การฟอกไตเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับภาวะทางคลินิกหลายประการที่ต้องจัดการอย่างเป็นระบบ
โดยใช้รหัส ICD-10
ในการระบุภาวะเพื่อสนับสนุนการบันทึกข้อมูลและการดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ
การฟอกไตแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ได้แก่:
1.การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) ขั้นตอน:
1.1 เตรียมอุปกรณ์และเครื่องฟอกไต
1.2 ต่อสายเข้ากับหลอดเลือดผู้ป่วย
1.3 เริ่มกระบวนการฟอกเลือด โดยเครื่องจะดึงเลือดออก กำจัดของเสีย และคืนเลือดที่ฟอกแล้วเข้าสู่ร่างกาย
1.4 ตรวจสอบภาวะแทรกซ้อนตลอดกระบวนการ
1.5 ยุติการฟอกไตและถอดสาย
2.การฟอกไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) ขั้นตอน:
2.1 ใส่สายเข้าในช่องท้องผู้ป่วย
2.2 เติมน้ำยาฟอกไตเข้าในช่องท้อง
2.3 ของเสียในเลือดถูกกรองผ่านเยื่อบุช่องท้อง
2.4 ระบายน้ำยาฟอกไตที่ใช้แล้วออก
2.5 ทำความสะอาดอุปกรณ์และเตรียมพร้อมสำหรับครั้งถัดไป
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยฟอกไต
1. มีภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างการฟอกเลือด
- CD-10: I10 (Interdialytic hypertension)
- เหตุผล: ภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างการฟอกเลือดเกิดจากการตอบสนองของระบบไหลเวียนโลหิตต่อการปรับสมดุลของเหลว
2. ผู้ป่วย ESRD ที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดช่องท้องและไม่สามารถล้างไตทางช่องท้อง (CAPD) ได้
- ICD-10: N18.6 (CAPD shift mode)
- เหตุผล: ESRD เป็นภาวะที่ทำให้ไม่สามารถล้างไตทางช่องท้องได้เนื่องจากข้อจำกัดจากภาวะแทรกซ้อน
3. เสี่ยงต่อการติดเชื้อและสาย TK malfunction หลังผ่าตัดวางสาย TK ภายใน 24 ชั่วโมง
- ICD-10: T82.0 (Complication of TK insertion)
- เหตุผล: ความเสี่ยงนี้เกิดจากการใช้สาย TK หลังการผ่าตัดที่อาจเกิดปัญหาการทำงานผิดปกติ
4. ภาวะสาย TK/Transfer set/ข้อต่อเลื่อนหลุด/ขาด/รั่ว
- ICD-10: T82.8 (Other complications of TK catheter)
- เหตุผล: การหลุดหรือรั่วของสาย TK อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการล้างไตทางหน้าท้อง
5. เสี่ยงต่อการเกิดตัวกรองและสายส่งเลือดอุดตันระหว่างการทำ Hemodialysis
- ICD-10: T82.1 (Blood clotting in the dialyzer and bloodline)
- เหตุผล: การอุดตันของตัวกรองเลือดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ต้องการการเฝ้าระวัง
6. มีภาวะซีดเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
- ICD-10: D63.1 (Anemia in chronic kidney disease)
- เหตุผล: ภาวะซีดในผู้ป่วยไตวายเกิดจากการลดการผลิตฮอร์โมนอีริโทรพอยอิติน
7. มีความดันโลหิตต่ำระหว่างการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
- ICD-10: I95.1 (Intradialytic hypotension)
- เหตุผล: ความดันโลหิตต่ำระหว่างการฟอกเลือดเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสมดุลของเหลว
8. E21.0F1 เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด parathyroidectomy
- ICD-10: E21.0 (S/P Parathyroidectomy complication)
- เหตุผล: การผ่าตัดต่อมพาราไทรอยด์เพิ่มความเสี่ยงต่อความไม่สมดุลของแคลเซียม
9. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟอสเฟตในเลือดสูงในระดับรุนแรง
- ICD-10: E83.52 (Hyperphosphatemia)
- เหตุผล: การลดการทำงานของไตทำให้ระดับฟอสเฟตในเลือดสูง
10. เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการคาสายสวนหลอดเลือดเพื่อฟอกเลือด
- ICD-10: T82.4 (Infection of vascular access device)
- เหตุผล: การติดเชื้อจากสายสวนหลอดเลือดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย
11. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการล้างไตทางช่องท้อง (CAPD)
- ICD-10: T83.89 (Other complications of peritoneal dialysis)
- เหตุผล: การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนล้างไตอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
12. มีภาวะ Peritonitis จากการทำ CAPD
- ICD-10: A41.9 (Sepsis due to peritonitis)
- เหตุผล: การติดเชื้อที่เยื่อบุช่องท้องเป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับ CAPD
13. อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Plasmapheresis
- ICD-10: Z79.9 (Long-term (current) drug therapy)
- เหตุผล: การทำ Plasmapheresis เพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากการใช้ยา
14. ผู้ป่วยและญาติขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบำบัดทดแทนไต
- ICD-10: Z71.3 (Dietary counseling and surveillance)
- เหตุผล: ความเข้าใจที่จำกัดของผู้ป่วยอาจส่งผลต่อการปฏิบัติตามแผนการรักษา
15. อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจาก Hyperkalemia ในผู้ป่วย ESRD
- ICD-10: E87.5 (Hyperkalemia)
- เหตุผล: Hyperkalemia เป็นภาวะอันตรายที่พบบ่อยในผู้ป่วยฟอกเลือด
16. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากของเสียคั่งในร่างกาย
- ICD-10: N18.6 (Uremia)
- เหตุผล: ของเสียที่สะสมเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนใน ESRD
17. เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากน้ำเกินในร่างกาย
- ICD-10: E87.2 (Fluid overload)
- เหตุผล: การคั่งน้ำในร่างกายส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
...................................................................................................................
I10F01 มีภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างการฟอกเลือด
Goals
-ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยระหว่างและหลังการฟอกเลือด (BP <140/90 mmHg)
-ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง เช่น ปวดศีรษะ แน่นหน้าอก หรือการมองเห็นผิดปกติ
-ส่งเสริมให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำด้านการรับประทานอาหารและการจำกัดน้ำ
Evaluation Criteria:
-ความดันโลหิตหลังการฟอกเลือด <140/90 mmHg
-ไม่มีอาการแทรกซ้อน เช่น วิงเวียนหรือแน่นหน้าอก
-ผู้ป่วยเข้าใจวิธีการควบคุมน้ำหนักและความดันโลหิต
Data
-ภาวะน้ำเกินในร่างกาย (Fluid Overload) เช่น น้ำหนักเพิ่มขึ้น >1 กก./วัน
-ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 mmHg
-อาการ: ปวดศีรษะ การมองเห็นผิดปกติ ปวดต้นคอ หรือท้ายทอย
-สมดุลอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ เช่น โซเดียมในน้ำยาฟอกเลือดสูงเกินไป
-ผู้ป่วยมีความเครียดหรือความวิตกกังวลขณะทำการฟอกเลือด
Intervention
-I10F01I01 วัดความดันโลหิตทุก 15–30 นาที หรือบ่อยขึ้นในกรณีที่มีอาการผิดปกติระหว่างการฟอกเลือด
-I10F01I02 ประเมินอาการทางคลินิกที่เกี่ยวข้อง เช่น ปวดศีรษะ ใจสั่น วิงเวียน หรือแน่นหน้าอก
-I10F01I03 บันทึกน้ำหนักก่อนและหลังฟอกเลือดเพื่อประเมินปริมาณน้ำที่ถูกดึงออก
-I10F01I04 ปรับอัตราการดึงน้ำ (Ultrafiltration rate) ให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยและเป้าหมายของน้ำหนักแห้ง
-I10F01I05 หลีกเลี่ยงการดึงน้ำออกในปริมาณมากเกินไปในเวลาสั้น เพื่อป้องกันความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต
-I10F01I06 ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการใช้ยาลดความดันโลหิตระหว่างการฟอกเลือด
-I10F01I07 แนะนำให้ผู้ป่วยงดการรับประทานยาลดความดันโลหิตก่อนการฟอกเลือดหากไม่จำเป็น
-I10F01I08 จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม เช่น ท่านอนราบหรือนอนยกศีรษะเล็กน้อย
-I10F01I09 ให้คำแนะนำในการจำกัดปริมาณโซเดียมและน้ำในอาหาร
-I10F01I10 อธิบายความสำคัญของการติดตามน้ำหนักตัวและการควบคุมความดันโลหิตในชีวิตประจำวัน
-I10F01I11 สอนให้ผู้ป่วยรับรู้สัญญาณเตือนที่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ เช่น ปวดศีรษะรุนแรงหรือแน่นหน้าอก
-I10F01I12 หากความดันโลหิตไม่สามารถควบคุมได้ระหว่างการฟอกเลือด ควรส่งต่อแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา
Response
-เวลา # น.
-ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย (BP <140/90 mmHg)
-ไม่มีอาการเวียนศีรษะ หายใจลำบาก หรือแน่นหน้าอก
-น้ำหนักหลังการฟอกเลือดลดลงตามเป้าหมายโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
-ไม่พบอาการรุนแรง เช่น ปวดศีรษะรุนแรงหรือแน่นหน้าอก
-ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการจำกัดโซเดียมและน้ำได้อย่างเหมาะสม
-ผู้ป่วยเข้าใจวิธีจัดการตนเองเมื่อเกิดอาการผิดปกติ เช่น การแจ้งพยาบาลเมื่อมีอาการผิดปกติ
…………………………………………………………………………………
N18.6F01 ผู้ป่วย ESRD ที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดช่องท้องและไม่สามารถล้างไตทางช่องท้อง (CAPD) ได้
Goals
-ลดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนจาก CAPD เช่น UF Failure, Hernia, และ Refractory Peritonitis
-ฟื้นฟูสุขภาพหลังผ่าตัดช่องท้องและป้องกันการติดเชื้อ
-ส่งเสริมการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงการรักษา เช่น การฟอกเลือด (Hemodialysis)
-ฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำ CAPD ได้เมื่อเหมาะสม
-เฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อจากแผลผ่าตัดหรือท่อ CAPD
Evaluation Criteria
-ความดันโลหิตและชีพจรในเกณฑ์ปกติ
-อาการบวมและอาการปวดท้องลดลงหรือหายไป
-ไม่มีการติดเชื้อในช่องท้องหรือแผลผ่าตัด
-ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเอง เช่น การจัดการแผลและควบคุมอาหาร
-ผู้ป่วยปรับตัวและยอมรับการรักษาด้วย Hemodialysis
-ผู้ป่วยฟื้นตัวจากการผ่าตัดช่องท้องโดยไม่มีการติดเชื้อ
-การหยุด CAPD ชั่วคราวไม่มีภาวะแทรกซ้อน
-ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำ CAPD ได้หลังการฟื้นฟู
Data
-เยื่อบุช่องท้องเสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้น้ำไม่ถูกระบายออกจากร่างกาย เกิดอาการบวม
-ไส้เลื่อนจากแรงดันของน้ำยาล้างไต พบก้อนนูนที่สะดือหรือขาหนีบ
-การอักเสบในช่องท้องที่ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ
-ผู้ป่วย ESRD ที่หยุด CAPD ชั่วคราวหลังผ่าตัดช่องท้อง มีความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือแผลไม่สมาน
Intervention
-N18.6F01I01 ประเมินอาการบวม ปวดท้อง น้ำยาล้างไตขุ่น หรือไข้
-N18.6F01I02 สังเกตอาการของไส้เลื่อน เช่น ก้อนนูนที่ผนังหน้าท้อง
-N18.6F01I03 เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ
-N18.6F01I04 ปรับสูตรน้ำยาล้างไตเป็น Hypertonic Solution สำหรับ UF Failure
-N18.6F01I05 หยุด CAPD ชั่วคราวและเตรียมการผ่าตัดแก้ไขไส้เลื่อน
-N18.6F01I06 ให้ยาปฏิชีวนะตามผลเพาะเชื้อในกรณี Refractory Peritonitis
-N18.6F01I07 หยุด CAPD ชั่วคราวจนกว่าผู้ป่วยจะฟื้นตัวและไม่มีการติดเชื้อ
-N18.6F01I08 สอนการดูแลแผลผ่าตัด การป้องกันการติดเชื้อ และควบคุมอาหาร
-N18.6F01I09 ประเมินสภาพผู้ป่วยและฟื้นฟูการทำงานของไต
-N18.6F01I010 ติดตามระดับสารอิเล็กโทรไลต์และการคั่งน้ำในร่างกาย
Response
-เวลา # น.
-ชีพจรและความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
-อาการบวมและปวดท้องลดลงหรือหายไป
-ไม่มีการติดเชื้อในช่องท้องหรือแผลผ่าตัด
-ผู้ป่วยมีความรู้และสามารถดูแลตัวเองได้
-ผู้ป่วยปรับตัวและยอมรับการรักษา Hemodialysis
-ผู้ป่วยฟื้นตัวจากการผ่าตัดช่องท้องโดยไม่มีการติดเชื้อ
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการหยุด CAPD ชั่วคราว
-ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำ CAPD ได้หลังการฟื้นฟู
-ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถดูแลแผลผ่าตัดและป้องกันการติดเชื้อได้
…………………………………………………………………………………
T82.0F01 เสี่ยงต่อการติดเชื้อและสาย TK malfunction หลังผ่าตัดวางสาย TK ภายใน 24 ชั่วโมง
Goals
-ป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงของสาย TK malfunction หลังการผ่าตัด.
-รักษาความสะอาดและลดการอักเสบบริเวณสาย TK.
-ให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถดูแลแผลและสังเกตอาการผิดปกติได้อย่างเหมาะสม.
Evaluation Criteria
-ไม่มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ไข้, บวมแดง, หรือสารคัดหลั่งผิดปกติ
-การไหลเวียนของเลือดในสาย TK เป็นปกติ
-ผู้ป่วยและครอบครัวแสดงความเข้าใจในคำแนะนำการดูแลแผลและสังเกตอาการผิดปกติ
Data
-ผู้ป่วย ESRD มีภูมิคุ้มกันลดลงโดยธรรมชาติ.
-มีการเคลื่อนไหวที่มากเกินไปของผู้ป่วย.
-พบลิ่มเลือดหรือเศษวัสดุในสาย.
-ความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิตในสาย TK.
-ได้รับการผ่าตัดวางสาย TK เมื่อวันที่ #
Intervention
-T82.0F01I01 ใช้เทคนิคปลอดเชื้อ (Aseptic Technique) ในการดูแลสาย TK.
-T82.0F01I02 ทำความสะอาดบริเวณสาย TK ด้วย Chlorhexidine หรือ Antiseptic ตามแนวทาง.
-T82.0F01I03 เปลี่ยนผ้าปิดแผลด้วยเทคนิคปลอดเชื้อทุก 24 ชั่วโมงหรือเมื่อจำเป็น.
-T82.0F01I04 ตรวจสอบแผลผ่าตัดว่ามีรอยแดง บวม ร้อน หรือสารคัดหลั่งผิดปกติ.
-T82.0F01I05 ตรวจสอบตำแหน่งสาย TK อย่างสม่ำเสมอและลดการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยที่อาจทำให้สายเคลื่อน.
-T82.0F01I06 ตรวจสอบการไหลของเลือดในสาย TK ด้วยการสูบกลับ (aspiration) และการล้างด้วย Normal Saline ตามคำสั่งแพทย์.
