เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2568

EP. 25👉👉ตัวอย่าง : การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคปอด (Tuberculosis of lung) A15.0 - Tuberculosis of lung, confirmed bacteriologically

พยาธิสภาพของโรควัณโรคปอด

          วัณโรคปอดเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ซึ่งเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ เมื่อเชื้อเข้าสู่ปอด ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองโดยการสร้างปฏิกิริยาอักเสบ ส่งผลให้เกิดก้อนเนื้อ (granuloma) ที่ช่วยจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อ อย่างไรก็ตาม หากภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ เชื้ออาจเพิ่มจำนวน แพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อปอด และทำลายโครงสร้างของปอด ส่งผลให้เกิดอาการไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด และมีไข้ต่ำในช่วงบ่ายหรือกลางคืน

การรักษาโรควัณโรคปอด

          การรักษาวัณโรคปอดใช้ยาต้านวัณโรคตามแนวทางมาตรฐาน เช่น isoniazid, rifampin, pyrazinamide และ ethambutol โดยต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องและครบถ้วนตามแพทย์สั่งเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา การรักษาอาจใช้เวลานาน 6-9 เดือนขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและการตอบสนองต่อยา นอกจากนี้ การติดตามอาการข้างเคียงจากยา เช่น พิษต่อตับ หรือปัญหาทางสายตา เป็นสิ่งสำคัญ

บทบาทของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคปอด ได้แก่

  • การติดตามการรับประทานยา: เน้นให้ผู้ป่วยรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อดื้อยา
  • การเฝ้าระวังอาการข้างเคียง: ประเมินผลข้างเคียงของยา เช่น อาการคลื่นไส้ ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือการเปลี่ยนแปลงในการมองเห็น
  • การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ: แนะนำให้ผู้ป่วยปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม สวมหน้ากากอนามัย และอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี
  • การสนับสนุนด้านจิตใจและสังคม: ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค ลดความวิตกกังวล และเสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่อการรักษา โดยส่งเสริมให้ครอบครัวและชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย

วินิจฉัยการพยาบาล
  1. A15.0F1: บกพร่องในการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Impaired Gas Exchange)
  2. A15.0F2: เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค (Risk for Infection Transmission)
  3. A15.0F3: ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา (Nonadherence to Treatment)
  4. A15.0F4: เสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำของโรค (Risk for Disease Recurrence)
  5. A15.0F5: ภาวะโภชนาการไม่เพียงพอ (Imbalanced Nutrition: Less than Body Requirements)
  6. A15.0F6: วิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะโรคที่เป็นอยู่ (Anxiety Related to Current Illness)
  7. A15.0F7: เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนของโรค (Risk for Complications)
  8. A15.0F8: ความบกพร่องในการดูแลสุขภาพตนเอง (Ineffective Self-Care Management)
  9. A15.0F9: ความไม่เพียงพอในการจัดการสุขภาพ (Ineffective Health Management)
  10. A15.0F10: ความบกพร่องในการฟื้นตัว (Delayed Recovery)
  11. A15.0F11: ความบกพร่องในการสนับสนุนทางสังคม (Impaired Social Support)
(ตัวเลข F1, I-1, R-1 เป็นเพียงตัวเลขที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การจัดลำดับวินิจฉัยการพยาบาลเป็นไปอย่างมีระบบ อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม)
..........................................................................

A15.0F1: บกพร่องในการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Impaired Gas Exchange)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจลำบากและแน่นหน้าอก
  • มีอาการเหนื่อยง่ายขณะทำกิจกรรม
  • ระบุอาการไอเรื้อรังและมีเสมหะ

O:

  • SpO₂ ต่ำกว่า 90%
  • อัตราการหายใจเร็ว (> 20 ครั้ง/นาที)
  • มีอาการเขียวบริเวณริมฝีปากหรือปลายเล็บ
  • ฟังเสียงปอดพบเสียง crackles หรือ rhonchi
  • การวิเคราะห์แก๊สในเลือด (ABG) พบ PaO₂ ต่ำและ PaCO₂ สูง

Goals

  • ผู้ป่วยมีระดับ SpO₂ ≥ 92% ภายใน 24 ชั่วโมง
  • ลดความเหนื่อยล้าขณะหายใจ
  • การทำงานของระบบหายใจกลับมาใกล้เคียงปกติ
  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้โดยไม่เหนื่อยล้า
  • ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ

Evaluate Criteria

  • SpO₂ ≥ 92% อย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจโล่งขึ้นและไม่มีอาการเหนื่อยล้า
  • การฟังเสียงปอดไม่มีเสียงผิดปกติ
  • ผลการตรวจ ABG แสดงค่าที่กลับมาในเกณฑ์ปกติ

Intervention

  • A15.0F1I-1: ติดตามค่า SpO₂ อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินสถานะการแลกเปลี่ยนก๊าซ
  • A15.0F1I-2: ให้ O₂ therapy ตามคำสั่งแพทย์ เช่น nasal cannula หรือ mask
  • A15.0F1I-3: จัดท่าศีรษะสูง (High Fowler's Position) เพื่อเพิ่มการขยายตัวของปอด
  • A15.0F1I-4: ฟังเสียงปอดทุก 4 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง
  • A15.0F1I-5: ให้ยาขยายหลอดลม (Bronchodilators) ตามคำสั่งแพทย์
  • A15.0F1I-6: ให้ยาลดการอักเสบ (Corticosteroids) เพื่อลดการอักเสบของปอด
  • A15.0F1I-7: ให้ยาลดเสมหะ (Mucolytics) เพื่อช่วยลดการอุดตันในทางเดินหายใจ
  • A15.0F1I-8: สอนผู้ป่วยการไออย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Coughing Techniques)
  • A15.0F1I-9: ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ เช่น incentive spirometer
  • A15.0F1I-10: บันทึกอัตราการหายใจ SpO₂ และผล ABG อย่างต่อเนื่อง

