โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เกิดจากการหยุดชะงักของการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง ส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองขาดออกซิเจนและสารอาหาร อาจเกิดจากหลอดเลือดตีบตัน (Ischemic Stroke) ที่เกิดจากลิ่มเลือดอุดตันหรือหลอดเลือดตีบ หรือจากหลอดเลือดแตก (Hemorrhagic Stroke) ที่ทำให้เกิดเลือดออกในสมอง โดยทั้งสองกรณีจะส่งผลให้เซลล์สมองในบริเวณที่ได้รับผลกระทบเสียหาย ซึ่งสามารถนำไปสู่ความพิการถาวรหรือเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
- I64F1: บกพร่องในการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Impaired Gas
Exchange): เนื่องจากการขาดออกซิเจนในเนื้อเยื่อสมอง
- I64F2: บกพร่องในการเคลื่อนไหวร่างกาย (Impaired Physical
Mobility): ผลจากอัมพาตครึ่งซีก
- I64F3:
เสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Risk
for Deep Vein Thrombosis): เนื่องจากการนอนติดเตียง
- I64F4:
บกพร่องในการสื่อสาร (Impaired
Verbal Communication): ผลจากความเสียหายของศูนย์การพูด
- I64F5:
เสี่ยงต่อการสำลัก (Risk
for Aspiration): เนื่องจากการกลืนลำบาก
- I64F6: บกพร่องในการดูแลสุขภาพตนเอง (Ineffective
Self-Care): เนื่องจากอัมพาตหรืออ่อนแรง
- I64F7:
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการขาดการเคลื่อนไหว (Risk
for Complications from Immobility): เช่น แผลกดทับ
- I64F8: ความไม่เพียงพอในการจัดการสุขภาพ (Ineffective Health
Management): ขาดความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- I64F9: เสี่ยงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ (Risk for
Recurrence): หากไม่สามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง หรือระดับน้ำตาลในเลือด
- I64F10: เสี่ยงต่อการสูญเสียการสนับสนุนทางสังคม (Risk for Impaired Social Interaction): จากความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้าหลังเกิด Stroke
- I64F11: เสี่ยงต่อการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา (Risk for Non-Adherence to Treatment): เนื่องจากขาดความเข้าใจหรือการสนับสนุน
I64F1:
บกพร่องในการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Impaired Gas
Exchange)
1.
Assessment (การประเมิน)
S :
- ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจลำบาก รู้สึกแน่นหน้าอก
- อาการเหนื่อยง่ายขณะทำกิจกรรม
O:
- ระดับ SpO₂ ต่ำกว่า 90%
- การหายใจเร็ว (Respiratory Rate > 24 ครั้ง/นาที)
- ปากหรือปลายเล็บเขียว (Cyanosis)
- เสียงปอดผิดปกติ เช่น Crackles หรือ Rhonchi
- ค่า ABG แสดง PaO₂ ต่ำกว่า 60 mmHg และ PaCO₂ สูงกว่า 45 mmHg
2.
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีระดับ SpO₂ ≥ 92% ภายใน 6 ชั่วโมงแรก
- ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจสะดวกขึ้นและไม่มีอาการเหนื่อยล้า
- ผล ABG กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ผู้ป่วยไม่มีอาการแทรกซ้อน เช่น หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หรือภาวะไตขาดเลือด
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- SpO₂ ≥ 92% อย่างต่อเนื่อง
- ผู้ป่วยแสดงความสามารถในการทำกิจกรรมพื้นฐานได้โดยไม่เหนื่อยล้า
- เสียงปอดกลับมาเป็นปกติ ไม่มีเสียงผิดปกติ
- ค่า ABG อยู่ในเกณฑ์ปกติ
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F1I-1: ติดตามระดับ SpO₂ และสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะการแลกเปลี่ยนก๊าซ
- I64F1I-2: ให้ O₂ Therapy โดยใช้ Nasal Cannula หรือ Face Mask ตามคำสั่งแพทย์
- I64F1I-3: จัดท่าศีรษะสูง (High Fowler's Position) เพื่อเพิ่มการขยายตัวของปอด
- I64F1I-4: ฟังเสียงปอดทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจ
- I64F1I-5: ให้ยาขยายหลอดลม (Bronchodilators) ตามคำสั่งแพทย์เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ
- I64F1I-6: ให้ยาลดการอักเสบ (Corticosteroids) เพื่อลดการอักเสบของเนื้อเยื่อในปอด
- I64F1I-7: ส่งเสริมการไออย่างมีประสิทธิภาพและใช้เครื่องช่วยหายใจ (Incentive Spirometer) เพื่อกระตุ้นการระบายอากาศ
- I64F1I-8: ติดตามผล ABG และปรับการรักษาให้เหมาะสม
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F1R-1: SpO₂ คงที่ ≥ 92% อย่างต่อเนื่องภายใน 6 ชั่วโมงแรก
- I64F1R-2: ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจสะดวกขึ้นและอาการเหนื่อยลดลง
- I64F1R-3: เสียงปอดกลับมาเป็นปกติ ไม่มี Crackles หรือ Rhonchi
- I64F1R-4: ผล ABG กลับมาในเกณฑ์ปกติ (PaO₂ > 80 mmHg และ PaCO₂ 35-45 mmHg)
......................................................
