เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2568

EP. 26👉👉ตัวอย่าง : การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) I64 - Stroke, not specified as hemorrhage or infarction


พยาธิสภาพของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
        

    โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เกิดจากการหยุดชะงักของการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง ส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองขาดออกซิเจนและสารอาหาร อาจเกิดจากหลอดเลือดตีบตัน (Ischemic Stroke) ที่เกิดจากลิ่มเลือดอุดตันหรือหลอดเลือดตีบ หรือจากหลอดเลือดแตก (Hemorrhagic Stroke) ที่ทำให้เกิดเลือดออกในสมอง โดยทั้งสองกรณีจะส่งผลให้เซลล์สมองในบริเวณที่ได้รับผลกระทบเสียหาย ซึ่งสามารถนำไปสู่ความพิการถาวรหรือเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

การรักษาพยาบาลโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
        การรักษาโรคหลอดเลือดสมองขึ้นอยู่กับชนิดของโรค สำหรับ Ischemic Stroke อาจใช้ยาละลายลิ่มเลือด (rt-PA) หรือการดึงลิ่มเลือด (Thrombectomy) ส่วน Hemorrhagic Stroke จะเน้นการควบคุมความดันโลหิตและการหยุดเลือดในสมอง การพยาบาลเน้นการประเมินระบบประสาทอย่างต่อเนื่อง ควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การเกิดแผลกดทับ และส่งเสริมการฟื้นฟูสมรรถภาพ เช่น การเคลื่อนไหวและการพูด

วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
  1. I64F1: บกพร่องในการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Impaired Gas Exchange): เนื่องจากการขาดออกซิเจนในเนื้อเยื่อสมอง
  2. I64F2: บกพร่องในการเคลื่อนไหวร่างกาย (Impaired Physical Mobility): ผลจากอัมพาตครึ่งซีก
  3. I64F3: เสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Risk for Deep Vein Thrombosis): เนื่องจากการนอนติดเตียง
  4. I64F4: บกพร่องในการสื่อสาร (Impaired Verbal Communication): ผลจากความเสียหายของศูนย์การพูด
  5. I64F5: เสี่ยงต่อการสำลัก (Risk for Aspiration): เนื่องจากการกลืนลำบาก
  6. I64F6: บกพร่องในการดูแลสุขภาพตนเอง (Ineffective Self-Care): เนื่องจากอัมพาตหรืออ่อนแรง
  7. I64F7: เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการขาดการเคลื่อนไหว (Risk for Complications from Immobility): เช่น แผลกดทับ
  8. I64F8: ความไม่เพียงพอในการจัดการสุขภาพ (Ineffective Health Management): ขาดความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  9. I64F9: เสี่ยงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ (Risk for Recurrence): หากไม่สามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง หรือระดับน้ำตาลในเลือด
  10. I64F10: เสี่ยงต่อการสูญเสียการสนับสนุนทางสังคม (Risk for Impaired Social Interaction): จากความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้าหลังเกิด Stroke
  11. I64F11: เสี่ยงต่อการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา (Risk for Non-Adherence to Treatment): เนื่องจากขาดความเข้าใจหรือการสนับสนุน

(ตัวเลข F1, I-1, R-1 เป็นเพียงตัวเลขที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การจัดลำดับวินิจฉัยการพยาบาลเป็นไปอย่างมีระบบ อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม)
..................................................................

I64F1: บกพร่องในการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Impaired Gas Exchange)

1. Assessment (การประเมิน)

S :

  • ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจลำบาก รู้สึกแน่นหน้าอก
  • อาการเหนื่อยง่ายขณะทำกิจกรรม

O:

  • ระดับ SpO₂ ต่ำกว่า 90%
  • การหายใจเร็ว (Respiratory Rate > 24 ครั้ง/นาที)
  • ปากหรือปลายเล็บเขียว (Cyanosis)
  • เสียงปอดผิดปกติ เช่น Crackles หรือ Rhonchi
  • ค่า ABG แสดง PaO₂ ต่ำกว่า 60 mmHg และ PaCO₂ สูงกว่า 45 mmHg

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยมีระดับ SpO₂ ≥ 92% ภายใน 6 ชั่วโมงแรก
  • ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจสะดวกขึ้นและไม่มีอาการเหนื่อยล้า
  • ผล ABG กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ผู้ป่วยไม่มีอาการแทรกซ้อน เช่น หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หรือภาวะไตขาดเลือด

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • SpO₂ ≥ 92% อย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยแสดงความสามารถในการทำกิจกรรมพื้นฐานได้โดยไม่เหนื่อยล้า
  • เสียงปอดกลับมาเป็นปกติ ไม่มีเสียงผิดปกติ
  • ค่า ABG อยู่ในเกณฑ์ปกติ