Response

  • A15.0F1R-1: SpO₂ เพิ่มขึ้นถึงเป้าหมาย ≥ 92%
  • A15.0F1R-2: ผู้ป่วยรายงานว่าหายใจโล่งขึ้น
  • A15.0F1R-3: เสียงปอดดีขึ้น ไม่มีเสียงผิดปกติ
  • A15.0F1R-4: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้โดยไม่เหนื่อยล้า
  • A15.0F1R-5: ผลการตรวจ ABG กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ

..........................................................................
A15.0F2: เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคปอด (Risk for Infection Transmission)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยระบุว่ามีอาการไอเรื้อรังและเสมหะเหนียว
  • ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยและสุขอนามัยส่วนบุคคล

O:

  • ผู้ป่วยมีการไอที่มีเสมหะบ่อยครั้ง
  • ไม่มีการใช้หน้ากากอนามัยระหว่างการไอ
  • ผลการตรวจเสมหะพบเชื้อวัณโรค

Goals

  • ผู้ป่วยเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อภายใน 24 ชั่วโมง
  • ลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อให้คนรอบข้าง
  • ผู้ป่วยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้ออย่างต่อเนื่อง
  • ไม่มีการติดเชื้อวัณโรคในบุคคลใกล้ชิด

Evaluate Criteria

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายขั้นตอนการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างถูกต้อง
  • ผู้ป่วยใช้หน้ากากอนามัยและปฏิบัติตามสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด
  • ลดจำนวนผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ

Intervention

  • A15.0F2I-1: สอนผู้ป่วยใช้หน้ากากอนามัยขณะไอหรือจามเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
  • A15.0F2I-2: จัดเตรียมห้องแยกที่มีระบบระบายอากาศเพื่อลดการปนเปื้อนในอากาศ
  • A15.0F2I-3: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการกำจัดเสมหะอย่างถูกวิธี เช่น ทิ้งในภาชนะที่ปิดสนิท
  • A15.0F2I-4: ให้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคและวิธีลดความเสี่ยง
  • A15.0F2I-5: สนับสนุนให้ผู้ป่วยทำความสะอาดมือเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังไอหรือจาม
  • A15.0F2I-6: แจ้งญาติและผู้ดูแลเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
  • A15.0F2I-7: ติดตามการปฏิบัติตามมาตรการสุขอนามัยของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง
  • A15.0F2I-8: บันทึกพฤติกรรมการไอและการจัดการเสมหะของผู้ป่วย

Response

  • A15.0F2R-1: ผู้ป่วยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้ออย่างถูกต้อง
  • A15.0F2R-2: ผู้ป่วยใช้หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อมีการไอหรือจาม
  • A15.0F2R-3: ผู้ป่วยรายงานว่าเข้าใจและสามารถอธิบายวิธีลดความเสี่ยงได้
  • A15.0F2R-4: ไม่มีรายงานการติดเชื้อวัณโรคในบุคคลใกล้ชิด

..........................................................................

A15.0F3: ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา (Noncompliance)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่อยากรับประทานยาต้านวัณโรคเนื่องจากอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ และปวดท้อง
  • ผู้ป่วยไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างครบถ้วน

O:

  • ข้อมูลจากการตรวจพบว่าไม่พบการรับประทานยาตามกำหนด
  • ไม่มีการบันทึกการใช้ยาในบัตรประวัติผู้ป่วยที่สอดคล้องกับการรักษาที่กำหนด

Goals

  • ผู้ป่วยสามารถระบุและอธิบายความสำคัญของการรับประทานยาต้านวัณโรคได้ภายใน 24 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยรับประทานยาตามแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
  • ผู้ป่วยรับประทานยาต้านวัณโรคอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาในการรักษา
  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา

Evaluate Criteria

  • ผู้ป่วยรับประทานยาต้านวัณโรคตามคำแนะนำโดยไม่มีการข้ามข้ามข้ามยา
  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายความสำคัญและวิธีการใช้ยาต้านวัณโรคได้ถูกต้อง
  • ไม่มีรายงานผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานยาได้

Intervention

  • A15.0F3I-1: อธิบายความสำคัญของการรับประทานยาต้านวัณโรคตามคำแนะนำของแพทย์ให้ผู้ป่วยเข้าใจ
  • A15.0F3I-2: แจ้งให้ผู้ป่วยทราบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากหยุดการใช้ยาหรือไม่รับประทานยาตามแผน
  • A15.0F3I-3: ตรวจสอบและให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับอาการข้างเคียงของยา เช่น การรับประทานยาอาหารเสริมเพื่อลดอาการคลื่นไส้
  • A15.0F3I-4: จัดให้มีการสนทนากับผู้ป่วยเกี่ยวกับแผนการรักษาและการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
  • A15.0F3I-5: สนับสนุนให้ผู้ป่วยพัฒนาแนวทางการบันทึกเวลาในการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ
  • A15.0F3I-6: ติดตามผลการรับประทานยาของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ โดยบันทึกการใช้ยาในบัตรประวัติ
  • A15.0F3I-7: ตรวจสอบอาการข้างเคียงจากการใช้ยาและรายงานหากมีการขัดขวางการรับประทานยา