I64F2 : บกพร่องในการเคลื่อนไหวร่างกาย (Impaired Physical
Mobility): ผลจากอัมพาตครึ่งซีก
1.
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่าไม่สามารถขยับแขนและขาข้างขวาได้ และรู้สึกหนักหรือชาในส่วนที่เป็นอัมพาต
- มีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน
O:
- ตรวจพบว่าแขนและขาข้างขวาของผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ (hemiparesis)
- กล้ามเนื้อลดแรงตึงตัว (muscle tone) และมีภาวะอ่อนแรง
- ระดับการทรงตัว (balance) ขณะนั่งหรือยืนลดลง
- ผลการประเมิน FIM (Functional Independence Measure): คะแนนต่ำในส่วนของการเคลื่อนไหวและการดูแลตัวเอง
2. Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถขยับแขนและขาข้างขวาในขอบเขตที่จำกัดด้วยตนเองได้ภายใน 7 วัน
- ผู้ป่วยสามารถนั่งทรงตัวบนเตียงได้โดยไม่ช่วยพยุงภายใน 3 วัน
- ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนย้ายตนเองจากเตียงไปยังเก้าอี้รถเข็นได้โดยมีผู้ช่วยเหลือขั้นต่ำภายใน 4 สัปดาห์
- ผู้ป่วยมีความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันได้ในระดับเหมาะสมตามขอบเขตของอาการ
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- ผู้ป่วยสามารถเพิ่มขอบเขตการเคลื่อนไหวของแขนและขาข้างที่อัมพาตได้ ≥ 20% เมื่อเทียบกับวันแรก
- คะแนน FIM ด้านการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น ≥ 2 คะแนนใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจในแผนการฟื้นฟูโดยการตอบรับในเชิงบวก
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F2I-1: ประเมินขอบเขตการเคลื่อนไหวและระดับกล้ามเนื้อ (ROM และ muscle strength) ทุกวัน
- I64F2I-2: จัดท่าทางผู้ป่วยเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ข้อติดหรือแผลกดทับ โดยใช้หมอนรองตำแหน่งที่เหมาะสม
- I64F2I-3: ส่งเสริมการทำกิจกรรมการฟื้นฟูกายภาพบำบัด เช่น การบริหารข้อต่อแบบ Passive และ Active-assisted ROM
- I64F2I-4: ใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือ เช่น อุปกรณ์พยุงการเคลื่อนไหว หรือหุ่นยนต์ฟื้นฟูการเดิน (Gait Training Device)
- I64F2I-5: สอนผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับการออกกำลังกายเบื้องต้นที่สามารถทำที่บ้านเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟู
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F2R-1: ผู้ป่วยสามารถเพิ่มการเคลื่อนไหวข้อต่อข้างที่อัมพาตได้ ≥ 20% หลัง 1 สัปดาห์
- I64F2R-2: ผู้ป่วยสามารถนั่งทรงตัวได้โดยไม่ต้องช่วยเหลือภายใน 3 วัน
- I64F2R-3: ญาติและผู้ดูแลแสดงความเข้าใจในการช่วยเหลือการออกกำลังกาย
- I64F2R-4: ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกพึงพอใจและมั่นใจในการฟื้นฟูตนเอง
..............................................
I64F3: เสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Risk for Deep Vein
Thrombosis - DVT): เนื่องจากการนอนติดเตียง
1.
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานความกังวลเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนจากการนอนติดเตียง
- ไม่มีอาการเจ็บหรือบวมในขณะนี้
O:
- ผู้ป่วยอยู่ในภาวะนอนติดเตียง > 48 ชั่วโมง
- ข้อต่อไม่มีการเคลื่อนไหวเพียงพอ (immobility)
- การประเมินหลอดเลือดดำไม่พบอาการบวมแดงหรือเจ็บ (ไม่มี Homan’s sign)
- ผลการวัดระดับเสี่ยงต่อ DVT ด้วยแบบประเมิน Well's Score: ระดับความเสี่ยงปานกลาง
2.