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F1I-1: ติดตามระดับ SpO₂ และสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะการแลกเปลี่ยนก๊าซ
  • I64F1I-2: ให้ O₂ Therapy โดยใช้ Nasal Cannula หรือ Face Mask ตามคำสั่งแพทย์
  • I64F1I-3: จัดท่าศีรษะสูง (High Fowler's Position) เพื่อเพิ่มการขยายตัวของปอด
  • I64F1I-4: ฟังเสียงปอดทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจ
  • I64F1I-5: ให้ยาขยายหลอดลม (Bronchodilators) ตามคำสั่งแพทย์เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ
  • I64F1I-6: ให้ยาลดการอักเสบ (Corticosteroids) เพื่อลดการอักเสบของเนื้อเยื่อในปอด
  • I64F1I-7: ส่งเสริมการไออย่างมีประสิทธิภาพและใช้เครื่องช่วยหายใจ (Incentive Spirometer) เพื่อกระตุ้นการระบายอากาศ
  • I64F1I-8: ติดตามผล ABG และปรับการรักษาให้เหมาะสม

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F1R-1: SpO₂ คงที่92% อย่างต่อเนื่องภายใน 6 ชั่วโมงแรก
  • I64F1R-2: ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจสะดวกขึ้นและอาการเหนื่อยลดลง
  • I64F1R-3: เสียงปอดกลับมาเป็นปกติ ไม่มี Crackles หรือ Rhonchi
  • I64F1R-4: ผล ABG กลับมาในเกณฑ์ปกติ (PaO₂ > 80 mmHg และ PaCO₂ 35-45 mmHg)

......................................................

I64F2 : บกพร่องในการเคลื่อนไหวร่างกาย (Impaired Physical Mobility): ผลจากอัมพาตครึ่งซีก

1. Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่สามารถขยับแขนและขาข้างขวาได้ และรู้สึกหนักหรือชาในส่วนที่เป็นอัมพาต
  • มีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน

O:

  • ตรวจพบว่าแขนและขาข้างขวาของผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ (hemiparesis)
  • กล้ามเนื้อลดแรงตึงตัว (muscle tone) และมีภาวะอ่อนแรง
  • ระดับการทรงตัว (balance) ขณะนั่งหรือยืนลดลง
  • ผลการประเมิน FIM (Functional Independence Measure): คะแนนต่ำในส่วนของการเคลื่อนไหวและการดูแลตัวเอง

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถขยับแขนและขาข้างขวาในขอบเขตที่จำกัดด้วยตนเองได้ภายใน 7 วัน
  • ผู้ป่วยสามารถนั่งทรงตัวบนเตียงได้โดยไม่ช่วยพยุงภายใน 3 วัน
  • ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนย้ายตนเองจากเตียงไปยังเก้าอี้รถเข็นได้โดยมีผู้ช่วยเหลือขั้นต่ำภายใน 4 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยมีความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันได้ในระดับเหมาะสมตามขอบเขตของอาการ

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยสามารถเพิ่มขอบเขตการเคลื่อนไหวของแขนและขาข้างที่อัมพาตได้20% เมื่อเทียบกับวันแรก
  • คะแนน FIM ด้านการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น2 คะแนนใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจในแผนการฟื้นฟูโดยการตอบรับในเชิงบวก

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F2I-1: ประเมินขอบเขตการเคลื่อนไหวและระดับกล้ามเนื้อ (ROM และ muscle strength) ทุกวัน
  • I64F2I-2: จัดท่าทางผู้ป่วยเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ข้อติดหรือแผลกดทับ โดยใช้หมอนรองตำแหน่งที่เหมาะสม
  • I64F2I-3: ส่งเสริมการทำกิจกรรมการฟื้นฟูกายภาพบำบัด เช่น การบริหารข้อต่อแบบ Passive และ Active-assisted ROM
  • I64F2I-4: ใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือ เช่น อุปกรณ์พยุงการเคลื่อนไหว หรือหุ่นยนต์ฟื้นฟูการเดิน (Gait Training Device)
  • I64F2I-5: สอนผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับการออกกำลังกายเบื้องต้นที่สามารถทำที่บ้านเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟู

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F2R-1: ผู้ป่วยสามารถเพิ่มการเคลื่อนไหวข้อต่อข้างที่อัมพาตได้20% หลัง 1 สัปดาห์
  • I64F2R-2: ผู้ป่วยสามารถนั่งทรงตัวได้โดยไม่ต้องช่วยเหลือภายใน 3 วัน
  • I64F2R-3: ญาติและผู้ดูแลแสดงความเข้าใจในการช่วยเหลือการออกกำลังกาย
  • I64F2R-4: ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกพึงพอใจและมั่นใจในการฟื้นฟูตนเอง

..............................................

