้ำๆ
  • สังเกตการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษา เช่น ความร่วมมือในการหายใจหรือรับการรักษา
  • ประเมินระดับความวิตกกังวลโดยใช้เครื่องมือวัด เช่น แบบสอบถามระดับความวิตกกังวล (เช่น GAD-7)
  • ประเมินความเข้าใจและความรู้ของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคปอดบวมและการรักษา
  • สังเกตการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการขาดออกซิเจนหรือการหายใจลำบาก เช่น การแสดงความวิตกกังวลเพิ่มขึ้น
  • ประเมินความรู้สึกของผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นและผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

Goals (เป้าหมาย)

  • ลดระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยให้มีความสงบและผ่อนคลายมากขึ้น
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการรักษาและการดูแลสุขภาพ
  • เพิ่มความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคปอดบวมและวิธีการจัดการกับอาการ
  • ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับอาการหายใจลำบากและความรู้สึกวิตกกังวลอย่างมีประสิทธิภาพ
  • กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีทัศนคติที่ดีต่อการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ
  • ลดความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้องกับการรักษาและการพักฟื้น

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลงจากการประเมินโดยใช้เครื่องมือวัด
  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยความสงบและลดการแสดงออกทางกายภาพของความวิตกกังวล
  • ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการหายใจและการรักษาอย่างเต็มที่
  • การแสดงความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคและการรักษาดีขึ้น
  • สัญญาณทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล เช่น อัตราการหายใจ, การเต้นของหัวใจ, และความดันโลหิตอยู่ในภาวะปกติ
  • ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคการผ่อนคลายและหายใจเพื่อลดความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • J18F6I-1 สอนและฝึกเทคนิคการหายใจที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก (diaphragmatic breathing), การหายใจช้าๆ
  • J18F6I-2 สอนเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ (mindfulness), การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (progressive muscle relaxation)
  • J18F6I-3 อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับโรคปอดบวมและกระบวนการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจและลดความกังวล
  • J18F6I-4 ส่งเสริมการสื่อสารระหว่างผู้ป่วยและทีมแพทย์เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีการดูแลและได้รับข้อมูลที่ชัดเจน
  • J18F6I-5 ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ยากล่อมประสาท (anxiolytics) หรือยาระงับความเครียด
  • J18F6I-6 กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ช่วยลดความวิตกกังวล เช่น การฟังเพลง, การอ่านหนังสือ หรือการทำกิจกรรมที่ชอบ
  • J18F6I-7 ตรวจสอบและดูแลระดับออกซิเจนในผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยการให้การบำบัดออกซิเจนที่เหมาะสม
  • J18F6I-8 สนับสนุนให้ผู้ป่วยมีการพักผ่อนอย่างเพียงพอและในสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย
  • J18F6I-9 สนับสนุนผู้ป่วยในการพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองและช่วยในการจัดการกับความวิตกกังวล

Response (การตอบสนอง)

  • เวลา # .
  • J18F6R-1 ระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลงและมีความสงบขึ้น
  • J18F6R-2 ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคการผ่อนคลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • J18F6R-3 ผู้ป่วยแสดงความเข้าใจในโรคและการรักษามากขึ้น
  • J18F6R-4 สัญญาณทางกายภาพของความวิตกกังวล เช่น อัตราการหายใจและการเต้นของหัวใจลดลง
  • J18F6R-5 ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการหายใจและการรักษาอย่างเต็มที่
  • J18F6R-6 ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้โดยไม่รู้สึกวิตกกังวลมากเกินไป
  • J18F6R-7 ผู้ป่วยแสดงการฟื้นตัวทางอารมณ์ที่ดีขึ้นจากการจัดการความวิตกกังวล
  • J18F6R-8 ความรู้สึกวิตกกังวลในระยะยาวลดลงหลังการดูแลที่เหมาะ

……………………………..

J18F7 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจำหน่าย (Risk for Complications)

Assessment (การประเมิน)

  • ประเมินสัญญาณชีพของผู้ป่วย เช่น อัตราการหายใจ, อัตราการเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, และอุณหภูมิร่างกาย เพื่อสังเกตภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
  • สังเกตการทำงานของปอด เช่น อาการหายใจถี่, ไอ, เสมหะที่มีลักษณะผิดปกติ (หนาหรือมีเลือดปน)
  • ตรวจสอบระดับ SpO₂ อย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามการหายใจและการรับออกซิเจน
  • ประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย (GCS) และอาการทางประสาท
  • สังเกตอาการข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น อาการแพ้, ปฏิกิริยาต่อยา
  • ประเมินความเสี่ยงจากการติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด
  • สังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อนหลังการรักษา เช่น การบวม, การคลาดเคลื่อนของระดับน้ำตาลในเลือด, หรือการติดเชื้อที่ปอด
  • ตรวจสอบผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ค่า ABG, CXR, CBC, และการทดสอบอื่นๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน

Goals (เป้าหมาย)

  • ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังการจำหน่าย
  • เพิ่มการฟื้นตัวที่ดีขึ้นจากโรคปอดบวม โดยลดอัตราการติดเชื้อแทรกซ้อน
  • ส่งเสริมการรักษาและการดูแลที่เหมาะสมหลังการจำหน่าย
  • ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาว
  • กระตุ้นให้ผู้ป่วยรับการดูแลต่อเนื่องจากทีมสุขภาพหลังการจำหน่าย
  • ลดการเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวหรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับโรคปอดบวมในระยะยาว

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไม่พบอาการของภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหรือภาวะหายใจล้มเหลว
  • ไม่มีการเพิ่มขึ้นของสัญญาณชีพที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติ
  • ระดับออกซิเจน (SpO₂) คงที่และอยู่ในระดับที่ปลอดภัย (มากกว่า 94%)
  • ผู้ป่วยฟื้นตัวจากโรคปอดบวมได้ดี โดยไม่มีอาการแทรกซ้อนหลังจำหน่าย
  • ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ABG, CBC, และ CXR เป็นปกติหรือแสดงให้เห็นการฟื้นตัวที่ดี
  • ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองได้หลังการจำหน่ายและได้รับคำแนะนำในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต
  • ผู้ป่วยไม่พบอาการของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาหรือการรักษา

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • J18F7I-1 สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังการจำหน่าย เช่น การติดตามการใช้ยา, การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้โรคปอดบวมกลับมา
  • J18F7I-2 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำกิจกรรมทางกายเพื่อเพิ่มการหายใจและป้องกันภาวะปอดแฟบ (เช่น การหายใจลึกและการเคลื่อนไหว)
  • J18F7I-3 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยดูแลการปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและน้ำ
  • J18F7I-4 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับการติดตามจากแพทย์หรือการดูแลสุขภาพอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอหลังการจำหน่าย
  • J18F7I-5 สอนวิธีการสังเกตอาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อน เช่น การหายใจที่ผิดปกติ, ปวดที่หน้าอก, ไข้สูง
  • J18F7I-6 จัดให้มีการตรวจสอบภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, ปอดอักเสบ, การบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง
  • J18F7I-7 ให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือยาตามที่แพทย์สั่งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • J18F7I-8 แนะนำการใช้เครื่องมือช่วยหายใจหรือออกซิเจนหากจำเป็นหลังการจำหน่าย
  • J18F7I-9 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้ารับการฟื้นฟูสุขภาพอย่างครบวงจรหลังจำหน่าย

Response (การตอบสนอง)

  • เวลา # .
  • J18F7R-1 ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังการจำหน่าย
  • J18F7R-2 สัญญาณชีพของผู้ป่วยคงที่และอยู่ในช่วงปกติ
  • J18F7R-3 ผลการตรวจสุขภาพหลังจำหน่ายเป็นปกติ หรือแสดงถึงการฟื้นตัวที่ดี
  • J18F7R-4 ระดับออกซิเจนในเลือดคงที่ (SpO₂ > 94%)
  • J18F7R-5 ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติหลังจากฟื้นตัวจากโรคปอดบวม
  • J18F7R-6 ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่
  • J18F7R-7 ผู้ป่วยไม่พบการเกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติม เช่น การติดเชื้อหรือการหายใจล้มเหลว
  • J18F7R-8 ผู้ป่วยแสดงท่าทีที่มีสุขภาพดีและไม่ประสบปัญหาจากภาวะแทรกซ้อนหลังจำหน่าย

..................................

J18F8 ความรู้ไม่เพียงพอเกี่ยวกับการดูแลตนเอง (Deficient Knowledge)

Assessment (การประเมิน)

  • ประเมินระดับความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคปอดบวมและการดูแลตัวเองหลังการรักษา
  • สังเกตการตอบสนองของผู้ป่วยต่อคำแนะนำจากทีมสุขภาพ เช่น ความเข้าใจในการใช้ยา, การปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับอาหาร, การเคลื่อนไหว, และการดูแลสุขภาพในระยะยาว
  • ประเมินการสอบถามและการตอบคำถามของผู้ป่วยเกี่ยวกับการป้องกันการกลับมาของโรค
  • สังเกตท่าทางหรืออาการของผู้ป่วยที่แสดงถึงความวิตกกังวลหรือความสับสนในการดูแลตัวเอง
  • ประเมินการรับรู้ของผู้ป่วยเกี่ยวกับสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคปอดบวม เช่น การหายใจไม่สะดวก, ไอที่มีเสมหะมาก, หรือมีไข้สูง
  • ตรวจสอบระดับความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องช่วยหายใจ, การใช้ยาปฏิชีวนะ, การทำกายภาพบำบัดทางปอด, และการสังเกตสุขภาพทั่วไป