Goals (เป้าหมาย)
- ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด โดยส่งเสริมการเคลื่อนไหวข้อต่อภายใน 3 วัน
- ไม่มีอาการบวม แดง หรือเจ็บในบริเวณขา
- ผู้ป่วยมีการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกที่ปกติ โดยไม่มีการเกิด DVT ตลอดระยะเวลานอนติดเตียง
- ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดได้อย่างถูกต้อง
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- ผู้ป่วยไม่มีอาการบวม แดง หรือเจ็บในขาทั้งสองข้าง
- ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวข้อต่อได้ทุก 2 ชั่วโมง
- ผลการวัด Well’s Score แสดงค่าความเสี่ยงลดลงเป็นระดับต่ำ
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F3I-1: ประเมินสภาพการไหลเวียนโลหิตในหลอดเลือดดำทุก 12 ชั่วโมง เช่น อาการบวม แดง หรือเจ็บในขา
- I64F3I-2: กระตุ้นให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การขยับข้อต่อแบบ Active และ Passive ROM อย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
- I64F3I-3: จัดท่านอนโดยยกขาให้สูงขึ้นเล็กน้อย (elevation) เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด
- I64F3I-4: ใช้ถุงลมบีบขา (Sequential Compression Device: SCD) หรือถุงน่องลดความดัน (Compression Stockings) ตามคำแนะนำของแพทย์
- I64F3I-5: ให้คำแนะนำผู้ป่วยและผู้ดูแลเกี่ยวกับความสำคัญของการเปลี่ยนท่าและการออกกำลังกายเบา ๆ
- I64F3I-6: ประเมินความเสี่ยงร่วม เช่น การขาดน้ำ (dehydration) และส่งเสริมให้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
- I64F3I-7: ประสานแพทย์สำหรับการพิจารณาให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) หากมีความเสี่ยงสูง
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F3R-1: ผู้ป่วยไม่มีอาการบวม แดง หรือเจ็บบริเวณขา
- I64F3R-2: ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวข้อต่อได้อย่างเหมาะสมทุก 2 ชั่วโมง
- I64F3R-3: ผู้ป่วยรายงานความเข้าใจในมาตรการป้องกัน DVT และสามารถปฏิบัติตามได้
- I64F3R-4: การตรวจวัด Well’s Score แสดงระดับความเสี่ยงที่ลดลง
- I64F3R-5: ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจาก DVT ตลอดระยะเวลานอนติดเตียง
..........................................
I64F4
: บกพร่องในการสื่อสาร (Impaired Verbal
Communication): ผลจากความเสียหายของศูนย์การพูด
1.
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่าไม่สามารถพูดได้ชัดเจน หรือใช้คำพูดผิดพลาด
- ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกหงุดหงิดและวิตกกังวลเกี่ยวกับการสื่อสาร
O:
- ผู้ป่วยมีความยากลำบากในการแสดงคำพูด (expressive aphasia)
- การตอบสนองต่อคำสั่งด้วยการพยักหน้าหรือการเคลื่อนไหวแทนการพูด
- ผลการประเมินแบบ WAB (Western Aphasia Battery): คะแนนบ่งชี้ถึงความบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรง
2.
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีการสื่อสารทางเลือก เช่น ภาษากาย หรือแผนภาพ เพื่อสื่อความต้องการได้ภายใน 3 วัน
- ผู้ป่วยสามารถแสดงความเข้าใจในคำสั่งพื้นฐานได้ภายใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยสามารถสื่อสารความต้องการพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยคำพูดหรือวิธีการทางเลือกภายใน 4 สัปดาห์
- ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจในความสามารถในการสื่อสาร
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- ผู้ป่วยสามารถใช้เครื่องมือหรือวิธีการสื่อสารทางเลือกได้ ≥ 80% ของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
- ผู้ป่วยแสดงความเข้าใจต่อคำสั่งพื้นฐานอย่างถูกต้อง ≥ 90%
- การประเมินคะแนน WAB แสดงถึงการพัฒนาขึ้น ≥ 10% ภายใน 4 สัปดาห์
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F4I-1: ประเมินระดับความบกพร่องในการสื่อสาร โดยใช้เครื่องมือเฉพาะ เช่น WAB หรือ Boston Aphasia Assessment
- I64F4I-2: จัดหาเครื่องมือช่วยสื่อสาร เช่น กระดานคำศัพท์ ภาพสัญลักษณ์ หรืออุปกรณ์เทคโนโลยีช่วยพูด (Speech Generating Device)
- I64F4I-3: สอนผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับวิธีการใช้เครื่องมือสื่อสารทางเลือกอย่างมีประสิทธิภาพ
- I64F4I-4: ส่งเสริมการฝึกฝนการพูดด้วยการกระตุ้นให้ผู้ป่วยออกเสียงคำง่าย ๆ ซ้ำ ๆ
- I64F4I-5: ทำงานร่วมกับนักแก้ไขการพูด (Speech Therapist) เพื่อออกแบบแผนฟื้นฟูการสื่อสารเฉพาะบุคคล
- I64F4I-6: ให้กำลังใจผู้ป่วยเมื่อมีความพยายามในการสื่อสารเพื่อลดความวิตกกังวล
- I64F4I-7: ประสานแพทย์เพื่อประเมินทางระบบประสาทเพิ่มเติมหากพบความบกพร่องเพิ่มขึ้น
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F4R-1: ผู้ป่วยสามารถสื่อสารความต้องการพื้นฐานด้วยวิธีการทางเลือกได้ ≥ 80%
- I64F4R-2: ผู้ป่วยแสดงความเข้าใจต่อคำสั่งพื้นฐานได้ถูกต้อง ≥ 90%
- I64F4R-3: ผู้ป่วยและญาติมีความมั่นใจในการใช้เครื่องมือช่วยสื่อสาร
- I64F4R-4: คะแนนการประเมิน WAB เพิ่มขึ้น ≥ 10% ภายในระยะเวลาที่กำหนด
- I64F4R-5: ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจและลดความวิตกกังวลในการสื่อสาร
.........................................