I64F3: เสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Risk for Deep Vein Thrombosis - DVT): เนื่องจากการนอนติดเตียง

1. Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานความกังวลเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนจากการนอนติดเตียง
  • ไม่มีอาการเจ็บหรือบวมในขณะนี้

O:

  • ผู้ป่วยอยู่ในภาวะนอนติดเตียง > 48 ชั่วโมง
  • ข้อต่อไม่มีการเคลื่อนไหวเพียงพอ (immobility)
  • การประเมินหลอดเลือดดำไม่พบอาการบวมแดงหรือเจ็บ (ไม่มี Homan’s sign)
  • ผลการวัดระดับเสี่ยงต่อ DVT ด้วยแบบประเมิน Well's Score: ระดับความเสี่ยงปานกลาง

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด โดยส่งเสริมการเคลื่อนไหวข้อต่อภายใน 3 วัน
  • ไม่มีอาการบวม แดง หรือเจ็บในบริเวณขา
  • ผู้ป่วยมีการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกที่ปกติ โดยไม่มีการเกิด DVT ตลอดระยะเวลานอนติดเตียง
  • ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดได้อย่างถูกต้อง

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยไม่มีอาการบวม แดง หรือเจ็บในขาทั้งสองข้าง
  • ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวข้อต่อได้ทุก 2 ชั่วโมง
  • ผลการวัด Well’s Score แสดงค่าความเสี่ยงลดลงเป็นระดับต่ำ

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F3I-1: ประเมินสภาพการไหลเวียนโลหิตในหลอดเลือดดำทุก 12 ชั่วโมง เช่น อาการบวม แดง หรือเจ็บในขา
  • I64F3I-2: กระตุ้นให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การขยับข้อต่อแบบ Active และ Passive ROM อย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
  • I64F3I-3: จัดท่านอนโดยยกขาให้สูงขึ้นเล็กน้อย (elevation) เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด
  • I64F3I-4: ใช้ถุงลมบีบขา (Sequential Compression Device: SCD) หรือถุงน่องลดความดัน (Compression Stockings) ตามคำแนะนำของแพทย์
  • I64F3I-5: ให้คำแนะนำผู้ป่วยและผู้ดูแลเกี่ยวกับความสำคัญของการเปลี่ยนท่าและการออกกำลังกายเบา
  • I64F3I-6: ประเมินความเสี่ยงร่วม เช่น การขาดน้ำ (dehydration) และส่งเสริมให้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
  • I64F3I-7: ประสานแพทย์สำหรับการพิจารณาให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) หากมีความเสี่ยงสูง

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F3R-1: ผู้ป่วยไม่มีอาการบวม แดง หรือเจ็บบริเวณขา
  • I64F3R-2: ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวข้อต่อได้อย่างเหมาะสมทุก 2 ชั่วโมง
  • I64F3R-3: ผู้ป่วยรายงานความเข้าใจในมาตรการป้องกัน DVT และสามารถปฏิบัติตามได้
  • I64F3R-4: การตรวจวัด Well’s Score แสดงระดับความเสี่ยงที่ลดลง
  • I64F3R-5: ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจาก DVT ตลอดระยะเวลานอนติดเตียง

..........................................

I64F4 : บกพร่องในการสื่อสาร (Impaired Verbal Communication): ผลจากความเสียหายของศูนย์การพูด

1. Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่สามารถพูดได้ชัดเจน หรือใช้คำพูดผิดพลาด
  • ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกหงุดหงิดและวิตกกังวลเกี่ยวกับการสื่อสาร

O:

  • ผู้ป่วยมีความยากลำบากในการแสดงคำพูด (expressive aphasia)
  • การตอบสนองต่อคำสั่งด้วยการพยักหน้าหรือการเคลื่อนไหวแทนการพูด
  • ผลการประเมินแบบ WAB (Western Aphasia Battery): คะแนนบ่งชี้ถึงความบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรง

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีการสื่อสารทางเลือก เช่น ภาษากาย หรือแผนภาพ เพื่อสื่อความต้องการได้ภายใน 3 วัน
  • ผู้ป่วยสามารถแสดงความเข้าใจในคำสั่งพื้นฐานได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถสื่อสารความต้องการพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยคำพูดหรือวิธีการทางเลือกภายใน 4 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจในความสามารถในการสื่อสาร

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยสามารถใช้เครื่องมือหรือวิธีการสื่อสารทางเลือกได้80% ของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
  • ผู้ป่วยแสดงความเข้าใจต่อคำสั่งพื้นฐานอย่างถูกต้อง90%
  • การประเมินคะแนน WAB แสดงถึงการพัฒนาขึ้น10% ภายใน 4 สัปดาห์