-T82.0F01I07 ใช้ Heparin lock ตามคำสั่งแพทย์เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด.
-T82.0F01I08 สอนวิธีดูแลแผลบริเวณสาย TK และป้องกันการติดเชื้อ.
-T82.0F01I09 แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวบริเวณที่มีสาย TK.
-T82.0F01I10 เฝ้าระวังอาการผิดปกติ เช่น บวมแดง อักเสบ หรือเลือดออก และให้มาพบแพทย์ทันที.
-T82.0F01I11 ส่ง Film KUB เพื่อประเมินตำแหน่งสาย TK ตามแผนการรักษา.
Response
-เวลา # น.
-V/S ปกติ, BT # °C,
-HR # /min,
-BP # mmHg.
-แผลบริเวณสาย TK แห้ง สะอาด ไม่มีรอยแดง บวม หรือสารคัดหลั่งผิดปกติ
-ไม่มีไข้หรืออาการบ่งชี้การติดเชื้อ
-การไหลเวียนของเลือดในสาย TK เป็นปกติ ไม่มีการอุดตันหรือปัญหาในการใช้งาน
-ตำแหน่งสาย TK อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
-ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเข้าใจในการดูแลแผลและการป้องกันการติดเชื้อ
-ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงจากสาย TK malfunction
……………………………………………………………………
T82.8F01 ภาวะสาย TK/Transfer set/ข้อต่อเลื่อนหลุด/ขาด/รั่ว
Goals
-แก้ไขปัญหาสาย TK/Transfer set/ข้อต่อเลื่อนหลุด/ขาด/รั่วให้กลับสู่สภาพปกติ.
-ป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากสาย TK/Transfer set.
-ให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้และความสามารถในการดูแลอุปกรณ์และป้องกันการเกิดซ้ำ.
Evaluation Criteria
-สาย TK/Transfer set/ข้อต่ออยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและไม่มีรอยรั่วหรือน้ำรั่ว.
-ไม่มีอาการแสดงถึงการติดเชื้อ เช่น ไข้, ปวดท้อง, หรือถ่ายเหลว.
-ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลอุปกรณ์ได้อย่างถูกต้อง.
Data
-สาย TK/Transfer set/ข้อต่อเลื่อนหลุด/ขาด/รั่ว # ชม. ก่อนมาถึงโรงพยาบาล
-มีน้ำเปียกบริเวณกระเป๋าหน้าท้อง, แผล exit site, สาย TK/Transfer set หรือผ้าปูที่นอน
-ผู้ป่วยใช้กรรไกรตัดสายขาด # ชม. ก่อนมาถึงโรงพยาบาล
Intervention
-T82.8F01I01 ตรวจสอบตำแหน่งสาย TK/Transfer set/ข้อต่อว่ามีเลือดออก น้ำรั่ว หรือหลุดจากตำแหน่งหรือไม่.
-T82.8F01I02 สังเกตอาการผู้ป่วย เช่น เวียนศีรษะ ซีด หรือความดันโลหิตต่ำ.
-T82.8F01I03 ประเมินอาการปวดหรือความไม่สบายในบริเวณสายหรือข้อต่อ.
-T82.8F01I04 วัดความดันโลหิต, อัตราการเต้นของหัวใจ และวัดไข้เพื่อตรวจสอบภาวะติดเชื้อ.
-T82.8F01I05 ใช้เทคนิคปลอดเชื้อเพื่อแก้ไขตำแหน่งสายหรือข้อต่อให้กลับเข้าที่.
-T82.8F01I06 ในกรณีรอยรั่วหรือขาด ปิดจุดที่รั่วด้วยวัสดุปิดกันซึม (Waterproof Dressing).
-T82.8F01I07 หยุดกระบวนการล้างไตชั่วคราว และแจ้งแพทย์หากไม่สามารถแก้ไขได้ทันที.
-T82.8F01I08 ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในกรณีความดันโลหิตต่ำหรืออ่อนเพลีย.
-T82.8F01I09 เก็บน้ำยาล้างไต (หลังจากใส่ค้างท้องเกิน 2 ชั่วโมง) ส่งตรวจ Cell count/diff, G/S, และเพาะเชื้อ.
-T82.8F01I10 ให้ยา ATB และติดตามผลเพาะเชื้อ, สีของน้ำยาล้างไต, และอาการของผู้ป่วย.
-T82.8F01I11 สอนผู้ป่วยและครอบครัวหลีกเลี่ยงการดึงหรือเคลื่อนย้ายสายที่ไม่เหมาะสม.
Response
-เวลา # น.
-V/S ปกติ, BP คงที่, ไม่มีอาการเวียนศีรษะหรืออ่อนเพลียจากการเสียเลือด
-สาย TK/Transfer set/ข้อต่อกลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติและยึดติดมั่นคง
-ไม่มีเลือดหรือน้ำรั่วจากจุดเชื่อมต่อ
-การไหลเวียนของเลือดหรือของเหลวกลับสู่ภาวะปกติ
-ผู้ป่วยไม่มีอาการเจ็บปวดหรือไม่สบายบริเวณสายหรือข้อต่อ
-ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันปัญหาซ้ำ
…………………………………………………………………………
T82.1F01 เสี่ยงต่อการเกิดตัวกรองและสายส่งเลือดอุดตันระหว่างการทำ Hemodialysis
Goals
-ป้องกันการเกิดการอุดตันในตัวกรองและสายส่งเลือดระหว่างการทำ Hemodialysis.
-รักษาการไหลเวียนของเลือดให้มีประสิทธิภาพตลอดกระบวนการ Hemodialysis.
-ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการอุดตัน เช่น การเกิดลิ่มเลือด.
Evaluation Criteria
-ไม่มีการอุดตันของตัวกรองและสายส่งเลือด.
-การไหลเวียนเลือดในระบบ Hemodialysis คงที่และมีประสิทธิภาพ.
-ผลลัพธ์ของการฟอกเลือดเป็นไปตามแผนการรักษา.
Data
-งดการใช้ Anticoagulant เนื่องจาก #
-ผู้ป่วยมีภาวะเลือดข้น (Hypercoagulable State) เช่น โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
-ภาวะเกล็ดเลือดสูง เช่น Reactive Thrombocytosis
-ระดับฮีโมโกลบินสูง ซึ่งอาจทำให้เลือดข้นและการไหลเวียนลดลง
-สายที่ใช้งานมานานมีโอกาสเกิดคราบโปรตีน (Clot Formation)
-ตำแหน่งของสายส่งเลือดไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์
-วัสดุของสายอาจเพิ่มความเสี่ยงการก่อตัวของลิ่มเลือด
Intervention
-T82.1F01I01 ตรวจสอบสภาพหลอดเลือดที่ใช้สำหรับการ Hemodialysis เช่น การเกิดลิ่มเลือดหรือภาวะตีบตัน
-T82.1F01I02 ฟังเสียง Bruit และคลำ Thrill บริเวณ Fistula หรือ Graft เพื่อประเมินการไหลเวียนของเลือดก่อนเริ่มการ Hemodialysis
-T82.1F01I03 ประเมินอาการและอาการแสดงของการอุดตัน เช่น บวม แดง หรือปวดบริเวณ AVF หรือ AVG
-T82.1F01I04 เตรียมตัวกรองและสายส่งเลือดล้างด้วยสารละลาย Heparin-free saline หรือสารละลายอื่นที่แพทย์กำหนด
-T82.1F01I05 ปรับอัตราการไหลเวียนเลือด (Blood flow rate) ให้เหมาะสม, ป้องกันไม่ให้ไหลช้าหรือเร็วเกินไป
-T82.1F01I06 ใช้เทคนิคการล้างตัวกรองแบบ intermittent saline flush ทุก 30–60 นาที หรือบ่อยตามที่แพทย์กำหนด
-T82.1F01I07 เฝ้าระวังแรงดันในระบบไหลเวียนเลือด (Transmembrane pressure) เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ
-T82.1F01I08 ตรวจสอบสายส่งเลือดทุกครั้งว่ามีการพับงอหรือบิดตัวหรือไม่
-T82.1F01I09 หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวของแขนหรือขาบริเวณที่มีสายส่งเลือดมากเกินไป
-T82.1F01I10 หากพบการไหลเวียนเลือดผิดปกติ ให้รีบแจ้งแพทย์ทันที
Response
-เวลา # น.