I64F5
: เสี่ยงต่อการสำลัก (Risk for
Aspiration): เนื่องจากการกลืนลำบาก
1.
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกสำลักบ่อยครั้งระหว่างการรับประทานอาหาร
- รู้สึกกลืนอาหารและน้ำได้ยาก
O:
- ผู้ป่วยมีอาการไอระหว่างหรือหลังรับประทานอาหาร
- เสียงพูดเปลี่ยนแปลงหลังกลืน (wet voice)
- ผลการประเมินด้วย Modified Barium Swallow Test (MBST) พบว่ามีการกลืนผิดปกติ (Dysphagia) ระดับปานกลาง
2.
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารและน้ำโดยไม่สำลักภายใน 3 วัน
- ลดความเสี่ยงต่อการสำลักระหว่างการรับประทานอาหาร
- ผู้ป่วยมีการกลืนที่ปลอดภัยโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบจากการสำลัก (Aspiration Pneumonia)
- ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลเกี่ยวกับภาวะกลืนลำบากได้อย่างถูกต้อง
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- ผู้ป่วยไม่มีอาการสำลักหรือไอระหว่างรับประทานอาหารและน้ำ ≥ 90% ของมื้ออาหาร
- ไม่มีสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน เช่น ไข้หรืออาการบ่งบอกการติดเชื้อในปอด
- การประเมินด้วย MBST ครั้งต่อไปแสดงถึงการพัฒนาของความสามารถในการกลืน
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F5I-1: ประเมินลักษณะการกลืนของผู้ป่วยทุกมื้ออาหาร เช่น การสำลัก ไอ หรือการเปลี่ยนแปลงเสียงพูด
- I64F5I-2: ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารในท่านั่งตรง และอยู่ในท่านั้นต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาทีหลังรับประทานอาหาร
- I64F5I-3: ปรับลักษณะของอาหารและน้ำให้เหมาะสม เช่น ใช้อาหารอ่อนหรือของเหลวข้นตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักแก้ไขการกลืน
- I64F5I-4: สอนผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับเทคนิคการกลืนอย่างปลอดภัย เช่น Chin-tuck หรือ Double-swallow technique
- I64F5I-5: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารทีละคำในปริมาณน้อยเพื่อป้องกันการสำลัก
- I64F5I-6: สังเกตอาการและสัญญาณของภาวะปอดอักเสบจากการสำลัก เช่น ไข้ ไอ เสมหะผิดปกติ
- I64F5I-7: ประสานนักแก้ไขการพูด (Speech Therapist) เพื่อออกแบบแผนฟื้นฟูการกลืนเฉพาะบุคคล
- I64F5I-8: ประสานแพทย์เพื่อพิจารณาใช้วิธีการป้อนอาหารทางสายยางในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสำลัก
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F5R-1: ผู้ป่วยไม่มีอาการสำลักหรือไอระหว่างรับประทานอาหารและน้ำ
- I64F5R-2: ผู้ป่วยสามารถกลืนอาหารและน้ำได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
- I64F5R-3: ผู้ป่วยและผู้ดูแลปฏิบัติตามคำแนะนำได้อย่างเหมาะสม
- I64F5R-4: การประเมินด้วย MBST ครั้งต่อไปแสดงถึงการพัฒนาของกลไกการกลืน
- I64F5R-5: ไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบจากการสำลัก
.............................................
I64F6
: บกพร่องในการดูแลสุขภาพตนเอง (Ineffective
Self-Care): เนื่องจากอัมพาตหรืออ่อนแรง
1.
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่าไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ เช่น การล้างหน้า แต่งตัว หรือรับประทานอาหาร
- ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกหงุดหงิดหรือเศร้าหมองเกี่ยวกับการพึ่งพาผู้อื่น
O:
- ผู้ป่วยมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว เช่น ไม่สามารถใช้แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่ง
- การประเมิน Barthel Index พบว่าผู้ป่วยอยู่ในระดับพึ่งพาผู้อื่นปานกลางถึงรุนแรง
- ผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันทุกด้าน
2.