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F4I-1: ประเมินระดับความบกพร่องในการสื่อสาร โดยใช้เครื่องมือเฉพาะ เช่น WAB หรือ Boston Aphasia Assessment
  • I64F4I-2: จัดหาเครื่องมือช่วยสื่อสาร เช่น กระดานคำศัพท์ ภาพสัญลักษณ์ หรืออุปกรณ์เทคโนโลยีช่วยพูด (Speech Generating Device)
  • I64F4I-3: สอนผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับวิธีการใช้เครื่องมือสื่อสารทางเลือกอย่างมีประสิทธิภาพ
  • I64F4I-4: ส่งเสริมการฝึกฝนการพูดด้วยการกระตุ้นให้ผู้ป่วยออกเสียงคำง่าย ซ้ำ
  • I64F4I-5: ทำงานร่วมกับนักแก้ไขการพูด (Speech Therapist) เพื่อออกแบบแผนฟื้นฟูการสื่อสารเฉพาะบุคคล
  • I64F4I-6: ให้กำลังใจผู้ป่วยเมื่อมีความพยายามในการสื่อสารเพื่อลดความวิตกกังวล
  • I64F4I-7: ประสานแพทย์เพื่อประเมินทางระบบประสาทเพิ่มเติมหากพบความบกพร่องเพิ่มขึ้น

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F4R-1: ผู้ป่วยสามารถสื่อสารความต้องการพื้นฐานด้วยวิธีการทางเลือกได้80%
  • I64F4R-2: ผู้ป่วยแสดงความเข้าใจต่อคำสั่งพื้นฐานได้ถูกต้อง90%
  • I64F4R-3: ผู้ป่วยและญาติมีความมั่นใจในการใช้เครื่องมือช่วยสื่อสาร
  • I64F4R-4: คะแนนการประเมิน WAB เพิ่มขึ้น10% ภายในระยะเวลาที่กำหนด
  • I64F4R-5: ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจและลดความวิตกกังวลในการสื่อสาร

.........................................

I64F5 : เสี่ยงต่อการสำลัก (Risk for Aspiration): เนื่องจากการกลืนลำบาก

1. Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกสำลักบ่อยครั้งระหว่างการรับประทานอาหาร
  • รู้สึกกลืนอาหารและน้ำได้ยาก

O:

  • ผู้ป่วยมีอาการไอระหว่างหรือหลังรับประทานอาหาร
  • เสียงพูดเปลี่ยนแปลงหลังกลืน (wet voice)
  • ผลการประเมินด้วย Modified Barium Swallow Test (MBST) พบว่ามีการกลืนผิดปกติ (Dysphagia) ระดับปานกลาง

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารและน้ำโดยไม่สำลักภายใน 3 วัน
  • ลดความเสี่ยงต่อการสำลักระหว่างการรับประทานอาหาร
  • ผู้ป่วยมีการกลืนที่ปลอดภัยโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบจากการสำลัก (Aspiration Pneumonia)
  • ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลเกี่ยวกับภาวะกลืนลำบากได้อย่างถูกต้อง

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยไม่มีอาการสำลักหรือไอระหว่างรับประทานอาหารและน้ำ90% ของมื้ออาหาร
  • ไม่มีสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน เช่น ไข้หรืออาการบ่งบอกการติดเชื้อในปอด
  • การประเมินด้วย MBST ครั้งต่อไปแสดงถึงการพัฒนาของความสามารถในการกลืน

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F5I-1: ประเมินลักษณะการกลืนของผู้ป่วยทุกมื้ออาหาร เช่น การสำลัก ไอ หรือการเปลี่ยนแปลงเสียงพูด
  • I64F5I-2: ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารในท่านั่งตรง และอยู่ในท่านั้นต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาทีหลังรับประทานอาหาร
  • I64F5I-3: ปรับลักษณะของอาหารและน้ำให้เหมาะสม เช่น ใช้อาหารอ่อนหรือของเหลวข้นตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักแก้ไขการกลืน
  • I64F5I-4: สอนผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับเทคนิคการกลืนอย่างปลอดภัย เช่น Chin-tuck หรือ Double-swallow technique
  • I64F5I-5: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารทีละคำในปริมาณน้อยเพื่อป้องกันการสำลัก
  • I64F5I-6: สังเกตอาการและสัญญาณของภาวะปอดอักเสบจากการสำลัก เช่น ไข้ ไอ เสมหะผิดปกติ
  • I64F5I-7: ประสานนักแก้ไขการพูด (Speech Therapist) เพื่อออกแบบแผนฟื้นฟูการกลืนเฉพาะบุคคล
  • I64F5I-8: ประสานแพทย์เพื่อพิจารณาใช้วิธีการป้อนอาหารทางสายยางในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสำลัก

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F5R-1: ผู้ป่วยไม่มีอาการสำลักหรือไอระหว่างรับประทานอาหารและน้ำ
  • I64F5R-2: ผู้ป่วยสามารถกลืนอาหารและน้ำได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
  • I64F5R-3: ผู้ป่วยและผู้ดูแลปฏิบัติตามคำแนะนำได้อย่างเหมาะสม
  • I64F5R-4: การประเมินด้วย MBST ครั้งต่อไปแสดงถึงการพัฒนาของกลไกการกลืน
  • I64F5R-5: ไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบจากการสำลัก

.............................................