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง
  • ลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคปอดบวมและการฟื้นตัว
  • ส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถรับรู้และตรวจพบภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
  • ผู้ป่วยสามารถใช้ยาหรืออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
  • ผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการกลับมาของโรคปอดบวมและสามารถดูแลตนเองในระยะยาว
  • ผู้ป่วยสามารถรับการดูแลตนเองและการสนับสนุนจากครอบครัวหรือผู้ดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายได้ถึงวิธีการดูแลตัวเอง เช่น การใช้ยา, การทำกายภาพบำบัด, การดูแลโภชนาการ, และการป้องกันการกลับมาของโรค
  • ผู้ป่วยสามารถจำคำแนะนำในการดูแลตนเองได้และสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
  • ผู้ป่วยสามารถรับรู้สัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นและสามารถติดต่อทีมสุขภาพได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ
  • ผู้ป่วยสามารถจัดการกับความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและการรักษาได้
  • ผู้ป่วยแสดงความเข้าใจเกี่ยวกับการฟื้นตัวจากโรคปอดบวมและสามารถปรับตัวได้ตามคำแนะนำ
  • ความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคปอดบวมและการดูแลตนเองสามารถปรับปรุงได้จากการให้ข้อมูล

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • J18F8I-1 สอนผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับโรคปอดบวม, การใช้ยา, การทำกายภาพบำบัดทางปอด, และการป้องกันการกลับมาของโรค
  • J18F8I-2 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการสังเกตอาการที่อาจบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อน เช่น การหายใจลำบาก, เสมหะที่มีเลือด, J18F08I03 ใช้สื่อการเรียนรู้ เช่น โปสเตอร์, หนังสือ, หรือแผ่นพับที่อธิบายเกี่ยวกับการดูแลตัวเองและการป้องกันโรค
  • J18F8I-4 จัดให้มีการประชุมหรือการให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์
  • J18F8I-5 ส่งเสริมการพูดคุยและการสอบถามระหว่างผู้ป่วยและทีมสุขภาพเพื่อให้มั่นใจว่าได้รับความเข้าใจที่ถูกต้อง
  • J18F8I-6 สนับสนุนการสร้างความมั่นใจในตัวผู้ป่วยและครอบครัวโดยการให้ข้อมูลที่ชัดเจนและละเอียด
  • J18F8I-7 ตรวจสอบการปฏิบัติตามคำแนะนำที่ให้ไปและให้คำแนะนำเพิ่มเติมเมื่อจำเป็น

Response (การตอบสนอง)

  • เวลา # .
  • J18F8R-1 ผู้ป่วยสามารถอธิบายการดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและสามารถดำเนินการได้ตามคำแนะนำ
  • J18F8R-2 ผู้ป่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและการรักษาและรู้สึกมั่นใจในการดูแลตัวเอง
  • J18F8R-3 ผู้ป่วยสามารถสังเกตสัญญาณที่บ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนและติดต่อทีมสุขภาพได้ทันเวลา
  • J18F8R-4 ความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคและการรักษาได้รับการปรับปรุงตามข้อมูลที่ได้รับจากทีมสุขภาพ
  • J18F8R-5 ผู้ป่วยสามารถรับข้อมูลและคำแนะนำจากทีมสุขภาพได้อย่างเต็มที่และมีการนำไปปฏิบัติอย่างเหมาะสม
  • J18F8R-6 ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาและการดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้อง

…………………………..

J18F9 ประสิทธิภาพการดูแลตนเองบกพร่อง (Ineffective Self-Health Management)

Assessment (การประเมิน)

  • ประเมินความสามารถของผู้ป่วยในการรับผิดชอบต่อการดูแลตนเอง เช่น การรับประทานยา, การตรวจสอบสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน, และการปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์
  • สังเกตความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังการจำหน่าย เช่น การป้องกันการติดเชื้อ, การดูแลสุขอนามัย, การออกกำลังกาย, และการปฏิบัติตามแผนการรักษา
  • สังเกตอาการวิตกกังวลหรือความสับสนของผู้ป่วยที่อาจส่งผลต่อการดูแลตนเอง
  • ประเมินระดับความรู้ของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคปอดบวมและการปฏิบัติตามแผนการรักษา
  • ตรวจสอบความสามารถของผู้ป่วยในการใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้อง เช่น เครื่องช่วยหายใจ, การใช้ยาหรือยาฉีด, หรือเครื่องมือที่ใช้ในการดูแลตนเอง
  • สังเกตการติดตามหรือการบันทึกการตอบสนองต่อการรักษา, เช่น การประเมินผลการรักษาหรือการรับรู้สัญญาณของอาการผิดปกติ
  • ประเมินการเข้าถึงและการใช้บริการสุขภาพ เช่น การติดตามผลการรักษา หรือการขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือพยาบาล

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถรับผิดชอบในการดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ป่วยสามารถสังเกตและตอบสนองต่อสัญญาณของอาการผิดปกติได้อย่างทันท่วงที
  • ลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการดูแลตนเองและการฟื้นตัวจากโรคปอดบวม
  • ส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถใช้เครื่องมือการดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง
  • ผู้ป่วยสามารถติดต่อทีมสุขภาพเพื่อขอคำแนะนำเมื่อมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลตนเอง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายการดูแลตนเองเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อ, การรับประทานยา, การตรวจสุขภาพ และการทำกายภาพบำบัดได้อย่างถูกต้อง
  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาได้ เช่น การใช้ยา, การทำกายภาพบำบัด, และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ผู้ป่วยสามารถสังเกตและตอบสนองต่อสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนได้อย่างทันท่วงที
  • ผู้ป่วยสามารถใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์การดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจหรือเครื่องมือวัดออกซิเจน
  • ผู้ป่วยสามารถติดต่อทีมสุขภาพเมื่อพบปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลตนเอง
  • ผู้ป่วยมีทักษะในการจัดการความวิตกกังวลและการฟื้นตัวจากโรคปอดบวม

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • J18F9I-1 สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับวิธีการดูแลตนเอง เช่น การรับประทานยา, การใช้เครื่องมือช่วยหายใจ, การสังเกตสัญญาณของการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อน
  • J18F9I-2 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อ เช่น การล้างมือบ่อยๆ, การใช้หน้ากากอนามัย, การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีอาการของโรค
  • J18F9I-3 สอนผู้ป่วยถึงวิธีการประเมินสัญญาณของการหายใจลำบาก, ไอมีเสมหะ หรือการฟื้นตัวจากโรค
  • J18F9I-4 ตรวจสอบการปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษาและเสนอการปรับแผนการรักษาหากจำเป็น
  • J18F9I-5 จัดให้มีการตรวจติดตามการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษา เช่น การประเมินการใช้ยา, การประเมินอาการและการสังเกตผลข้างเคียงของยา
  • J18F9I-6 สนับสนุนให้ผู้ป่วยร่วมมือในการทำกายภาพบำบัดและกระตุ้นการหายใจอย่างมีประสิทธิภาพ
  • J18F9I-7 ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการจัดการความวิตกกังวล เช่น การฝึกการหายใจลึกหรือเทคนิคการผ่อนคลาย
  • J18F9I-8 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการดูแลผู้ป่วยและการสนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถทำการดูแลตนเองได้

Response (การตอบสนอง)

  • เวลา # .
  • J18F9R-1 ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องและปฏิบัติตามแผนการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง
  • J18F9R-2 ผู้ป่วยสามารถสังเกตและตอบสนองต่อสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนหรืออาการผิดปกติได้ทันที
  • J18F9R-3 ผู้ป่วยสามารถใช้เครื่องมือการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม เช่น เครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องวัดออกซิเจน
  • J18F9R-4 ผู้ป่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการดูแลตนเองและสามารถปรับตัวให้เข้ากับการรักษาได้ดีขึ้น
  • J18F9R-5 ผู้ป่วยมีการตอบสนองที่ดีต่อแผนการรักษาและแสดงผลการปรับปรุงในด้านสุขภาพ
  • J18F9R-6 ผู้ป่วยสามารถสื่อสารกับทีมสุขภาพได้เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลตนเอง
  • J18F9R-7 ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวในการดูแลตนเองและสามารถทำการดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

……………………………………..