-ตัวกรองและสายส่งเลือดไม่เกิดการอุดตัน
-ผู้ป่วยได้รับการฟอกเลือดครบเวลาตามแผนการรักษา
-Transmembrane Pressure (TMP) และ Venous Pressure (VP) อยู่ในเกณฑ์ปกติ
…………………………………………………………………………
D63.1F01 มีภาวะซีดเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
Goals
-ลดอาการซีดและภาวะขาดออกซิเจนในผู้ป่วย.
-ควบคุมและรักษาระดับฮีโมโกลบิน (Hb) และฮีมาโตคริต (Hct) ให้คงที่ในระดับที่เหมาะสม.
-ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเลือด เช่น ความดันโลหิตต่ำหรือการขาดออกซิเจน.
Evaluation Criteria
-ไม่มีอาการซีด เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือเวียนศีรษะ.
-ผลการตรวจ Lab เช่น Hb ≥ 10 g/dL หรือ Hct ≥ 30%.
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยา ESAs หรือธาตุเหล็ก.
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือด เช่น Tachycardia หรือหายใจหอบเหนื่อย.
Data
-อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
-ผิวซีดหรือเหลือง
-หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หรือผิดจังหวะ
-หายใจหอบเหนื่อยเมื่อทำกิจกรรม
-เวียนศีรษะ หน้ามืด
-ผล Lab: Hb < 10 g/dL หรือ Hct < 30%
-T sat (Transferrin Saturation) ต่ำ #
Intervention
-D63.1F01I01 ตรวจสอบระดับ Hb และ Hct ในเลือด
-D63.1F01I02 ตรวจสอบระดับธาตุเหล็ก, Ferritin และ Transferrin Saturation เพื่อวางแผนการรักษา
-D63.1F01I03 ให้ Erythropoiesis-Stimulating Agents (ESAs) เช่น Erythropoietin หรือ Darbepoetin ตามคำสั่งแพทย์
-D63.1F01I04 เฝ้าระวังผลข้างเคียงจากการให้ยา ESAs เช่น ความดันโลหิตสูง
-D63.1F01I05 ให้ธาตุเหล็กทางปากหรือทางหลอดเลือดดำ และเฝ้าระวังอาการแพ้
-D63.1F01I06 ให้โฟเลตหรือวิตามินบี 12 หากพบการขาด
-D63.1F01I07 ตรวจสอบระดับความดันโลหิต ชีพจร และอัตราการหายใจใกล้ชิด
-D63.1F01I08 ปรับปริมาณน้ำที่ดึงออก (Ultrafiltration) เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะความดันโลหิตต่ำ
-D63.1F01I09 ล้างตัวกรองด้วยสารละลายเกลือเพื่อช่วยลดการสูญเสียเม็ดเลือดแดง
-D63.1F01I10 ดูแลและติดตามการให้เลือดเมื่อผู้ป่วยมี Hb ต่ำ และมีอาการซีดรุนแรง
Response
-เวลา # น.
-ผู้ป่วยไม่มีอาการจากภาวะซีด เช่น อ่อนเพลีย หรือเหนื่อยง่าย
-Vital Signs (V/S) คงที่
-ไม่มีภาวะ Tachycardia หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
-ไม่มีหายใจหอบเหนื่อยหรือเวียนศีรษะระหว่างกิจกรรม
-ไม่มีอาการไม่พึงประสงค์จากการได้รับเลือด
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยา ESAs หรือธาตุเหล็ก
…………………………………………………………………………
I95.1F01 มีความดันโลหิตต่ำระหว่างการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
Goals
-ควบคุมและรักษาความดันโลหิตในผู้ป่วยระหว่างการฟอกเลือด.
-ลดอาการและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากความดันโลหิตต่ำ เช่น เวียนศีรษะ หรือหมดสติ.
-ป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำในอนาคตโดยการปรับแผนการฟอกเลือดให้เหมาะสม.
Evaluation Criteria
-ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) และไดแอสโตลิก (DBP) คงที่หรือปรับคืนเป็นปกติ.
-ไม่มีอาการภาวะความดันโลหิตต่ำ เช่น เวียนศีรษะหรือหมดสติ.
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยาเพิ่มความดันโลหิตหรือการให้สารน้ำทดแทน.
Data
-ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ลดลง ≥ 20 มม.ปรอทระหว่างหรือหลังการฟอกเลือด
-ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ลดลง ≥ 10 มม.ปรอทระหว่างหรือหลังการฟอกเลือด
-อาการแสดง เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ เหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น หรือหมดสติ
Intervention
-I95.1F01I01 หยุดการดึงน้ำออกจากร่างกายทันทีเพื่อลดภาระของระบบไหลเวียนเลือด
-I95.1F01I02 ติดตามความดันโลหิต ชีพจร และการหายใจทุก 5-10 นาทีจนกว่าค่าความดันโลหิตจะคงที่
-I95.1F01I03 ประเมินอาการแสดงของภาวะความดันโลหิตต่ำ เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรือซึมลง
-I95.1F01I04 ปรับความเร็วในการฟอกเลือดตามสถานการณ์ของผู้ป่วย.
-I95.1F01I05 ให้ผู้ป่วยนอนราบและยกขาสูง (Trendelenburg position) เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
-I95.1F01I06 ให้สารน้ำทดแทน Normal saline 100-200 มล. หรือ Hypertonic Solution เช่น Albumin ตามคำสั่งแพทย์
-I95.1F01I07 ปรับลดอุณหภูมิของ dialysate (35-36°C) และตรวจสอบให้เหมาะสม
-I95.1F01I08 รายงานแพทย์เพื่อพิจารณาให้ยาเพิ่มความดันโลหิต (Vasopressor) และเฝ้าระวังผลข้างเคียง
-I95.1F01I09 ประเมินน้ำหนักแห้ง (Dry weight) เพื่อกำหนดเป้าหมายการดึงน้ำที่เหมาะสม
-I95.1F01I10 แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือน้ำปริมาณมากก่อนฟอกเลือด
Response
-เวลา # น.
-Vital Signs (V/S) ปกติ
-อุณหภูมิร่างกาย (BT) # องศาเซลเซียส.
-ชีพจร (HR) # /min.
-ความดันโลหิต (BP) # mmHg.
-ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตต่ำ
…………………………………………………………………………
E21.0F1 เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด parathyroidectomy
Goals
-ป้องกันและจัดการภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด เช่น Hypocalcemia, Hypotension, และ Hemorrhage.
-เฝ้าระวังและรักษาผลกระทบจากการผ่าตัด เช่น การขาดแคลเซียมและแมกนีเซียม.
-ป้องกันการติดเชื้อและการเจ็บปวดหลังการผ่าตัด.
Evaluation Criteria
-ผู้ป่วยไม่มีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด.
-ระดับแคลเซียมและแมกนีเซียมคงที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ.
-ไม่มีภาวะ Hemorrhage หรือการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด.
-ผู้ป่วยไม่แสดงอาการผิดปกติ เช่น ชัก หรือกล้ามเนื้อกระตุก.