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพตนเอง เช่น การล้างหน้า หรือตักอาหารได้ภายใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยสามารถรับความช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันโดยไม่แสดงความเครียดหรือวิตกกังวล
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองในระดับที่เหมาะสมกับความสามารถภายใน 4 สัปดาห์
- ผู้ป่วยและญาติสามารถใช้เครื่องมือช่วยเหลือหรืออุปกรณ์เสริมในการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันบางส่วนได้ด้วยตนเอง ≥ 70%
- ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจและลดความเครียดในการพึ่งพาผู้อื่น
- คะแนน Barthel Index เพิ่มขึ้น ≥ 10 คะแนนภายใน 4 สัปดาห์
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F6I-1: ประเมินระดับความสามารถของผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวันโดยใช้ Barthel Index หรือ Katz Index
- I64F6I-2: ส่งเสริมการใช้ข้างร่างกายที่ยังคงแข็งแรงในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การใช้มือข้างที่แข็งแรงเพื่อจับช้อนหรือล้างหน้า
- I64F6I-3: จัดหาและแนะนำการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น ช้อนส้อมด้ามจับพิเศษ อุปกรณ์ช่วยแต่งตัว หรือรถเข็น
- I64F6I-4: ฝึกผู้ป่วยในทักษะการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เช่น การอาบน้ำหรือแต่งตัว โดยใช้เทคนิคแบบขั้นตอน
- I64F6I-5: สอนญาติและผู้ดูแลเกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเหมาะสมและการสนับสนุนให้ผู้ป่วยทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
- I64F6I-6: ส่งเสริมความมั่นใจและให้กำลังใจผู้ป่วยเมื่อสามารถทำกิจวัตรประจำวันบางส่วนได้ด้วยตนเอง
- I64F6I-7: ประสานกับทีมสหวิชาชีพ เช่น นักกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความคล่องตัว
- I64F6I-8: ประสานแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษาหรือฟื้นฟูเพิ่มเติมในกรณีที่ความอ่อนแรงไม่ดีขึ้น
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F6R-1: ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันบางส่วน เช่น การล้างหน้า หรือการรับประทานอาหาร ด้วยตนเองได้ ≥ 70%
- I64F6R-2: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจและลดความกังวลเกี่ยวกับการพึ่งพาผู้อื่น
- I64F6R-3: ญาติและผู้ดูแลสามารถช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
- I64F6R-4: คะแนน Barthel Index หรือ Katz Index ของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ≥ 10 คะแนน
- I64F6R-5: ผู้ป่วยสามารถใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือหรือเทคนิคที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม
.................................................
I64F7
: เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการขาดการเคลื่อนไหว (Risk for
Complications from Immobility): เช่น แผลกดทับ
1.
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่าไม่สามารถเปลี่ยนท่าทางได้ด้วยตนเอง
- มีความรู้สึกไม่สบายตัวจากการอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน
O:
- ผู้ป่วยนอนติดเตียงและมีการเคลื่อนไหวจำกัด
- ผิวหนังบริเวณปุ่มกระดูก เช่น สะโพกหรือส้นเท้า แสดงอาการแดงหรือเริ่มมีการกดทับ
- การประเมิน Norton Scale หรือ Braden Scale พบว่าผู้ป่วยมีคะแนน ≤ 14 ซึ่งอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง
2.