Response

  • A15.0F3R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายความสำคัญของการรับประทานยาต้านวัณโรคและวิธีการรับประทานยาได้ถูกต้อง
  • A15.0F3R-2: ผู้ป่วยรับประทานยาตามแผนการรักษาโดยไม่มีการข้ามข้ามข้ามยา
  • A15.0F3R-3: ผู้ป่วยรายงานว่าอาการข้างเคียงจากยาได้รับการบรรเทาและไม่รบกวนการรับประทานยา
  • A15.0F3R-4: ผู้ป่วยติดตามแผนการรักษาและมีการบันทึกการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ

..........................................................................

A15.0F4: เสี่ยงต่อการกำเริบของโรค (Risk for Recurrence)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าเคยหยุดรับประทานยาต้านวัณโรคบางช่วงเนื่องจากรู้สึกดีขึ้น
  • ผู้ป่วยรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

O:

  • ผลตรวจ X-ray พบความผิดปกติของปอดที่อาจแสดงถึงการติดเชื้อที่ไม่หายขาด
  • ผลการตรวจสารพันธุกรรมหรือแบคทีเรียวัณโรคยังคงเป็นบวกในบางกรณี

Goals

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายความเสี่ยงจากการหยุดการรักษาและยอมรับการรักษาต่อเนื่องภายใน 24 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยรับประทานยาตามแผนการรักษาต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดยา
  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาตามคำแนะนำจากแพทย์และไม่หยุดการรักษาโดยไม่ได้รับคำแนะนำ
  • ไม่มีการกำเริบของโรคหรือการติดเชื้อซ้ำหลังจากการรักษาครบถ้วน

Evaluate Criteria

  • ผู้ป่วยรับประทานยาต้านวัณโรคอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยาจนกว่าแพทย์จะสั่งให้หยุด
  • ผู้ป่วยเข้าใจถึงความสำคัญของการรักษาต่อเนื่องและสามารถอธิบายถึงการป้องกันการกำเริบของโรคได้
  • ผลการตรวจวินิจฉัย (เช่น X-ray, การตรวจเชื้อ) แสดงให้เห็นว่าไม่มีการติดเชื้อซ้ำ

Intervention

  • A15.0F4I-1: อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความเสี่ยงจากการหยุดยาหรือไม่ทำการรักษาต่อเนื่องโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  • A15.0F4I-2: แจ้งผู้ป่วยเกี่ยวกับอันตรายจากการติดเชื้อซ้ำหรือการกำเริบของโรคหากหยุดการรักษาโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  • A15.0F4I-3: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยได้รับการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานยาต่อเนื่องโดยไม่มีการข้ามข้ามยา
  • A15.0F4I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยสร้างกิจวัตรในการรับประทานยาต่อเนื่องตามคำแนะนำจากแพทย์
  • A15.0F4I-5: ให้คำแนะนำในการติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการทำการตรวจสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับวัณโรค
  • A15.0F4I-6: ติดตามผลการรักษาและการรับประทานยาของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องโดยการบันทึกข้อมูลการใช้ยาในบัตรประวัติ
  • A15.0F4I-7: ตรวจสอบผลการตรวจ X-ray และการตรวจแบคทีเรียวัณโรคเพื่อประเมินการรักษา

Response

  • A15.0F4R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงความเสี่ยงจากการหยุดการรักษาและยอมรับการรักษาต่อเนื่องอย่างเต็มที่
  • A15.0F4R-2: ผู้ป่วยรับประทานยาตามแผนการรักษาโดยไม่หยุดยา และไม่มีการข้ามข้ามข้ามยา
  • A15.0F4R-3: ผู้ป่วยเข้าใจถึงความสำคัญของการติดตามผลการรักษาและสามารถอธิบายการป้องกันการกำเริบของโรคได้
  • A15.0F4R-4: ผลการตรวจ X-ray และการตรวจเชื้อวัณโรคแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยไม่มีการกำเริบของโรคหรือการติดเชื้อซ้ำ

..........................................................................

A15.0F5: ภาวะโภชนาการไม่เพียงพอ (Imbalanced Nutrition: Less than Body Requirements)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่รู้สึกหิวและมีความยากลำบากในการรับประทานอาหาร
  • ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียมากกว่าปกติ

O:

  • น้ำหนักตัวลดลงจากปกติ
  • ผลการตรวจเลือดพบระดับโปรตีนและสารอาหารอื่นๆ ต่ำกว่าปกติ
  • ผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำและขาดแร่ธาตุบางชนิด
  • การตรวจร่างกายพบว่าผิวหนังแห้งและมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะการหายใจ

Goals

  • ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้มากขึ้นและมีการปรับปรุงพฤติกรรมการรับประทานภายใน 48 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยสามารถบอกข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญของการรับประทานอาหารในระหว่างการรักษา
  • น้ำหนักตัวของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นและค่าระดับสารอาหารในเลือดกลับสู่ระดับปกติ
  • ผู้ป่วยมีพลังงานที่เพียงพอในการดำเนินกิจกรรมประจำวันและลดอาการเหนื่อยล้า