I64F6 : บกพร่องในการดูแลสุขภาพตนเอง (Ineffective Self-Care): เนื่องจากอัมพาตหรืออ่อนแรง

1. Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ เช่น การล้างหน้า แต่งตัว หรือรับประทานอาหาร
  • ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกหงุดหงิดหรือเศร้าหมองเกี่ยวกับการพึ่งพาผู้อื่น

O:

  • ผู้ป่วยมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว เช่น ไม่สามารถใช้แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่ง
  • การประเมิน Barthel Index พบว่าผู้ป่วยอยู่ในระดับพึ่งพาผู้อื่นปานกลางถึงรุนแรง
  • ผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันทุกด้าน

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพตนเอง เช่น การล้างหน้า หรือตักอาหารได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถรับความช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันโดยไม่แสดงความเครียดหรือวิตกกังวล
  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองในระดับที่เหมาะสมกับความสามารถภายใน 4 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยและญาติสามารถใช้เครื่องมือช่วยเหลือหรืออุปกรณ์เสริมในการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันบางส่วนได้ด้วยตนเอง70%
  • ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจและลดความเครียดในการพึ่งพาผู้อื่น
  • คะแนน Barthel Index เพิ่มขึ้น10 คะแนนภายใน 4 สัปดาห์

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F6I-1: ประเมินระดับความสามารถของผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวันโดยใช้ Barthel Index หรือ Katz Index
  • I64F6I-2: ส่งเสริมการใช้ข้างร่างกายที่ยังคงแข็งแรงในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การใช้มือข้างที่แข็งแรงเพื่อจับช้อนหรือล้างหน้า
  • I64F6I-3: จัดหาและแนะนำการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น ช้อนส้อมด้ามจับพิเศษ อุปกรณ์ช่วยแต่งตัว หรือรถเข็น
  • I64F6I-4: ฝึกผู้ป่วยในทักษะการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เช่น การอาบน้ำหรือแต่งตัว โดยใช้เทคนิคแบบขั้นตอน
  • I64F6I-5: สอนญาติและผู้ดูแลเกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเหมาะสมและการสนับสนุนให้ผู้ป่วยทำสิ่งต่าง ด้วยตนเอง
  • I64F6I-6: ส่งเสริมความมั่นใจและให้กำลังใจผู้ป่วยเมื่อสามารถทำกิจวัตรประจำวันบางส่วนได้ด้วยตนเอง
  • I64F6I-7: ประสานกับทีมสหวิชาชีพ เช่น นักกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความคล่องตัว
  • I64F6I-8: ประสานแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษาหรือฟื้นฟูเพิ่มเติมในกรณีที่ความอ่อนแรงไม่ดีขึ้น

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F6R-1: ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันบางส่วน เช่น การล้างหน้า หรือการรับประทานอาหาร ด้วยตนเองได้70%
  • I64F6R-2: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจและลดความกังวลเกี่ยวกับการพึ่งพาผู้อื่น
  • I64F6R-3: ญาติและผู้ดูแลสามารถช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
  • I64F6R-4: คะแนน Barthel Index หรือ Katz Index ของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น10 คะแนน
  • I64F6R-5: ผู้ป่วยสามารถใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือหรือเทคนิคที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม

.................................................

I64F7 : เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการขาดการเคลื่อนไหว (Risk for Complications from Immobility): เช่น แผลกดทับ

1. Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่สามารถเปลี่ยนท่าทางได้ด้วยตนเอง
  • มีความรู้สึกไม่สบายตัวจากการอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน

O:

  • ผู้ป่วยนอนติดเตียงและมีการเคลื่อนไหวจำกัด
  • ผิวหนังบริเวณปุ่มกระดูก เช่น สะโพกหรือส้นเท้า แสดงอาการแดงหรือเริ่มมีการกดทับ
  • การประเมิน Norton Scale หรือ Braden Scale พบว่าผู้ป่วยมีคะแนน14 ซึ่งอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ผิวหนังของผู้ป่วยไม่มีรอยแดงที่คงอยู่หรือสัญญาณของการเริ่มเป็นแผลกดทับภายใน 3 วัน
  • ผู้ป่วยได้รับการเปลี่ยนท่าทางทุก 2 ชั่วโมงตามแผนการดูแล
  • ผู้ป่วยไม่เกิดแผลกดทับหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น จากการขาดการเคลื่อนไหว
  • ญาติหรือผู้ดูแลสามารถปฏิบัติการดูแลเพื่อป้องกันแผลกดทับได้อย่างเหมาะสม

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผิวหนังบริเวณที่มีแรงกดดันไม่มีรอยแดงหรือรอยแผล
  • ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจและลดความไม่สบายตัวจากการเปลี่ยนท่าทาง
  • คะแนน Norton Scale หรือ Braden Scale เพิ่มขึ้น2 คะแนน