J18F10 เสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำของโรคปอดบวม (Risk for Recurrence)

Assessment (การประเมิน)

  • ผู้ป่วยรายงานมีอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคปอดบวม เช่น ไอ, หายใจลำบาก, เจ็บหน้าอก, หรือรู้สึกเหนื่อยง่าย
  • ผู้ป่วยอาจมีประวัติการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างหรือการอักเสบในปอดมาก่อน
  • ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลับเป็นซ้ำของโรค หรือการฟื้นตัวจากโรคปอดบวม
  • ประเมินพฤติกรรมที่อาจเพิ่มความเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์, หรือการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา
  • ผู้ป่วยอาจไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์ หรือการป้องกันการติดเชื้อในอนาคต
  • สังเกตอาการที่อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อใหม่ เช่น ไอที่มีเสมหะ, ไข้, หรืออาการเหนื่อยล้าหนัก
  • การฟังเสียงปอดอาจพบเสียงผิดปกติ เช่น Crackles, Wheezing หรือ Rhonchi
  • การตรวจ SpO₂ ต่ำกว่า 95% หรือภาวะหายใจลำบาก
  • การตรวจ X-ray หรือ CT scan พบความผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อใหม่หรือการฟื้นตัวไม่เต็มที่
  • การตรวจค่าทางห้องปฏิบัติการ เช่น CBC, CRP, หรือ Procalcitonin ที่อาจบ่งชี้ถึงภาวะการอักเสบที่ยังคงอยู่
  • อัตราการหายใจที่สูงเกินไปหรือความผิดปกติในสัญญาณชีพที่อาจบ่งชี้ถึงการกลับเป็นซ้ำของโรค

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยจะได้รับการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างและลดความเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำของโรคปอดบวม
  • ผู้ป่วยจะสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด และมีการติดตามการรักษาที่ต่อเนื่องเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือการกลับเป็นซ้ำ
  • ผู้ป่วยจะมีการติดตามผลการรักษาและการตอบสนองต่อการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
  • ผู้ป่วยจะสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามแนวทางในการป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคปอดบวม
  • ผู้ป่วยจะลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ผู้ป่วยจะมีการปรับปรุงสุขภาพทางเดินหายใจและสามารถฟื้นตัวจากโรคปอดบวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไม่มีอาการหรือสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการกลับเป็นซ้ำของโรคปอดบวม เช่น ไม่มีไข้, ไอ, หรือหายใจลำบาก
  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาและคำแนะนำจากแพทย์ได้อย่างครบถ้วน
  • ค่า SpO₂, X-ray, และการตรวจห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • อัตราการหายใจของผู้ป่วยและสัญญาณชีพอยู่ในระดับปกติ
  • ผู้ป่วยสามารถบ่งชี้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น การเลิกสูบบุหรี่, การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์, หรือการใช้ยาตามแผนการรักษา
  • ผู้ป่วยสามารถสังเกตและรายงานอาการผิดปกติ เช่น การหายใจลำบากหรือการไอที่มีเสมหะได้ทันที

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • J18F10I-1 สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับวิธีการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น การล้างมือ, การสวมหน้ากากอนามัย, และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีอาการของโรค
  • J18F10I-2 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำกายภาพบำบัดทางเดินหายใจเพื่อส่งเสริมการขยายตัวของปอดและการไอขับเสมหะ
  • J18F10I-3 จัดทำแผนการรักษาที่ครอบคลุม โดยแนะนำการใช้ยา, การพักผ่อน, และการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
  • J18F10I-4 กระตุ้นให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์, หรือการไม่ออกกำลังกาย
  • J18F10I-5 ตรวจสอบการใช้ยาตามแผนการรักษาและปรับให้เหมาะสมตามการตอบสนองของผู้ป่วย
  • J18F10I-6 ประเมินการฟื้นตัวของผู้ป่วยและติดตามผลการรักษาด้วยการตรวจ SpO₂, Chest X-ray, และค่า Lab เพื่อตรวจสอบภาวะแทรกซ้อนหรือการกลับเป็นซ้ำของโรค
  • J18F10I-7 ให้คำแนะนำในการลดความวิตกกังวลและการสร้างทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับการฟื้นตัว
  • J18F10I-8 ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการติดตามผลการรักษาและการขอคำปรึกษาจากแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ

Response (การตอบสนอง)

  • เวลา # .
  • J18F10R-1 ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาและคำแนะนำจากแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • J18F10R-2 ผู้ป่วยไม่มีอาการหรือสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการกลับเป็นซ้ำของโรคปอดบวม
  • J18F10R-3 ค่า SpO₂ และผลการตรวจ X-ray หรือ Lab อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • J18F10R-4 ผู้ป่วยสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น การเลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • J18F10R-5 อัตราการหายใจและสัญญาณชีพของผู้ป่วยกลับสู่ระดับปกติ
  • J18F10R-6 ผู้ป่วยมีการสื่อสารกับทีมสุขภาพเมื่อมีอาการผิดปกติหรือข้อสงสัย
  • J18F10R-7 ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในการดูแลและสามารถปรับตัวในการรักษาโรคปอดบวมได้ดี

…………………………….

อำภัย  อินดี