Evaluate Criteria

  • ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้นและไม่ปฏิเสธอาหาร
  • ผลการตรวจเลือดแสดงระดับโปรตีนและสารอาหารอื่นๆ กลับคืนสู่ระดับปกติ
  • น้ำหนักตัวของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย
  • ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยล้าลดลงและสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ดีขึ้น

Intervention

  • A15.0F05I-1: ตรวจสอบและประเมินอาหารที่ผู้ป่วยรับประทาน โดยการปรับเปลี่ยนให้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น อาหารที่มีโปรตีนสูงและวิตามินที่จำเป็น
  • A15.0F5I-2: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังงานและโปรตีน เช่น อาหารที่มีไขมันดีและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
  • A15.0F5I-3: สอนผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการแบ่งมื้ออาหารเพื่อให้สามารถรับประทานได้ง่ายขึ้นและไม่รู้สึกอิ่มเกินไปในมื้อเดียว
  • A15.0F5I-4: เสนอการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสารอาหารทางหลอดเลือดถ้าจำเป็นเพื่อลดภาวะขาดสารอาหาร
  • A15.0F5I-5: จัดเตรียมอาหารที่มีรสชาติอร่อยและเหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วย เช่น อาหารอุ่นหรือขนมที่เหมาะสม
  • A15.0F5I-6: ตรวจสอบและบันทึกการรับประทานอาหารของผู้ป่วยทุกวัน รวมถึงการสังเกตอาการเบื่ออาหาร
  • A15.0F5I-7: ตรวจสอบผลการตรวจเลือดที่เกี่ยวข้องกับสารอาหารทุกสัปดาห์เพื่อประเมินการปรับปรุงภาวะโภชนาการ
  • A15.0F5I-8: ติดตามการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักตัวของผู้ป่วยทุกวัน

Response

  • A15.0F5R-1: ผู้ป่วยรับประทานอาหารมากขึ้นและมีการเพิ่มการบริโภคโปรตีนและพลังงานในแต่ละวัน
  • A15.0F5R-2: ผู้ป่วยมีการตอบสนองที่ดีต่อคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและสามารถเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการได้ดีขึ้น
  • A15.0F5R-3: ผลการตรวจเลือดแสดงให้เห็นระดับโปรตีนและสารอาหารในเลือดดีขึ้นจนถึงระดับปกติ
  • A15.0F5R-4: น้ำหนักตัวของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นและมีอาการเหนื่อยล้าลดลง
  • A15.0F5R-5: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ดีขึ้นและมีพลังงานเพียงพอตลอดวัน

..........................................................................

A15.0F6: วิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะโรคที่เป็นอยู่ (Anxiety related to current illness)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยรายงานรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการรักษาและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวัณโรค
  • ผู้ป่วยแสดงอาการซึมเศร้าและรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวและการกลับมาเจ็บป่วยซ้ำ

O:

  • การหายใจเร็วหรือเหนื่อยล้า
  • การพูดหรือแสดงออกทางร่างกายที่แสดงถึงความเครียด เช่น การกระตุกของกล้ามเนื้อหรือการหายใจถี่
  • การตอบสนองที่เฉื่อยชาเมื่อถามเกี่ยวกับการรักษาหรือการดูแลสุขภาพ
  • อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นหรือไม่ปกติ

Goals

  • ผู้ป่วยสามารถระบุความรู้สึกวิตกกังวลและแสดงทักษะในการรับมือกับความวิตกกังวลภายใน 24 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าใจเกี่ยวกับโรควัณโรคและกระบวนการรักษาได้อย่างชัดเจนและมั่นใจขึ้น
  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมความวิตกกังวลได้ดีขึ้นและแสดงพฤติกรรมที่สงบในสถานการณ์ที่มีความเครียด
  • ผู้ป่วยสามารถระบุสัญญาณของความวิตกกังวลและใช้กลยุทธ์ในการรับมือเพื่อเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยและควบคุมสถานการณ์ได้

Evaluate Criteria

  • ผู้ป่วยสามารถสื่อสารและแสดงออกเกี่ยวกับความวิตกกังวลได้ดีขึ้น
  • ผู้ป่วยมีการใช้กลยุทธ์ในการผ่อนคลายหรือบรรเทาความวิตกกังวลได้สำเร็จ
  • ผู้ป่วยมีการปรับพฤติกรรมเพื่อรับมือกับความวิตกกังวลที่ลดลง
  • ผู้ป่วยสามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับโรคและกระบวนการรักษาได้ดีขึ้น
  • อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจกลับสู่ภาวะปกติ