Data
-การผ่าตัด parathyroidectomy วันที่ #
-ผล lab: Ca ต่ำกว่า 8.8 mg/dL
-ผล lab iPTH ลดลงอย่างมากจากก่อนผ่าตัด
-อาการแสดง: ชาใบหน้าหรือรอบปาก, กระตุกกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า
-ผลตรวจ: หัวใจเต้นช้า, การหายใจผิดปกติ, เวียนศีรษะ, อารมณ์เปลี่ยนแปลง
Intervention
-E21.0F1I01 เฝ้าระวังภาวะ Hypocalcemia โดยตรวจหาสัญญาณเช่น มือเท้าชา, กล้ามเนื้อเกร็ง, หรือ Trousseau/Chvostek sign.
-E21.0F1I02 ติดตามระดับแคลเซียมและแมกนีเซียมในเลือดอย่างใกล้ชิด.
-E21.0F1I03 ให้แคลเซียมเสริม (Calcium gluconate) และแมกนีเซียมเสริมตามคำสั่งแพทย์.
-E21.0F1I04 เฝ้าระวังภาวะ Hyperkalemia และปรับสูตร dialysate K, Ca ตามคำสั่งแพทย์.
-E21.0F1I05 ตรวจสอบและจัดการภาวะ Hypotension ระหว่างการฟอกเลือดโดยการวัดสัญญาณชีพทุก 30 นาทีหรือบ่อยขึ้น.
-E21.0F1I06 เฝ้าระวังภาวะ Hemorrhage โดยสังเกตการบวม แดง หรือเลือดออกผิดปกติบริเวณแผลผ่าตัด.
-E21.0F1I07 เฝ้าระวังการติดเชื้อโดยรักษาความสะอาดของแผลผ่าตัดและใช้เทคนิคปลอดเชื้อในการดูแลสายฟอกเลือด.
-E21.0F1I08 ประเมินและจัดการความเจ็บปวดตามระดับความเจ็บปวดของผู้ป่วยและให้ยาแก้ปวดตามคำสั่งแพทย์.
-E21.0F1I09 สังเกตอาการเช่น สับสน หรือซึมเศร้าและรายงานให้แพทย์ทราบหากอาการรุนแรง.
-E21.0F1I10 จัดท่าผู้ป่วยในตำแหน่งที่สบายเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด.
Response
-เวลา # น.
-Vital Signs (V/S) ปกติ
-ชีพจร (HR) # /min.
-ความดันโลหิต (BP) # mmHg.
-การหายใจปกติ
-ไม่มีเลือดออกผิดปกติ
-ไม่มีภาวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ
…………………………………………………………………………………
E83.52F01 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง (Hyperphosphatemia) ในระดับรุนแรง
Goals
-ป้องกันและลดการสะสมของฟอสเฟตในเลือด.
-ควบคุมระดับฟอสเฟตและแคลเซียมในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ.
-ลดอาการที่เกิดจากภาวะ Calcium-Phosphate Precipitation เช่น คันผิวหนัง และการเกาะตัวในเนื้อเยื่อ.
-ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการควบคุมอาหารและการใช้ยาจับฟอสเฟต.
Evaluation Criteria
-ระดับฟอสเฟตในเลือดอยู่ในช่วง 3.5-5.5 mg/dL.
-ระดับแคลเซียมในเลือดอยู่ในช่วง 8.6-10.3 mg/dL.
-ไม่มีอาการของ Renal Osteodystrophy หรือ Pruritus.
-ไม่มีการสะสมแคลเซียมและฟอสเฟตในเนื้อเยื่อหรือหลอดเลือดหัวใจ.
Data
-อัตราการกรองของไต (GFR) ลดลง 25-40 mL/min/1.73 m².
-ระดับแคลเซียมในเลือดเกิน 8.6-10.3 mg/dL.
-ระดับฟอสเฟตในเลือดเกิน 3.5-5.5 mg/dL.
-ค่าผลคูณแคลเซียม-ฟอสเฟตในเลือดเกิน 55 mg²/dL².
-ระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงในผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 5.
-อาการที่เกี่ยวข้องกับ Calcium-Phosphate Precipitation เช่น ผิวหนังคัน, Calciphylaxis, ปวดข้อต่อ
-การวินิจฉัย Renal Osteodystrophy
-อาการและผลกระทบจากการเกาะตัวของแคลเซียม-ฟอสเฟตในหลอดเลือดและเนื้อเยื่อ
Intervention
-E83.52F01I01 ประเมินและให้ความรู้ผู้ป่วยเกี่ยวกับการควบคุมอาหารที่มีฟอสเฟตสูงและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสเฟต
-E83.52F01I02 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานยา Phosphate Binders (Calcium carbonate หรือ Sevelamer) ตามคำสั่งแพทย์
-E83.52F01I03 สอนวิธีรับประทานยาให้ถูกต้อง เช่น รับประทานพร้อมมื้ออาหารเพื่อจับฟอสเฟต
-E83.52F01I04 ดูแลการฟอกเลือดให้สม่ำเสมอ (Adequate HD) และตรวจสอบผลการฟอกเลือด เช่น Kt/V หรือ URR.
-E83.52F01I05 ติดตามระดับฟอสเฟต, แคลเซียม และ PTH ในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
-E83.52F01I06 ประเมินอาการของ Renal Osteodystrophy เช่น ปวดกระดูก, กระดูกหักง่าย
-E83.52F01I07 เฝ้าระวังอาการของการสะสมแคลเซียม-ฟอสเฟตในเนื้อเยื่อและหลอดเลือด (Soft tissue Calcification, Vascular Calcification)
-E83.52F01I08 ใช้สูตรสารละลายฟอกเลือดที่มีระดับแคลเซียมเหมาะสม
-E83.52F01I09 รายงานผลทางห้องปฏิบัติการที่ผิดปกติแก่แพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา
-E83.52F01I10 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตนเองในการควบคุมอาหารและการใช้ยา
Response
-เวลา # น.
-Vital Signs (V/S) ปกติ
-ระดับฟอสเฟต: 3.5-5.5 mg/dL.
-ระดับแคลเซียม: 8.6-10.3 mg/dL.
-ระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ในผู้ป่วยที่ได้รับฟอกเลือด: ไม่เกิน 130-600 พิโคกรัม/เดซิลิตร.
-ผู้ป่วยสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการควบคุมอาหารและการใช้ยา
-ไม่มีอาการคันตามผิวหนัง (Pruritus)
-ไม่มีภาวะ Renal Osteodystrophy
-ไม่มีการสะสมแคลเซียมและฟอสเฟตในเนื้อเยื่อหรือหลอดเลือด (Soft tissue Calcification, Myocardial Calcification)
………………………………………………………………………………
T82.4F01 เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการคาสายสวนหลอดเลือดเพื่อฟอกเลือด
Goals:
-ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการคาสายสวนหลอดเลือดเพื่อฟอกเลือด
-ป้องกันการติดเชื้อที่บริเวณ Exit site DLC/Perm Cath
-ส่งเสริมการพยาบาลที่ปลอดเชื้อและเพิ่มความเข้าใจในการดูแลแผลให้ผู้ป่วย
Evaluation Criteria:
-ไม่มีอาการติดเชื้อหรือการติดเชื้อรุนแรงที่บริเวณ Exit site
-สภาพแผล Exit site ปลอดภัยและไม่มีการติดเชื้อ
-ผู้ป่วยไม่มีอาการข้างเคียงจากการรักษา
Data:
-ผู้ป่วย on DLC วันที่ #
-ผู้ป่วย on Perm Cath วันที่ #
-บริเวณ Exit site DLC/Perm Cath แดงหรือมี discharge
-มีอาการปวดบริเวณ Exit site DLC/Perm Cath
-ก๊อสปิดแผลหลุดหรือเปียกน้ำ
-อุณหภูมิร่างกาย (T) ≥ 38°C
Intervention
-T82.4F01I01 ดูแลทำแผลด้วย Aseptic technique โดยใช้ 2% chlorhexidine เช็ดแผล Exit site และ scrub catheter hub ข้อต่อของ catheter
-T82.4F01I02 สวมถุงมือและ mask ทั้งพยาบาลและผู้ป่วย, ล้างมือก่อนและหลังการพยาบาล
-T82.4F01I03 ใช้เทคนิคปลอดเชื้อในการเชื่อมต่อและถอดสายกับเครื่องฟอกเลือด
-T82.4F01I04 ใช้สารฆ่าเชื้อทำความสะอาดปลายสายก่อนและหลังการเชื่อมต่อ
-T82.4F01I05 ล็อกปลายสายด้วยยาปฏิชีวนะผสมสารกันเลือดแข็ง (Anticoagulant Lock) ตามคำสั่งแพทย์หลังการฟอกเลือด
-T82.4F01I06 ติดตามการตอบสนองต่อยาและผลข้างเคียง
-T82.4F01I07 บันทึกสภาพของสาย DLC/Perm Cath และบริเวณใส่สายทุกครั้งที่ตรวจสอบ
-T82.4F01I08 ติดตามประเมิน V/S โดยเฉพาะ BT, HR, BP เพื่อเฝ้าระวังภาวะ Sepsis
-T82.4F01I09 ตรวจสอบสายว่าไม่มีการชำรุดหรือหลุดเลื่อน
-T82.4F01I10 แจ้งแพทย์ทันทีหากพบสัญญาณของการติดเชื้อและดูแลเก็บ Lab ตามแผลการรักษา เช่น CBC WBC, H/C
Response:
-เวลา # น.