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F7I-1: ประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับด้วย Norton Scale หรือ Braden Scale ทุกวัน
  • I64F7I-2: เปลี่ยนท่าทางผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อกระจายแรงกด
  • I64F7I-3: ใช้ที่นอนลมแบบปรับแรงดัน หรือเบาะรองลดแรงกดในบริเวณปุ่มกระดูก
  • I64F7I-4: ดูแลผิวหนังให้สะอาดและแห้ง พร้อมใช้ครีมหรือโลชั่นที่ช่วยลดแรงเสียดสี
  • I64F7I5: ให้การนวดเบา บริเวณรอบปุ่มกระดูกเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีรอยแดง
  • I64F7I-6: ส่งเสริมการทำกิจกรรมตามศักยภาพของผู้ป่วย เช่น การนั่งในเก้าอี้วิลแชร์หรือลุกขึ้นนั่งบนเตียงเป็นระยะ
  • I64F7I-7: ให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับวิธีการป้องกันแผลกดทับ เช่น การเปลี่ยนท่าทางและดูแลผิวหนัง
  • I64F7I-8: ประสานกับนักกายภาพบำบัดเพื่อช่วยออกแบบการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม
  • I64F7I-9: แจ้งแพทย์ทันทีหากพบรอยแผลที่เริ่มมีการเปิดหรือสัญญาณการติดเชื้อ

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F7R-1: ผิวหนังของผู้ป่วยไม่มีรอยแดงที่คงอยู่หรือแผลกดทับ
  • I64F7R-2: ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจจากการได้รับการดูแลและเปลี่ยนท่าทาง
  • I64F7R-3: ผู้ป่วยหรือญาติสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันแผลกดทับได้อย่างเหมาะสม
  • I64F7R-4: การประเมิน Norton Scale หรือ Braden Scale แสดงถึงการลดความเสี่ยงของแผลกดทับ

..................................................

I64F8 : ความไม่เพียงพอในการจัดการสุขภาพ (Ineffective Health Management): ขาดความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะแทรกซ้อน

1. Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อน
  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับโรคและการดูแลตัวเอง

O:

  • ผู้ป่วยไม่มีแผนการดูแลสุขภาพที่ชัดเจนหรือกิจวัตรที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • การประเมินความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะแทรกซ้อนพบว่าผู้ป่วยมีคะแนนความรู้ต่ำ (≤ 50% ในแบบประเมิน)
  • ญาติหรือผู้ดูแลไม่มีความมั่นใจในการให้การดูแล

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงวิธีการป้องกันภาวะแทรกซ้อนเบื้องต้นได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยและญาติสามารถระบุสัญญาณเตือนของภาวะแทรกซ้อนที่ควรพบแพทย์ได้ภายใน 3 วัน
  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้อย่างสม่ำเสมอ
  • ญาติหรือผู้ดูแลสามารถให้การสนับสนุนการดูแลสุขภาพผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนและวิธีการป้องกันได้80%
  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการดูแลสุขภาพ เช่น การรับประทานยา การเปลี่ยนท่าทาง หรือการดูแลผิวหนังได้70%
  • ญาติหรือผู้ดูแลมีความมั่นใจ80% ในการสนับสนุนผู้ป่วย

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F8I-1: ประเมินความรู้พื้นฐานของผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนและวิธีป้องกัน
  • I64F8I-2: จัดโปรแกรมการสอนเฉพาะบุคคลหรือกลุ่มเกี่ยวกับวิธีการป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การเปลี่ยนท่าทาง การดูแลผิวหนัง และการรับประทานยา
  • I64F8I-3: แจกเอกสารหรือสื่อการเรียนรู้ที่เข้าใจง่าย เช่น วิดีโอหรือคู่มือภาพประกอบ
  • I64F8I-4: ฝึกปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เช่น การเปลี่ยนท่าทาง การตรวจผิวหนัง หรือการใช้เครื่องมือช่วยเหลือ พร้อมให้คำแนะนำ
  • I64F8I-5: จัดการสนทนาเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติสอบถามข้อสงสัยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
  • I64F8I-6: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยบันทึกกิจวัตรสุขภาพหรือสัญญาณเตือนที่พบ และรายงานให้ทีมสุขภาพทราบ
  • I64F8I-7: ประสานกับทีมสหวิชาชีพ เช่น แพทย์ นักกายภาพบำบัด หรือนักโภชนาการ เพื่อช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติม
  • I64F8I-8: ติดตามผลการเรียนรู้และการปฏิบัติจริงของผู้ป่วยและญาติ พร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติม
  • I64F8I-9: ใช้เทคนิคการให้กำลังใจเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในความสามารถของผู้ป่วยและญาติ

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F8R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงวิธีการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและสัญญาณเตือนได้อย่างถูกต้อง
  • I64F8R-2: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการดูแลสุขภาพได้70%
  • I64F8R-3: ญาติหรือผู้ดูแลสามารถช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
  • I64F8R-4: ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจและมั่นใจในการจัดการสุขภาพของตนเอง
  • I64F8R-5: ผู้ป่วยไม่มีสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนจากการขาดการดูแลที่เหมาะสม

.................................................