Intervention

  • A15.0F6I-1: สื่อสารกับผู้ป่วยเกี่ยวกับโรควัณโรคและการรักษาโดยให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย
  • A15.0F6I-2: ใช้เทคนิคการผ่อนคลายเช่น การฝึกหายใจลึกๆ หรือการสอนเทคนิคการนั่งสมาธิเพื่อบรรเทาความวิตกกังวล
  • A15.0F6I-3: จัดเตรียมสิ่งแวดล้อมที่สงบและสะดวกสบายสำหรับผู้ป่วย เช่น สถานที่เงียบสงบและมีแสงสว่างเหมาะสม
  • A15.0F6I-4: สังเกตอาการวิตกกังวลและใช้วิธีการปฏิบัติตามที่เหมาะสม เช่น การพยาบาลที่ใช้เสียงอ่อนโยนและท่าทางที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย
  • A15.0F6I-5: ใช้การสื่อสารแบบเปิดและไม่ตัดสินเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความวิตกกังวลและความกังวลที่มี
  • A15.0F6I-6: สร้างความไว้วางใจระหว่างผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่พยาบาลโดยการให้ความสนใจและให้การสนับสนุนในด้านอารมณ์
  • A15.0F6I-7: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับมือกับความวิตกกังวล เช่น การใช้เทคนิคการหายใจลึกๆ หรือการพูดคุยกับบุคคลที่สนับสนุน
  • A15.0F6I-8: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับกระบวนการรักษาวัณโรคเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจในการรับการรักษา

Response

  • A15.0F6R-1: ผู้ป่วยสามารถระบุและแสดงความรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและผลกระทบต่อสุขภาพได้อย่างชัดเจน
  • A15.0F6R-2: ผู้ป่วยแสดงความพยายามในการใช้กลยุทธ์ในการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ และการใช้ท่าทางสงบเพื่อบรรเทาความวิตกกังวล
  • A15.0F6R-3: ผู้ป่วยรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรควัณโรคและกระบวนการรักษาอย่างชัดเจนและสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการรักษาได้ดี
  • A15.0F6R-4: อาการวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลงและแสดงพฤติกรรมที่สงบและมั่นใจมากขึ้น
  • A15.0F6R-5: อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจกลับสู่ภาวะปกติและไม่มีอาการเครียดเพิ่มขึ้น

..........................................................................

A15.0F7: เสี่ยงต่อความซับซ้อนของโรค (Risk for Complications)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยรายงานอาการคลื่นไส้และเวียนศีรษะหลังจากการใช้ยาต้านวัณโรค
  • ผู้ป่วยอาจรายงานอาการเบื่ออาหาร หรือรู้สึกเหนื่อยง่าย
  • ผู้ป่วยอาจมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยา

O:

  • การตรวจพบระดับเอนไซม์ตับ (ALT, AST) ที่สูงขึ้น
  • การตรวจเลือดพบการเปลี่ยนแปลงในค่าของกรดยูริคหรือสัญญาณของการเสื่อมของระบบประสาท เช่น ความรู้สึกชา
  • อาการเหนื่อยง่ายและการขาดสมรรถภาพทางกาย
  • อาการผิดปกติในการรับรสหรือการมองเห็น (ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด)

Goals

  • ผู้ป่วยสามารถแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาได้ในระหว่างการดูแล
  • ผู้ป่วยสามารถรายงานอาการที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาต้านวัณโรคได้ตรงเวลา
  • ระดับเอนไซม์ตับ (ALT, AST) ในการตรวจเลือดจะกลับสู่ระดับปกติภายใน 3-5 วันหลังจากการหยุดยา
  • ผู้ป่วยสามารถทนต่อการใช้ยาต้านวัณโรคได้โดยไม่เกิดผลข้างเคียงร้ายแรง
  • ผู้ป่วยสามารถดำเนินการรักษาต่อเนื่องโดยไม่มีอาการของการเสื่อมสภาพจากการใช้ยา
  • ผู้ป่วยมีความเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง

Evaluate Criteria

  • การตรวจพบการเปลี่ยนแปลงในระดับเอนไซม์ตับ (ALT, AST) หรือค่าการตรวจเลือดที่กลับสู่ภาวะปกติ
  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายเกี่ยวกับการใช้ยาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
  • อาการผิดปกติจากยาหายไปภายในระยะเวลา 3-5 วัน
  • การไม่มีอาการของภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงจากการใช้ยาต้านวัณโรค

Intervention

  • A15.0F7I-1: ตรวจสอบค่าการทำงานของตับ เช่น ALT, AST และระดับกรดยูริคในเลือดเป็นประจำ เพื่อประเมินผลกระทบจากยาต้านวัณโรค
  • A15.0F7I-2: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากยาต้านวัณโรค และวิธีการสังเกตอาการผิดปกติ
  • A15.0F7I-3: ให้คำแนะนำในการติดตามอาการและแจ้งผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เช่น อาการเบื่ออาหาร หรืออาการซึมเศร้า
  • A15.0F7I-4: จัดให้มีการติดตามอาการทางร่างกายและการตรวจสอบระดับยาในเลือดเพื่อประเมินผลข้างเคียง
  • A15.0F7I-5: สังเกตผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบอาการผิดปกติของระบบประสาท เช่น ความรู้สึกชา หรือการเห็นภาพเบลอ
  • A15.0F7I-6: สอนผู้ป่วยวิธีการรับประทานยาอย่างถูกต้อง และแนะนำการรับประทานอาหารที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยา
  • A15.0F7I-7: ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่อมีผลข้างเคียงจากยา และกระตุ้นให้ผู้ป่วยติดต่อแพทย์ทันทีหากเกิดอาการที่ผิดปกติ

Response

  • A15.0F7R-1: ผู้ป่วยสามารถรายงานผลข้างเคียงจากยาได้อย่างชัดเจนและทันเวลา เช่น การเปลี่ยนแปลงในอาการท้องไส้หรืออาการเหนื่อยง่าย
  • A15.0F7R-2: ระดับเอนไซม์ตับ (ALT, AST) ลดลงหรือกลับสู่ภาวะปกติหลังจากการปรับการรักษา
  • A15.0F7R-3: ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาต้านวัณโรคได้ตามคำแนะนำ โดยไม่มีอาการข้างเคียงที่รุนแรงหรือทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ
  • A15.0F7R-4: อาการจากผลข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้ หรือเวียนศีรษะลดลงหลังจากการให้การดูแลตามที่แนะนำ
  • A15.0F7R-5: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีอาการซับซ้อนจากยา

..........................................................................