-Vital Signs (V/S) ปกติ
-อุณหภูมิร่างกาย (BT) # องศาเซลเซียส
-Heart Rate (HR) # /min
-Blood Pressure (BP) # mmHg
-ไม่มีอาการบวมแดงหรือ discharge
-ไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา
……………………………………………………………………………
T83.89F1 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการล้างไตทางช่องท้อง (CAPD)
Goals:
-ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการล้างไตทางช่องท้อง เช่น การติดเชื้อที่ Exit Site, Peritonitis, UF failure
-ส่งเสริมความเข้าใจและการปฏิบัติที่ถูกต้องในการทำ CAPD
-ลดความเสี่ยงจากการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องในการทำ CAPD
Evaluation Criteria:
-ผู้ป่วยสามารถทำ CAPD ได้ถูกต้องตามขั้นตอน
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการทำ CAPD เช่น การติดเชื้อที่ Exit Site หรือ Peritonitis
-ผู้ป่วยมีการปฏิบัติตามขั้นตอนในการล้างมือและการดูแลอุปกรณ์อย่างถูกต้อง
Data:
-ผู้ป่วยล้างมือไม่ครบ 7 ท่า
-ผู้ป่วยไม่สวม mask ขณะเปลี่ยนน้ำยาล้างไต
-ผู้ป่วยเปิดพัดลมหรือแอร์ขณะเปลี่ยนน้ำยาล้างไต
-ผู้ป่วย flush ล้างสายไม่ครบ 10 วินาที
-ผู้ป่วยไม่เปลี่ยนกระเป๋าหน้าท้องทุกวัน
Intervention
-T83.89F1I01 ประเมินความเข้าใจและความพร้อมของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับกระบวนการ CAPD
-T83.89F1I02 อธิบายขั้นตอนการทำ CAPD อย่างละเอียด: ล้างมือ, การเตรียมอุปกรณ์, การเชื่อมต่อ, ใส่สารละลายและระบายของเสีย
-T83.89F1I03 สอนวิธีการล้างมือ 7 ท่า 3 ครั้ง และการรักษาความสะอาดบริเวณ Exit site
-T83.89F1I04 สอนให้ผู้ป่วยสังเกตอาการการติดเชื้อ เช่น ไข้, ปวดท้อง, น้ำยาที่ระบายออกมาขุ่น
-T83.89F1I05 อธิบายวิธีการตรวจสอบอุปกรณ์ เช่น การตรวจสอบรอยรั่วหรือวันหมดอายุของถุงสารละลาย
-T83.89F1I06 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการควบคุมโซเดียม, โพแทสเซียม, และการบริโภคอาหารที่มีโปรตีนเพียงพอ
-T83.89F1I07 สอนวิธีการแก้ไขสถานการณ์ เช่น การเปลี่ยนท่าทางเมื่อสารละลายระบายไม่ออก หรือการปรึกษาเจ้าหน้าที่หากสายอุดตัน
-T83.89F1I08 ให้ช่องทางการติดต่อในกรณีฉุกเฉินและสนับสนุนให้ผู้ป่วยมั่นใจในการทำ CAPD
-T83.89F1I09 ติดตามและประเมินความถูกต้องในการทำ CAPD โดยให้ผู้ป่วยแสดงขั้นตอนและตรวจสอบ
-T83.89F1I10 นัดติดตามผลการตรวจประเมินสภาพร่างกายและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ
Response:
-เวลา # น.
-ผู้ป่วยสามารถทำ CAPD ได้ถูกต้องตามขั้นตอน
-ผู้ป่วยสามารถล้างมือครบ 7 ท่าอย่างถูกต้อง
-ผู้ป่วยสามารถทำแผลและดูแลสถานที่ที่ใช้ทำ CAPD ได้อย่างถูกต้อง
-ไม่มีอาการภาวะแทรกซ้อนจากการทำ CAPD เช่น การติดเชื้อที่ Exit site หรือ Peritonitis
………………………………………………………………………………
A41.9F01 มีภาวะ Peritonitis จากการทำ CAPD
Goals:
-ป้องกันและรักษาภาวะ Peritonitis จากการทำ CAPD
-ส่งเสริมการปฏิบัติที่ถูกต้องในการดูแลการทำ CAPD เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
-ตรวจสอบและประเมินการตอบสนองต่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง
Evaluation Criteria:
-อาการปวดท้องและอาการอื่นๆ ลดลงหรือหายไป
-น้ำยาที่ระบายออกใสขึ้น ไม่มีการติดเชื้อที่เกิดจากการทำ CAPD
-ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (WBC, CRP, culture) อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-สัญญาณชีพ (V/S) กลับสู่ภาวะปกติ
Data:
-ปวดท้องรุนแรง
-น้ำยาที่ระบายออกมาขุ่น
-อุณหภูมิร่างกาย ≥ 38 องศาเซลเซียส
-ไข้หนาวสั่น
-คลื่นไส้, อาเจียน, เบื่ออาหาร
-ท้องอืด หรือการระบายของเหลวลำบาก
-ผล PDF cell count/diff พบ WBC > 100 cells/μL, Neutrophils > 50% และเพาะเชื้อ (Culture and Sensitivity)
Intervention
-A41.9F01I01 ประเมินอาการปวดท้อง, ไข้, คลื่นไส้ และอาการร่วมอื่นๆ
-A41.9F01I02 เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น Sepsis หรือการลุกลามของการติดเชื้อ
-A41.9F01I03 ทำความสะอาดบริเวณ Catheter exit site ด้วย Chlorhexidine
-A41.9F01I04 เปลี่ยนผ้าปิดแผลบริเวณสายด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ
-A41.9F01I05 เก็บน้ำยาล้างไตหลังจากค้างท้อง >2 ชม. ส่งตรวจ cell count/diff, G/S, และ H/C x 2 ขวด
-A41.9F01I06 ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา ATB ตามแผนการรักษา
-A41.9F01I07 ติดตามและประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น WBC, CRP และผลการเพาะเชื้อ
-A41.9F01I08 สอนเทคนิคการทำ CAPD ที่ถูกต้อง เช่น การล้างมือ, การใช้อุปกรณ์ปลอดเชื้อ, และการจัดการสายล้างไต
-A41.9F01I09 อธิบายสาเหตุและผลกระทบของ Peritonitis รวมถึงวิธีการป้องกัน
-A41.9F01I10 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลความสะอาดและการจัดเก็บอุปกรณ์ พร้อมทั้งสนับสนุนผู้ป่วยในการดูแลตนเองและตอบคำถาม
Response:
-เวลา # น.