I64F9 : เสี่ยงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ (Risk for Recurrence): หากไม่สามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง หรือระดับน้ำตาลในเลือด

1. Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่าฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องควบคุมความดันโลหิตหรือบางครั้งลืมกินยาความดัน
  • ผู้ป่วยรู้สึกว่าการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเป็นเรื่องยาก

O:

  • ระดับความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 mmHg ในการวัดซ้ำหลายครั้ง
  • ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) สูงกว่า 126 mg/dL หรือ HbA1c ≥ 6.5%
  • พบว่าผู้ป่วยไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น การลืมกินยา หรือการรับประทานอาหารที่มีเกลือและน้ำตาลสูง

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงความสำคัญของการควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด ได้ภายใน 3 วัน
  • ผู้ป่วยเริ่มปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น การรับประทานยาและการปรับพฤติกรรมสุขภาพ ได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (≤ 130/80 mmHg) และระดับน้ำตาลในเลือด (FBS < 126 mg/dL) ได้ภายใน 3 เดือน
  • ผู้ป่วยลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำด้วยการปฏิบัติตามแผนสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยมีระดับความดันโลหิต130/80 mmHg และ HbA1c < 7% อย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนสุขภาพ80%
  • ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ90%

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F9I-1: ประเมินระดับความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือด และพฤติกรรมสุขภาพ
  • I64F9I-2: ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค ปัจจัยเสี่ยง และผลกระทบหากควบคุมปัจจัยเสี่ยงไม่ได้
  • I64F9I-3: วางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม เช่น การลดปริมาณเกลือ น้ำตาล และไขมัน
  • I64F9I-4: สอนวิธีการวัดความดันโลหิตและติดตามระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง พร้อมบันทึกผล
  • I64F9I-5: ส่งเสริมการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น เดินเร็วหรือออกกำลังกายเบา 30 นาที/วัน
  • I64F9I-6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการรับประทานยา เช่น ตั้งการเตือนความจำสำหรับเวลาทานยา
  • I64F9I-7: ประสานงานกับแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา เช่น การปรับยาหรือการติดตามผลตรวจ
  • I64F9I-8: ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการความเครียด เช่น เทคนิคการผ่อนคลายหรือการสนับสนุนจากครอบครัว
  • I64F9I-9: ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติของผู้ป่วยเป็นระยะ พร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติม

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F9R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงความสำคัญของการควบคุมปัจจัยเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง
  • I64F9R-2: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น การรับประทานยาและปรับพฤติกรรมสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง
  • I64F9R-3: ระดับความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • I64F9R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถสังเกตและป้องกันปัจจัยเสี่ยงได้ด้วยตนเอง
  • I64F9R-5: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจและความพึงพอใจในความสามารถของตนเองในการควบคุมโรค

…..................................................

I64F10 : เสี่ยงต่อการสูญเสียการสนับสนุนทางสังคม (Risk for Impaired Social Interaction): จากความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้าหลังเกิด Stroke

1. Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่าฉันไม่อยากเจอใครหรือฉันรู้สึกเหมือนเป็นภาระของคนอื่น
  • ผู้ป่วยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวหรือเพื่อน

O:

  • ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมสังคมและการสนทนากับผู้อื่น
  • มีอาการที่สอดคล้องกับภาวะซึมเศร้า เช่น อารมณ์เศร้า นอนไม่หลับ หรือขาดพลังงาน
  • ครอบครัวรายงานว่าผู้ป่วยมีพฤติกรรมแยกตัวหรือเงียบผิดปกติ

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถระบุถึงความสำคัญของการสนับสนุนทางสังคมได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยเริ่มแสดงพฤติกรรมที่เปิดรับการสนับสนุน เช่น การพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อน
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมอย่างสม่ำเสมอภายใน 3 เดือน
  • ผู้ป่วยมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับครอบครัวและสังคมโดยรอบ

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมเชิงบวกในการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวหรือเพื่อน70%
  • ผู้ป่วยแสดงอารมณ์และความพึงพอใจในการมีส่วนร่วมทางสังคม80%
  • ครอบครัวหรือเพื่อนรายงานการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในพฤติกรรมของผู้ป่วย