A15.0F8: ความบกพร่องในการดูแลสุขภาพตนเอง (Ineffective Self-Health Management)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยรายงานไม่เข้าใจวิธีการดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ไม่ครบถ้วน
  • ผู้ป่วยอาจบ่นเกี่ยวกับความยากลำบากในการจำวิธีการใช้ยาและการรักษาที่บ้าน
  • ผู้ป่วยอาจไม่มีความเข้าใจที่เพียงพอในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค

O:

  • ผู้ป่วยไม่สามารถแสดงการรับประทานยาตามแผนการรักษา เช่น การรับประทานยาต้านวัณโรคตามเวลาที่กำหนด
  • การสังเกตจากการสัมภาษณ์พบว่า ผู้ป่วยไม่ได้ใช้หน้ากากอนามัยหรือการป้องกันตัวอื่นๆ ในการลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อ
  • ผู้ป่วยขาดการติดตามอาการหรือการปฏิบัติตามแผนการรักษาที่บ้าน

Goals

  • ผู้ป่วยสามารถทบทวนและอธิบายวิธีการรับประทานยาอย่างถูกต้องภายใน 24 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยสามารถระบุวิธีการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค เช่น การใส่หน้ากากอนามัยและการระมัดระวังในการไอหรือจาม
  • ผู้ป่วยสามารถตั้งคำถามหรือขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเองได้
  • ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองได้ตามแผนการรักษาโดยไม่เกิดปัญหาด้านการรับประทานยา
  • ผู้ป่วยสามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคได้ตามแนวทางที่ได้เรียนรู้
  • ผู้ป่วยมีการติดตามผลการรักษาและสามารถปรับปรุงพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพตนเองได้ตามคำแนะนำ

Evaluate Criteria

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายการรับประทานยาอย่างถูกต้อง
  • ผู้ป่วยมีความเข้าใจในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค
  • ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลสุขภาพตนเอง เช่น การใช้ยาอย่างถูกต้องและการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
  • ผู้ป่วยมีการติดตามผลการรักษาเป็นประจำและไม่พบปัญหาด้านการดูแลสุขภาพตนเอง

Intervention

  • A15.0F8I-1: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างถูกต้อง เช่น เวลาและวิธีการรับประทานยาต้านวัณโรค
  • A15.0F8I-2: อธิบายวิธีการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค เช่น การใส่หน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไอ หรือการไอใส่ทิชชูและล้างมือบ่อยๆ
  • A15.0F8I-3: แนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับการจัดสภาพแวดล้อมในบ้านเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และการรักษาความสะอาดในที่พักอาศัย
  • A15.0F8I-4: ติดตามการรับประทานยาของผู้ป่วยทุกครั้งในการพบแพทย์ และส่งเสริมให้ผู้ป่วยบันทึกการรับประทานยาในแต่ละวัน
  • A15.0F8I-5: ตรวจสอบให้ผู้ป่วยมีการใช้หน้ากากอนามัยหรือมาตรการอื่นๆ ในการป้องกันการแพร่เชื้อในระหว่างการเยี่ยมบ้านหรือการสัมผัสกับผู้อื่น
  • A15.0F8I-6: ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการอ่านและเข้าใจใบแนะนำการรักษา รวมทั้งการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่แพทย์ให้มา
  • A15.0F8I-7: จัดให้มีการสัมมนา/การให้ข้อมูลทางสุขภาพแก่ผู้ป่วยเพื่อเพิ่มความรู้เกี่ยวกับการดูแลตัวเองและการป้องกันการแพร่เชื้อ

Response

  • A15.0F8R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายการรับประทานยาและวิธีการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ถูกต้อง
  • A15.0F8R-2: ผู้ป่วยสามารถบันทึกการรับประทานยาตามคำแนะนำได้อย่างต่อเนื่อง
  • A15.0F8R-3: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ เช่น การใช้หน้ากากอนามัยและการรักษาความสะอาด
  • A15.0F8R-4: ผู้ป่วยสามารถจัดการดูแลสุขภาพตนเองได้โดยไม่พบปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา
  • A15.0F8R-5: ผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพตนเองและสามารถทำตามคำแนะนำในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค

...................................................................