-อาการปวดท้องลดลงหรือหายไป
-น้ำยาที่ระบายออกใสขึ้น
-สัญญาณชีพปกติ
-ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (WBC, CRP, culture) ปกติ
-ผู้ป่วยสามารถทำ CAPD ได้ถูกต้องตามขั้นตอน
…………………………………………………………………………
Z79.9F01 อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Plasmapheresis
Goals
-ป้องกันและจัดการภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการทำ Plasmapheresis
-ตรวจสอบและรักษาภาวะต่างๆ เช่น Cardiovascular, Respiratory, Anaphylactoid reaction, Hemorrhage, Infection, Hypocalcemia, Hypovolemia
-เสริมสร้างความเข้าใจแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับกระบวนการและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
Evaluation Criteria:
-สัญญาณชีพ (V/S) ปกติและคงที่
-ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Plasmapheresis
-ค่าเลือด เช่น PT/INR, aPTT, เกล็ดเลือด อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-ผลการตรวจระดับแคลเซียมและภาวะ Hypovolemia อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย
Data:
-วินิจฉัย Myasthenia gravis
-วินิจฉัย Guillain Barre Syndrome
-วินิจฉัย SLE
-วินิจฉัย TTP
-วินิจฉัย Vasculitis
-เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำ Plasmapheresis
-อาการผิดปกติจากการทำ Plasmapheresis เช่น ปวดหัว, อ่อนเพลีย, หรือสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อน
Intervention
-Z79.9F01I01 ประเมินและติดตามสัญญาณชีพ (V/S), ความดันโลหิต, ชีพจร, การหายใจ
-Z79.9F01I02 เฝ้าระวังภาวะ Electrolyte imbalance โดยเฉพาะโพแทสเซียมและแคลเซียม
-Z79.9F01I03 ปรับอัตราการแลกเปลี่ยนพลาสมาตามความสามารถของระบบไหลเวียนเลือด
-Z79.9F01I04 ดูแลท่าผู้ป่วยเพื่อลดภาระของระบบหัวใจและหลอดเลือด
-Z79.9F01I05 ประเมินการทำงานของระบบหายใจ เช่น ระดับออกซิเจน (SpO₂) และการหายใจ
-Z79.9F01I06 เฝ้าระวังอาการหายใจลำบากจากภาวะ Fluid overload
-Z79.9F01I07 ซักประวัติการแพ้สารทดแทนพลาสมาและยา (Human Albumin)
-Z79.9F01I08 ให้ยาป้องกันการแพ้ เช่น Antihistamine หรือสเตียรอยด์ตามคำสั่งแพทย์
-Z79.9F01I09 ติดตามและประเมินความเสี่ยงการตกเลือด, ตรวจค่า PT/INR, aPTT, เกล็ดเลือด
-Z79.9F01I10 เฝ้าระวังอาการของ Hypocalcemia และ Hypovolemia, ให้แคลเซียมเสริมตามคำสั่งแพทย์, และจัดเตรียมสารน้ำหรือสารทดแทนพลาสมาหากจำเป็น
Response:
-เวลา # น.
-สัญญาณชีพ (V/S) คงที่และปกติ
-อุณหภูมิร่างกาย (BT) ในเกณฑ์ปกติ
-ชีพจร (HR) และความดันโลหิต (BP) ปกติ
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Plasmapheresis เช่น Cardiovascular, Respiratory หรือ Anaphylactoid reaction
………………………………………………………………………………
Z71.3F01 ผู้ป่วยและญาติขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบำบัดทดแทนไต
Goals:
-เพิ่มความเข้าใจและการตัดสินใจเกี่ยวกับการบำบัดทดแทนไต (RRT) ให้กับผู้ป่วยและญาติ
-ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ ในการบำบัดทดแทนไตอย่างชัดเจน
-สนับสนุนผู้ป่วยและครอบครัวในการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการ
Evaluation Criteria:
-ผู้ป่วยและญาติสามารถเลือกแผนการรักษาที่เหมาะสมได้
-ผู้ป่วยและญาติเข้าใจผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและข้อจำกัดต่างๆ ของแต่ละวิธีการบำบัด
-การตัดสินใจเกี่ยวกับ RRT สอดคล้องกับสุขภาพและความต้องการของผู้ป่วย
Data:
-ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตลดลง (GFR < 15 mL/min/1.73m²)
-อาการของภาวะยูรีเมีย (คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร คันตามตัว สมองสับสน)
แพทย์แนะนำให้ปรึกษาเรื่อง RRT
Intervention
-Z71.3F01I01 อธิบายทางเลือกในการบำบัดทดแทนไต (RRT) ได้แก่ Hemodialysis (HD), Peritoneal Dialysis (PD), Kidney Transplantation, และ Conservative Management
-Z71.3F01I02 ประเมินความเหมาะสมของผู้ป่วยสำหรับแต่ละวิธีการ RRT โดยพิจารณาจากสภาพหลอดเลือด (HD), ช่องท้อง (PD), และสุขภาพโดยรวม
-Z71.3F01I03 ประเมินวิถีชีวิตและความสะดวกในการเข้ารับการรักษา เช่น ความสามารถในการเดินทางไปศูนย์ HD หรือการดูแลตัวเองที่บ้าน
-Z71.3F01I04 เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีการบำบัดทดแทนไต
-Z71.3F01I05 ให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกรูปแบบ RRT ที่เหมาะสม
-Z71.3F01I06 ตอบคำถามเกี่ยวกับผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและค่าใช้จ่าย
-Z71.3F01I07 ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายเพื่อลดความกังวลของผู้ป่วย
-Z71.3F01I08 ประสานงานกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น นักโภชนาการและนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อเตรียมผู้ป่วยสำหรับ RRT
-Z71.3F01I09 นัดติดตามผลการตัดสินใจและความพร้อมของผู้ป่วยในการรับการบำบัดทดแทนไต
-Z71.3F01I10 สนับสนุนและปรับแผนการรักษาตามความจำเป็น
Response:
-เวลา # น.
-ผู้ป่วยและญาติสามารถเลือกแผนการรักษาได้ เช่น RRT หรือ Conservative Management
-ผู้ป่วยและญาติเข้าใจเกี่ยวกับการบำบัดทดแทนไตและผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
-ผู้ป่วยตัดสินใจปฏิเสธ RRT และเลือกการรักษาแบบประคับประคอง
………………………………………………………………………………
E87.5F01 อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจาก Hyperkalemia ในผู้ป่วย ESRD ที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
Goals:
-ป้องกันและจัดการภาวะ Hyperkalemia ในผู้ป่วย ESRD ที่ฟอกเลือด
-ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโพแทสเซียมสูง
-ให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมอาหารและการสังเกตอาการผิดปกติ
Evaluation Criteria:
-ระดับโพแทสเซียมในเลือดกลับสู่ค่าปกติ (3.5-5.0 mmol/L)
-อาการของผู้ป่วย เช่น กล้ามเนื้อไม่อ่อนแรง และหัวใจเต้นปกติ
-ความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการควบคุมอาหารและการสังเกตอาการ
Data:
-ระดับโพแทสเซียมในเลือด > 5.0 mmol/L
-EKG แสดงผล T wave สูงและคม
-ผู้ป่วยมีประวัติรับประทานผักหรือผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง
-อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง, คลื่นไส้, อาเจียน
Intervention
-E87.5F01I01 ประเมินระดับโพแทสเซียมในเลือดและอาการของ Hyperkalemia ก่อนการฟอกเลือด
-E87.5F01I02 รายงานแพทย์ทันทีหากระดับโพแทสเซียมสูงเกินไป (> 6.5 mmol/L)
-E87.5F01I03 เฝ้าระวัง EKG เพื่อสังเกตการเต้นของหัวใจผิดปกติ และเตรียมรับมือกับภาวะหัวใจหยุดเต้น
-E87.5F01I04 เตรียมยาฉุกเฉินตามคำสั่งแพทย์ เช่น Calcium Gluconate, Insulin และ Dextrose, Sodium Bicarbonate
-E87.5F01I05 ปรับการฟอกเลือดโดยใช้ Dialysate ที่มีระดับโพแทสเซียมต่ำ (0-1 mmol/L)
-E87.5F01I06 เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนระหว่างการฟอกเลือด เช่น ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) โดยบันทึก V/S ทุก 15-30 นาที
-E87.5F01I07 ติดตามระดับความรู้สึกตัวและการเต้นของหัวใจอย่างใกล้ชิด
-E87.5F01I08 ตรวจระดับโพแทสเซียมในเลือดหลังการฟอกเลือด
-E87.5F01I09 สังเกตอาการของผู้ป่วย เช่น กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น และหัวใจเต้นปกติ
-E87.5F01I10 ให้คำแนะนำการควบคุมอาหารโดยเลือกรับประทานผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำ และลดการบริโภคผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง
Response:
-เวลา # น.