Goals (เป้าหมาย)
- ผิวหนังของผู้ป่วยไม่มีรอยแดงที่คงอยู่หรือสัญญาณของการเริ่มเป็นแผลกดทับภายใน 3 วัน
- ผู้ป่วยได้รับการเปลี่ยนท่าทางทุก 2 ชั่วโมงตามแผนการดูแล
- ผู้ป่วยไม่เกิดแผลกดทับหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ จากการขาดการเคลื่อนไหว
- ญาติหรือผู้ดูแลสามารถปฏิบัติการดูแลเพื่อป้องกันแผลกดทับได้อย่างเหมาะสม
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- ผิวหนังบริเวณที่มีแรงกดดันไม่มีรอยแดงหรือรอยแผล
- ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจและลดความไม่สบายตัวจากการเปลี่ยนท่าทาง
- คะแนน Norton Scale หรือ Braden Scale เพิ่มขึ้น ≥ 2 คะแนน
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F7I-1: ประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับด้วย Norton Scale หรือ Braden Scale ทุกวัน
- I64F7I-2: เปลี่ยนท่าทางผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อกระจายแรงกด
- I64F7I-3: ใช้ที่นอนลมแบบปรับแรงดัน หรือเบาะรองลดแรงกดในบริเวณปุ่มกระดูก
- I64F7I-4: ดูแลผิวหนังให้สะอาดและแห้ง พร้อมใช้ครีมหรือโลชั่นที่ช่วยลดแรงเสียดสี
- I64F7I5: ให้การนวดเบา ๆ บริเวณรอบปุ่มกระดูกเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีรอยแดง
- I64F7I-6: ส่งเสริมการทำกิจกรรมตามศักยภาพของผู้ป่วย เช่น การนั่งในเก้าอี้วิลแชร์หรือลุกขึ้นนั่งบนเตียงเป็นระยะ
- I64F7I-7: ให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับวิธีการป้องกันแผลกดทับ เช่น การเปลี่ยนท่าทางและดูแลผิวหนัง
- I64F7I-8: ประสานกับนักกายภาพบำบัดเพื่อช่วยออกแบบการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม
- I64F7I-9: แจ้งแพทย์ทันทีหากพบรอยแผลที่เริ่มมีการเปิดหรือสัญญาณการติดเชื้อ
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F7R-1: ผิวหนังของผู้ป่วยไม่มีรอยแดงที่คงอยู่หรือแผลกดทับ
- I64F7R-2: ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจจากการได้รับการดูแลและเปลี่ยนท่าทาง
- I64F7R-3: ผู้ป่วยหรือญาติสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันแผลกดทับได้อย่างเหมาะสม
- I64F7R-4: การประเมิน Norton Scale หรือ Braden Scale แสดงถึงการลดความเสี่ยงของแผลกดทับ
..................................................
I64F8
: ความไม่เพียงพอในการจัดการสุขภาพ (Ineffective Health
Management): ขาดความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
1.
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อน”
- ผู้ป่วยรายงานว่าไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับโรคและการดูแลตัวเอง
O:
- ผู้ป่วยไม่มีแผนการดูแลสุขภาพที่ชัดเจนหรือกิจวัตรที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- การประเมินความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะแทรกซ้อนพบว่าผู้ป่วยมีคะแนนความรู้ต่ำ (≤ 50% ในแบบประเมิน)
- ญาติหรือผู้ดูแลไม่มีความมั่นใจในการให้การดูแล
2.
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงวิธีการป้องกันภาวะแทรกซ้อนเบื้องต้นได้ภายใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยและญาติสามารถระบุสัญญาณเตือนของภาวะแทรกซ้อนที่ควรพบแพทย์ได้ภายใน 3 วัน
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้อย่างสม่ำเสมอ
- ญาติหรือผู้ดูแลสามารถให้การสนับสนุนการดูแลสุขภาพผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนและวิธีการป้องกันได้ ≥ 80%
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการดูแลสุขภาพ เช่น การรับประทานยา การเปลี่ยนท่าทาง หรือการดูแลผิวหนังได้ ≥ 70%
- ญาติหรือผู้ดูแลมีความมั่นใจ ≥ 80% ในการสนับสนุนผู้ป่วย
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F8I-1: ประเมินความรู้พื้นฐานของผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนและวิธีป้องกัน
- I64F8I-2: จัดโปรแกรมการสอนเฉพาะบุคคลหรือกลุ่มเกี่ยวกับวิธีการป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การเปลี่ยนท่าทาง การดูแลผิวหนัง และการรับประทานยา
- I64F8I-3: แจกเอกสารหรือสื่อการเรียนรู้ที่เข้าใจง่าย เช่น วิดีโอหรือคู่มือภาพประกอบ
- I64F8I-4: ฝึกปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เช่น การเปลี่ยนท่าทาง การตรวจผิวหนัง หรือการใช้เครื่องมือช่วยเหลือ พร้อมให้คำแนะนำ
- I64F8I-5: จัดการสนทนาเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติสอบถามข้อสงสัยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
- I64F8I-6: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยบันทึกกิจวัตรสุขภาพหรือสัญญาณเตือนที่พบ และรายงานให้ทีมสุขภาพทราบ
- I64F8I-7: ประสานกับทีมสหวิชาชีพ เช่น แพทย์ นักกายภาพบำบัด หรือนักโภชนาการ เพื่อช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติม
- I64F8I-8: ติดตามผลการเรียนรู้และการปฏิบัติจริงของผู้ป่วยและญาติ พร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติม
- I64F8I-9: ใช้เทคนิคการให้กำลังใจเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในความสามารถของผู้ป่วยและญาติ
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F8R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงวิธีการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและสัญญาณเตือนได้อย่างถูกต้อง
- I64F8R-2: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการดูแลสุขภาพได้ ≥ 70%
- I64F8R-3: ญาติหรือผู้ดูแลสามารถช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
- I64F8R-4: ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจและมั่นใจในการจัดการสุขภาพของตนเอง
- I64F8R-5: ผู้ป่วยไม่มีสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนจากการขาดการดูแลที่เหมาะสม
.................................................