A15.0F9: ความไม่เพียงพอในการจัดการสุขภาพ (Ineffective Health Management)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังออกจากโรงพยาบาล
  • ผู้ป่วยกล่าวว่ามีความกังวลเกี่ยวกับการรักษาตัวเองที่บ้านและขาดทรัพยากรในการดูแล
  • ผู้ป่วยไม่แน่ใจว่าจะติดต่อใครเมื่อมีปัญหาหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจากออกจากโรงพยาบาล

O:

  • ผู้ป่วยไม่มีแผนการรักษาหรือคู่มือการดูแลที่ชัดเจนหลังจากออกจากโรงพยาบาล
  • การสัมภาษณ์พบว่าผู้ป่วยขาดข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งทรัพยากรภายนอกที่สามารถให้การช่วยเหลือในกรณีที่ต้องการการดูแลต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยไม่มีการจัดเตรียมยาหรืออุปกรณ์ในการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม

Goals

  • ผู้ป่วยสามารถแสดงความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังออกจากโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายแผนการรักษาและการดูแลที่บ้านตามคำแนะนำของทีมแพทย์
  • ผู้ป่วยสามารถบอกแหล่งทรัพยากรที่พร้อมให้ความช่วยเหลือหลังออกจากโรงพยาบาล
  • ผู้ป่วยสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างต่อเนื่องและไม่พบปัญหาในการรักษา
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการดูแลต่อเนื่องได้อย่างเหมาะสม
  • ผู้ป่วยสามารถใช้ข้อมูลและทรัพยากรในการป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพหลังออกจากโรงพยาบาล

Evaluate Criteria

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายแผนการรักษาหลังออกจากโรงพยาบาลได้ครบถ้วน
  • ผู้ป่วยสามารถบอกแหล่งทรัพยากรในการดูแลสุขภาพหลังออกจากโรงพยาบาล
  • ผู้ป่วยมีการจัดการกับการดูแลตัวเองหลังออกจากโรงพยาบาลได้อย่างต่อเนื่องและไม่พบปัญหาด้านการดูแลสุขภาพ
  • ผู้ป่วยสามารถขอความช่วยเหลือได้หากมีภาวะแทรกซ้อนหลังการรักษา

Intervention

  • A15.0F9I-1: อธิบายแผนการรักษาหลังออกจากโรงพยาบาลให้ผู้ป่วยเข้าใจ รวมถึงการใช้ยาและการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
  • A15.0F9I-2: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรที่สามารถใช้ในการดูแลสุขภาพต่อเนื่อง เช่น การติดต่อแพทย์ในกรณีฉุกเฉินหรือการหาคลินิกหรือบริการที่ใกล้เคียง
  • A15.0F9I-3: ให้คำแนะนำในการจัดการกับการรับประทานยาและการดูแลตัวเองที่บ้าน เช่น การเตรียมยาตามแผนการรักษา
  • A15.0F9I-4: ติดตามการปฏิบัติตามแผนการรักษาของผู้ป่วยผ่านการเยี่ยมบ้านหรือการติดตามการใช้ยาและการดูแลสุขภาพที่บ้าน
  • A15.0F9I-5: จัดการให้ผู้ป่วยสามารถติดต่อแหล่งทรัพยากรหรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้เมื่อจำเป็น
  • A15.0F9I-6: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการใช้บริการสุขภาพในชุมชนและทรัพยากรที่สามารถเข้าถึงได้เมื่อมีความต้องการ
  • A15.0F9I-7: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อแพทย์หรือพยาบาลในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพหลังออกจากโรงพยาบาล

Response

  • A15.0F9R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายแผนการรักษาหลังออกจากโรงพยาบาลได้อย่างถูกต้อง
  • A15.0F9R-2: ผู้ป่วยสามารถบอกแหล่งทรัพยากรที่สามารถให้ความช่วยเหลือในการดูแลต่อเนื่อง
  • A15.0F9R-3: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการดูแลตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
  • A15.0F9R-4: ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์หรือการช่วยเหลือจากทรัพยากรที่จัดเตรียมไว้ได้
  • A15.0F9R-5: ผู้ป่วยมีความเข้าใจในการติดต่อกับแพทย์หากมีภาวะแทรกซ้อนหรืออาการที่เปลี่ยนแปลงหลังออกจากโรงพยาบาล

..........................................................................

A15.0F10: ความบกพร่องในการฟื้นฟูสุขภาพ (Delayed Recovery)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่สามารถรับประทานยาได้ตามแผนเนื่องจากอาการข้างเคียงจากยา
  • ผู้ป่วยกล่าวว่าไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกในการติดตามผลการรักษา
  • ผู้ป่วยรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับผลการรักษาหลังจากหยุดยาหรือไม่ติดตามผล

O:

  • การติดตามผลการรักษาผู้ป่วยไม่สม่ำเสมอ
  • ผู้ป่วยไม่สามารถบอกได้ว่าได้รับยาหรือไม่
  • บันทึกการเยี่ยมติดตามผลพบว่าผู้ป่วยไม่เข้าเยี่ยมแพทย์ตามกำหนดหรือไม่ได้รับการประเมินผลจากทีมสุขภาพ

Goals

  • ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาได้ตามแผนที่กำหนดและไม่ขาดยา
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าเยี่ยมแพทย์ตามกำหนดหรือประเมินผลการรักษาได้ภายใน 2 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและติดตามผลการรักษาตามแผนการรักษา
  • ผู้ป่วยสามารถแสดงการฟื้นฟูสุขภาพที่ดีขึ้นจากการติดตามและการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ

Evaluate Criteria

  • ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาตามแผนการรักษาทุกครั้ง
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าเยี่ยมแพทย์หรือประเมินผลการรักษาตามกำหนด
  • ผู้ป่วยสามารถบอกได้ว่าได้รับการติดตามผลการรักษาหรือรับคำแนะนำจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยมีการฟื้นฟูสุขภาพดีขึ้นและไม่มีอาการแทรกซ้อนจากการรักษา