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F10I-1: ประเมินระดับความวิตกกังวลและอาการซึมเศร้าของผู้ป่วยโดยใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น GAD-7 หรือ PHQ-9
  • I64F10I-2: สร้างความไว้วางใจและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดถึงความรู้สึกและความต้องการ
  • I64F10I-3: ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะซึมเศร้าหลัง Stroke และวิธีการสนับสนุน
  • I64F10I-4: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เพิ่มความมั่นใจ เช่น การพูดคุยสั้น กับคนที่ใกล้ชิด
  • I64F10I-5: สนับสนุนให้ครอบครัวสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและกระตุ้นให้ผู้ป่วยรู้สึกเป็นที่ยอมรับ
  • I64F10I-6: แนะนำผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือการบำบัดกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Stroke
  • I64F10I-7: ประสานงานกับนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยาเพื่อช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาซับซ้อน
  • I64F10I-8: กระตุ้นการใช้เทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การฝึกสมาธิหรือการหายใจลึก เพื่อช่วยลดความวิตกกังวล
  • I64F10I-9: ติดตามความก้าวหน้าในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ป่วยและปรับแผนการพยาบาลตามความเหมาะสม

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F10R-1: ผู้ป่วยสามารถระบุถึงความสำคัญของการสนับสนุนทางสังคมได้อย่างถูกต้อง
  • I64F10R-2: ผู้ป่วยเริ่มเปิดรับและพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อน
  • I64F10R-3: ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เช่น การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน
  • I64F10R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวแสดงความพึงพอใจในความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
  • I64F10R-5: ผู้ป่วยแสดงอารมณ์เชิงบวกและลดการแยกตัว

.....................................................

I64F11 : เสี่ยงต่อการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา (Risk for Non-Adherence to Treatment): เนื่องจากขาดความเข้าใจหรือการสนับสนุน

1. Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่าฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องกินยานี้หรือฉันรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ
  • ครอบครัวกล่าวว่าเราไม่รู้ว่าต้องช่วยผู้ป่วยอย่างไรในการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

O:

  • ผู้ป่วยไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ เช่น การหยุดยาเอง การไม่มาโรงพยาบาลตามนัด
  • มีสัญญาณของความไม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคหรือแผนการรักษา เช่น การตอบคำถามผิดพลาดเกี่ยวกับการใช้ยา
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการรักษา

2. Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายแผนการรักษาและวิธีปฏิบัติได้ถูกต้องภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยเริ่มปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างน้อย 80% ภายใน 2 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาได้อย่างต่อเนื่องและเป็นอิสระภายใน 3 เดือน
  • ครอบครัวมีบทบาทสนับสนุนที่เหมาะสมในแผนการรักษาของผู้ป่วย

3. Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยและครอบครัวตอบคำถามเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษาได้90%
  • ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลตามนัดและปฏิบัติตามคำแนะนำ95%
  • ครอบครัวแสดงบทบาทสนับสนุน เช่น การช่วยเตรียมยา หรือกระตุ้นผู้ป่วยให้ปฏิบัติตามแผน

4. Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • I64F11I-1: ประเมินระดับความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษา
  • I64F11I-2: ให้ข้อมูลและคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการรักษา โดยใช้ภาษาที่ง่ายและเหมาะสมกับระดับความเข้าใจ
  • I64F11I-3: จัดทำเอกสารหรือวิดีโอสรุปวิธีปฏิบัติตามแผนการรักษาสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว
  • I64F11I-4: แสดงวิธีการใช้ยา อุปกรณ์ หรือกระบวนการรักษาที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้ผู้ป่วยลองปฏิบัติจริง
  • I64F11I-5: สนับสนุนให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแล เช่น การช่วยจัดยา การกระตุ้นให้ผู้ป่วยทำตามนัดหมาย
  • I64F11I-6: ให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา
  • I64F11I-7: ประสานงานกับทีมสหวิชาชีพ เช่น เภสัชกร นักโภชนาการ หรือสังคมสงเคราะห์ เพื่อให้การสนับสนุนเพิ่มเติม
  • I64F11I-8: สร้างแผนการติดตาม เช่น โทรศัพท์ติดตามผู้ป่วยเพื่อย้ำเตือนหรือให้คำปรึกษาเพิ่มเติม
  • I64F11I.9: จัดทำระบบเตือนความจำ เช่น การใช้แอปพลิเคชันหรืออุปกรณ์เตือนสำหรับผู้ป่วยที่ลืมปฏิบัติตาม

5. Response (การตอบสนอง)

  • I64F11R-1: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายโรคและแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง
  • I64F11R-2: ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น การใช้ยาตามคำสั่ง การมาตรวจตามนัดหมาย
  • I64F11R-3: ครอบครัวมีบทบาทสนับสนุนที่เหมาะสม เช่น ช่วยเตือนหรือจัดการเรื่องการดูแล
  • I64F11R-4: ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจและมั่นใจในแผนการรักษา
  • I64F11R-5: ทีมสุขภาพรายงานความร่วมมือและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในกระบวนการรักษา

 ...........................................................

อำภัย  อินดี