I64F9
: เสี่ยงต่อการกลับมาเป็นซ้ำ (Risk for
Recurrence): หากไม่สามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง หรือระดับน้ำตาลในเลือด
1.
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องควบคุมความดันโลหิต” หรือ “บางครั้งลืมกินยาความดัน”
- ผู้ป่วยรู้สึกว่าการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเป็นเรื่องยาก
O:
- ระดับความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 mmHg ในการวัดซ้ำหลายครั้ง
- ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) สูงกว่า 126 mg/dL หรือ HbA1c ≥ 6.5%
- พบว่าผู้ป่วยไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น การลืมกินยา หรือการรับประทานอาหารที่มีเกลือและน้ำตาลสูง
2.
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงความสำคัญของการควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด ได้ภายใน 3 วัน
- ผู้ป่วยเริ่มปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น การรับประทานยาและการปรับพฤติกรรมสุขภาพ ได้ภายใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (≤ 130/80 mmHg) และระดับน้ำตาลในเลือด (FBS < 126 mg/dL) ได้ภายใน 3 เดือน
- ผู้ป่วยลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำด้วยการปฏิบัติตามแผนสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- ผู้ป่วยมีระดับความดันโลหิต ≤ 130/80 mmHg และ HbA1c < 7% อย่างต่อเนื่อง
- ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนสุขภาพ ≥ 80%
- ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ≥ 90%
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F9I-1: ประเมินระดับความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือด และพฤติกรรมสุขภาพ
- I64F9I-2: ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค ปัจจัยเสี่ยง และผลกระทบหากควบคุมปัจจัยเสี่ยงไม่ได้
- I64F9I-3: วางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม เช่น การลดปริมาณเกลือ น้ำตาล และไขมัน
- I64F9I-4: สอนวิธีการวัดความดันโลหิตและติดตามระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง พร้อมบันทึกผล
- I64F9I-5: ส่งเสริมการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น เดินเร็วหรือออกกำลังกายเบา ๆ 30 นาที/วัน
- I64F9I-6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการรับประทานยา เช่น ตั้งการเตือนความจำสำหรับเวลาทานยา
- I64F9I-7: ประสานงานกับแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา เช่น การปรับยาหรือการติดตามผลตรวจ
- I64F9I-8: ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการความเครียด เช่น เทคนิคการผ่อนคลายหรือการสนับสนุนจากครอบครัว
- I64F9I-9: ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติของผู้ป่วยเป็นระยะ พร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติม
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F9R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงความสำคัญของการควบคุมปัจจัยเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง
- I64F9R-2: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น การรับประทานยาและปรับพฤติกรรมสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง
- I64F9R-3: ระดับความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- I64F9R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถสังเกตและป้องกันปัจจัยเสี่ยงได้ด้วยตนเอง
- I64F9R-5: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจและความพึงพอใจในความสามารถของตนเองในการควบคุมโรค
…..................................................
I64F10
: เสี่ยงต่อการสูญเสียการสนับสนุนทางสังคม (Risk for Impaired
Social Interaction): จากความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้าหลังเกิด Stroke
1.
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ฉันไม่อยากเจอใคร” หรือ “ฉันรู้สึกเหมือนเป็นภาระของคนอื่น”
- ผู้ป่วยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวหรือเพื่อน
O:
- ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมสังคมและการสนทนากับผู้อื่น
- มีอาการที่สอดคล้องกับภาวะซึมเศร้า เช่น อารมณ์เศร้า นอนไม่หลับ หรือขาดพลังงาน
- ครอบครัวรายงานว่าผู้ป่วยมีพฤติกรรมแยกตัวหรือเงียบผิดปกติ
2.