-V/S ปกติ
-HR # /min
-ระดับโพแทสเซียมลดลงสู่ค่าปกติ (3.5–5.0 mmol/L)
-อาการของผู้ป่วยดีขึ้น เช่น หัวใจเต้นปกติ
-อาการของผู้ป่วยดีขึ้น เช่น กล้ามเนื้อไม่อ่อนแรง
-ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมอาหารและการสังเกตอาการผิดปกติ
……………………………………………………………………………
N18.6F01
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจาก Uremia ในผู้ป่วย ESRD
ที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
Goals:
-ลดความเสี่ยงจากของเสียคั่งในร่างกายที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วย ESRD
-ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือด
-เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการฟอกเลือดและควบคุมอาหารและโภชนาการ
Evaluation Criteria:
-ระดับ BUN และ Creatinine ลดลงหลังการฟอกเลือด
-ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจาก Uremia เช่น อาการสมองปลอดโปร่ง, คลื่นไส้ลดลง
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือดหรือการติดเชื้อ
Data:
-ประวัติการฟอกเลือดไม่เป็นไปตามแผนการรักษา
-ระดับ BUN > 50-100 mg/dL
-Creatinine > 10 mg/dL
-อาการที่พบ เช่น Kussmaul’s breathing, หายใจมีกลิ่นแอมโมเนีย, ปวดข้อ, อ่อนเพลีย, สมองสับสน, ชัก, ความดันโลหิตสูง, อาการบวม
-อาการอื่นๆ เช่น คลื่นไส้, เบื่ออาหาร, คันทั่วตัว
Intervention
-N18.6F01I01 บันทึก V/S ทุก 15-30 นาที เพื่อประเมินความดันโลหิตสูงและการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
-N18.6F01I02 ประเมินระดับความรู้สึกตัวและอาการเปลี่ยนแปลงทางสมอง เพื่อเฝ้าระวัง Uremia เช่น ความสับสน อ่อนเพลีย
-N18.6F01I03 ประเมินลักษณะการหายใจ (Kussmaul’s breathing)
-N18.6F01I04 ประเมินอาการบวมจากการคั่งน้ำ
-N18.6F01I05 ปรับการฟอกเลือดโดยใช้ Dialysate ที่เหมาะสมกับระดับอิเล็กโทรไลต์ของผู้ป่วย
-N18.6F01I06 เพิ่มระยะเวลา/ความถี่ในการฟอกเลือดตามคำสั่งแพทย์
-N18.6F01I07 เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนขณะฟอกเลือด เช่น ความดันโลหิตต่ำ, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, อาการปวดศีรษะ, คลื่นไส้ (Disequilibrium Syndrome)
-N18.6F01I08 ดูแล Exit Site ของ Access โดยทำความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อ
-N18.6F01I09 ควบคุมอาหารและโภชนาการ โดยจำกัดโปรตีน (1.0–1.2 g/kg/day) และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง
-N18.6F01I10 ให้ยาจับฟอสฟอรัส (Phosphate binders) ตามแพทย์สั่งและควบคุมปริมาณน้ำและโซเดียมเพื่อป้องกันภาวะน้ำเกิน
Response:
-เวลา # น.
-V/S ปกติ
-HR # /min
-BP # mmHg
-ระดับ BUN และ Creatinine ลดลงหลังการฟอกเลือด
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจาก Uremia (สมองปลอดโปร่ง, ไม่มีคลื่นไส้)
-ผู้ป่วยเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องโภชนาการและการฟอกเลือด
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือดหรือการติดเชื้อ
………………………………………………………………………………
E87.2F01 เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากน้ำเกินในร่างกายของผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
Goals:
-ลดความเสี่ยงจากภาวะน้ำเกินในผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกเลือด
-ควบคุมอาการของน้ำเกินอย่างมีประสิทธิภาพ
-ส่งเสริมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเกี่ยวกับการควบคุมอาหารและน้ำ
Evaluation Criteria:
-น้ำหนักตัวของผู้ป่วยอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับ Dry Weight
-ไม่มีสัญญาณของ Pulmonary Edema หรือ Heart Failure
-ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการควบคุมการบริโภคน้ำและโซเดียม
Data:
-อาการบวม (Edema) ตามบริเวณต่างๆ
-CXR พบ Cephalization
-ฟังปอดพบเสียง Crepitation
-น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
-ปัสสาวะน้อยลงหรือไม่มี
-หายใจเหนื่อยหอบ
-หัวใจโต (Cardiomegaly)
-มีของเหลวในโพรงเยื่อหุ้มปอด (Pleural Effusion)
-Echocardiogram พบภาวะหัวใจล้มเหลว
-Ultrasound พบการคั่งของของเหลวในช่องท้อง
-ความดันโลหิตสูง
-ชีพจรเต้นเร็ว (Tachycardia)
Intervention
-E87.2F01I01 ประเมินน้ำหนักก่อนและหลังการฟอกเลือด (Dry Weight)
-E87.2F01I02 ควบคุมอัตราการดึงน้ำ (Ultrafiltration Rate, UFR) ไม่เกิน 10–13 มล./กก./ชม.
-E87.2F01I03 ใช้ Dialysate Sodium ที่เหมาะสมเพื่อรักษาสมดุลของของเหลว
-E87.2F01I04 บันทึก V/S ทุก 15-30 นาที
-E87.2F01I05 เฝ้าระวังสัญญาณของ Heart Failure เช่น หายใจหอบเหนื่อยขณะนอนราบ (Orthopnea)
-E87.2F01I06 สังเกตการหายใจและ Monitor O2 sat เพื่อติดตาม Pulmonary Edema
-E87.2F01I07 ส่งเสริมความรู้และการดูแลตนเองเกี่ยวกับอาหาร เช่น ลดการบริโภคโซเดียม
-E87.2F01I08 แนะนำให้ผู้ป่วยชั่งน้ำหนักทุกวันตอนเช้าและบันทึก
-E87.2F01I09 แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการน้ำเกิน เช่น อาการบวม, หายใจลำบาก, ปวดศีรษะ
-E87.2F01I10 ปรับการฟอกเลือดตามความจำเป็นเพื่อควบคุมภาวะน้ำเกิน
Response:
-เวลา # น.
-V/S ปกติ
-HR # /min
-BP # mmHg
-น้ำหนักตัวอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับ Dry Weight
-ไม่มีสัญญาณของ Pulmonary Edema หรือ Heart Failure
-ผู้ป่วยเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำในการควบคุมการบริโภคน้ำและโซเดียม
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติม
....................................................................................................................
อำภัย อินดี