Intervention

  • A15.0F10I-1: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับความสำคัญของการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและตามแผนการรักษา
  • A15.0F10I-2: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการผลข้างเคียงจากยาและวิธีการลดความไม่สะดวกในการรับประทานยา
  • A15.0F10I-3: อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าการติดตามผลการรักษามีความสำคัญต่อการฟื้นฟูสุขภาพที่ดีขึ้นและการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน
  • A15.0F10I-4: ตรวจสอบความสม่ำเสมอในการรับประทานยาและการติดตามผลการรักษาผ่านการเยี่ยมบ้านหรือการติดต่อกับผู้ป่วย
  • A15.0F10I-5: จัดทำแผนการเยี่ยมผู้ป่วยหรือการติดตามผลการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการประเมินอย่างต่อเนื่อง
  • A15.0F10I-6: ให้ผู้ป่วยทราบถึงวิธีการเตรียมยาหรือใช้เครื่องมือในการรับประทานยาอย่างถูกต้องและสะดวก
  • A15.0F10I-7: ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการเข้ารับการตรวจผลหลังการรักษาและวิธีการติดต่อแพทย์หากมีปัญหาสุขภาพ

Response

  • A15.0F10R-1: ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและตามแผนการรักษา
  • A15.0F10R-2: ผู้ป่วยสามารถเข้าเยี่ยมแพทย์หรือประเมินผลการรักษาตามกำหนด
  • A15.0F10R-3: ผู้ป่วยสามารถบอกได้ว่าได้รับการติดตามผลการรักษาหรือได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  • A15.0F10R-4: ผู้ป่วยมีการฟื้นฟูสุขภาพที่ดีขึ้นจากการรับประทานยาและการติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง
  • A15.0F10R-5: ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจในการรับประทานยาและการติดตามผลเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ

..........................................................................

A15.0F11: ความบกพร่องในการสนับสนุนทางสังคม (Impaired Social Interaction)

Assessment

S:

  • ผู้ป่วยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการถูกตีตราเนื่องจากการติดเชื้อวัณโรค
  • ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกอายหรือไม่กล้าพบปะผู้คนหลังจากได้รับการวินิจฉัย
  • ผู้ป่วยกล่าวถึงการห่างเหินจากครอบครัวและเพื่อนฝูงเนื่องจากกลัวการแพร่เชื้อหรือการตัดสินจากสังคม

O:

  • การแยกตัวจากสังคมที่เห็นได้ชัด เช่น ไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมหรือการพบปะผู้คน
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมลดลง หรือผู้ป่วยมีท่าทางเงียบขรึมหรือไม่สนทนาเมื่อพบปะคนอื่น
  • ผู้ป่วยไม่ค่อยมีการติดต่อกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง

Goals

  • ผู้ป่วยสามารถแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับการตีตราและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อวัณโรคในระยะเวลา 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถกลับมามีการสนทนาและติดต่อกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงอย่างน้อยหนึ่งครั้งภายใน 2 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและมีความมั่นใจในการสื่อสารกับคนรอบข้างโดยไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลเกี่ยวกับการตีตราทางสังคม
  • ผู้ป่วยสามารถบำรุงรักษาความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนฝูงได้อย่างยั่งยืน

Evaluate Criteria

  • ผู้ป่วยสามารถแสดงการพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของตนเองในด้านการตีตราและความสัมพันธ์ทางสังคม
  • ผู้ป่วยสามารถติดต่อหรือพบปะครอบครัวหรือเพื่อนฝูงอย่างสม่ำเสมอ
  • การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของผู้ป่วยดีขึ้น ไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือแยกตัวจากกิจกรรมทางสังคม

Intervention

  • A15.0F11I-1: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการยอมรับและเข้าใจถึงการตีตราทางสังคมที่เกี่ยวกับวัณโรค
  • A15.0F11I-2: สร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัยและการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในชีวิตประจำวันเพื่อช่วยลดความกลัว
  • A15.0F11I-3: สนับสนุนให้ผู้ป่วยพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของตนเองและยอมรับความรู้สึกเหล่านั้น
  • A15.0F11I-4: ติดตามการเปลี่ยนแปลงในการติดต่อสื่อสารกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง
  • A15.0F11I-5: สังเกตการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม
  • A15.0F11I-6: ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยในการขอคำปรึกษาหรือเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับวัณโรค
  • A15.0F11I-7: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อและวิธีการสื่อสารกับคนรอบข้างอย่างเปิดเผยและมั่นใจ

Response

  • A15.0F11R-1: ผู้ป่วยสามารถแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับการตีตราและการปรับตัวเข้ากับสังคม
  • A15.0F11R-2: ผู้ป่วยสามารถกลับมามีการติดต่อหรือสนทนากับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง
  • A15.0F11R-3: ผู้ป่วยไม่หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและเข้าร่วมกิจกรรมที่เหมาะสม
  • A15.0F11R-4: ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการพูดคุยเกี่ยวกับการรักษาและสถานะสุขภาพของตนเอง
  • A15.0F11R-5: ผู้ป่วยสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลเกี่ยวกับการตีตราทางสังคมอีกต่อไป

..........................................................................