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถระบุถึงความสำคัญของการสนับสนุนทางสังคมได้ภายใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยเริ่มแสดงพฤติกรรมที่เปิดรับการสนับสนุน เช่น การพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อน
- ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมอย่างสม่ำเสมอภายใน 3 เดือน
- ผู้ป่วยมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับครอบครัวและสังคมโดยรอบ
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมเชิงบวกในการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวหรือเพื่อน ≥ 70%
- ผู้ป่วยแสดงอารมณ์และความพึงพอใจในการมีส่วนร่วมทางสังคม ≥ 80%
- ครอบครัวหรือเพื่อนรายงานการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในพฤติกรรมของผู้ป่วย
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F10I-1: ประเมินระดับความวิตกกังวลและอาการซึมเศร้าของผู้ป่วยโดยใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น GAD-7 หรือ PHQ-9
- I64F10I-2: สร้างความไว้วางใจและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดถึงความรู้สึกและความต้องการ
- I64F10I-3: ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะซึมเศร้าหลัง Stroke และวิธีการสนับสนุน
- I64F10I-4: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เพิ่มความมั่นใจ เช่น การพูดคุยสั้น ๆ กับคนที่ใกล้ชิด
- I64F10I-5: สนับสนุนให้ครอบครัวสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและกระตุ้นให้ผู้ป่วยรู้สึกเป็นที่ยอมรับ
- I64F10I-6: แนะนำผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือการบำบัดกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Stroke
- I64F10I-7: ประสานงานกับนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยาเพื่อช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาซับซ้อน
- I64F10I-8: กระตุ้นการใช้เทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การฝึกสมาธิหรือการหายใจลึก ๆ เพื่อช่วยลดความวิตกกังวล
- I64F10I-9: ติดตามความก้าวหน้าในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ป่วยและปรับแผนการพยาบาลตามความเหมาะสม
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F10R-1: ผู้ป่วยสามารถระบุถึงความสำคัญของการสนับสนุนทางสังคมได้อย่างถูกต้อง
- I64F10R-2: ผู้ป่วยเริ่มเปิดรับและพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อน
- I64F10R-3: ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เช่น การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน
- I64F10R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวแสดงความพึงพอใจในความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
- I64F10R-5: ผู้ป่วยแสดงอารมณ์เชิงบวกและลดการแยกตัว
.....................................................
I64F11
: เสี่ยงต่อการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา (Risk for
Non-Adherence to Treatment): เนื่องจากขาดความเข้าใจหรือการสนับสนุน
1.
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องกินยานี้” หรือ “ฉันรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ”
- ครอบครัวกล่าวว่า “เราไม่รู้ว่าต้องช่วยผู้ป่วยอย่างไรในการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์”
O:
- ผู้ป่วยไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ เช่น การหยุดยาเอง การไม่มาโรงพยาบาลตามนัด
- มีสัญญาณของความไม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคหรือแผนการรักษา เช่น การตอบคำถามผิดพลาดเกี่ยวกับการใช้ยา
- ครอบครัวหรือผู้ดูแลไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการรักษา
2.
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายแผนการรักษาและวิธีปฏิบัติได้ถูกต้องภายใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยเริ่มปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างน้อย 80% ภายใน 2 สัปดาห์
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาได้อย่างต่อเนื่องและเป็นอิสระภายใน 3 เดือน
- ครอบครัวมีบทบาทสนับสนุนที่เหมาะสมในแผนการรักษาของผู้ป่วย
3.
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)
- ผู้ป่วยและครอบครัวตอบคำถามเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษาได้ ≥ 90%
- ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลตามนัดและปฏิบัติตามคำแนะนำ ≥ 95%
- ครอบครัวแสดงบทบาทสนับสนุน เช่น การช่วยเตรียมยา หรือกระตุ้นผู้ป่วยให้ปฏิบัติตามแผน
4.
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- I64F11I-1: ประเมินระดับความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษา
- I64F11I-2: ให้ข้อมูลและคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการรักษา โดยใช้ภาษาที่ง่ายและเหมาะสมกับระดับความเข้าใจ
- I64F11I-3: จัดทำเอกสารหรือวิดีโอสรุปวิธีปฏิบัติตามแผนการรักษาสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว
- I64F11I-4: แสดงวิธีการใช้ยา อุปกรณ์ หรือกระบวนการรักษาที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้ผู้ป่วยลองปฏิบัติจริง
- I64F11I-5: สนับสนุนให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแล เช่น การช่วยจัดยา การกระตุ้นให้ผู้ป่วยทำตามนัดหมาย
- I64F11I-6: ให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษา
- I64F11I-7: ประสานงานกับทีมสหวิชาชีพ เช่น เภสัชกร นักโภชนาการ หรือสังคมสงเคราะห์ เพื่อให้การสนับสนุนเพิ่มเติม
- I64F11I-8: สร้างแผนการติดตาม เช่น โทรศัพท์ติดตามผู้ป่วยเพื่อย้ำเตือนหรือให้คำปรึกษาเพิ่มเติม
- I64F11I.9: จัดทำระบบเตือนความจำ เช่น การใช้แอปพลิเคชันหรืออุปกรณ์เตือนสำหรับผู้ป่วยที่ลืมปฏิบัติตาม
5.
Response (การตอบสนอง)
- I64F11R-1: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายโรคและแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง
- I64F11R-2: ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น การใช้ยาตามคำสั่ง การมาตรวจตามนัดหมาย
- I64F11R-3: ครอบครัวมีบทบาทสนับสนุนที่เหมาะสม เช่น ช่วยเตือนหรือจัดการเรื่องการดูแล
- I64F11R-4: ผู้ป่วยแสดงความพึงพอใจและมั่นใจในแผนการรักษา
- I64F11R-5: ทีมสุขภาพรายงานความร่วมมือและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในกระบวนการรักษา
...........................................................
อำภัย อินดี