🧬 พยาธิสภาพ
- ภาวะสมองเสื่อมจากพาร์กินสัน เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวและความจำ
- พบมากในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
- พาร์กินสันเริ่มมาก่อน แล้วค่อยตามด้วยอาการหลงลืม
⚠️ อาการที่พบบ่อย
- ลืมง่าย พูดซ้ำ ถามซ้ำ
- เดินช้า ตัวสั่น หน้าตาเรียบเฉย
- สับสนเวลา หลงทางในที่คุ้นเคย
- เปลี่ยนอารมณ์ง่าย หงุดหงิดหรือซึมเศร้า
🔍 ปัจจัยเสี่ยง
- อายุที่มากขึ้น
- พันธุกรรม
- การทำงานของสมองผิดปกติจากโรคพาร์กินสัน
- ขาดการกระตุ้นสมอง เช่น ไม่ได้ทำกิจกรรมหรือเข้าสังคม
💊 การรักษา
- ใช้ยาเพื่อชะลออาการ เช่น ยากลุ่ม Levodopa
- ทำกายภาพบำบัด กระตุ้นความจำ
- พบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสม
🩺 การพยาบาล
- ดูแลให้ปลอดภัย ป้องกันหกล้ม
- พูดคุยช้าๆ ใช้ประโยคสั้นๆ
- กระตุ้นความจำด้วยภาพหรือกิจวัตรประจำวัน
- สังเกตอารมณ์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง
👪 การดูแลสำหรับบุคคลทั่วไป
- ใช้ความเข้าใจ ไม่โกรธเมื่อลืมหรือสับสน
- จัดบ้านให้เรียบง่าย เดินสะดวก
- ชวนทำกิจกรรมเบาๆ เช่น พูดคุย ร้องเพลง ต่อภาพ
- หมั่นพาไปพบแพทย์ และรับกำลังใจจากครอบครัว
……………………………………………………………………..
🧠💕 สมองเสื่อมจากพาร์กินสัน ไม่ใช่แค่ความจำเสื่อม
แต่คือการค่อยๆ หายไปของตัวตน
อย่ารอให้สาย… มาใส่ใจวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า
📌 แชร์ให้คนที่คุณรักรู้ก่อนจะพลาด!
#ภาวะสมองเสื่อม #พาร์กินสัน #พยาบาลแนะนำ #รู้ทันโรค
………………………………………………………………………………
✅ วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมจากโรคพาร์กินสัน
– F02.3
- F02.3F1 เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการเคลื่อนไหวไม่ประสานกัน เช่น หกล้ม เดินเซ (Risk for injury related to impaired mobility and uncoordinated movement such as falls and unsteady gait)
- F02.3F2 เสี่ยงต่อภาวะสำลักหรือหายใจลำบากจากการกลืนลำบาก(Risk for aspiration related to difficulty swallowing)
- F02.3F3 มีพฤติกรรมสับสน ไม่รู้เวลา สถานที่ หรือบุคคล(Acute confusion related to cognitive impairment and memory loss)
- F02.3F4 มีภาวะซึมเศร้า เศร้าหมอง ไม่พูด ไม่สนใจสิ่งรอบตัว(Depressed mood related to progressive loss of function and independence)
- F02.3F5 การสื่อสารบกพร่อง พูดไม่ชัด ฟังยาก เข้าใจผิด(Impaired verbal communication related to neurological decline and speech disturbance)
- F02.3F6 เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและน้ำ เนื่องจากกินได้น้อยหรือกินไม่ตรงเวลา(Risk for imbalanced nutrition and dehydration due to decreased oral intake or feeding difficulties)
- F02.3F7 มีปัญหาการนอนไม่หลับหรือนอนมากผิดปกติ(Disturbed sleep pattern related to neurological changes and altered daily rhythm)
- F02.3F8 การทำกิจวัตรประจำวันบกพร่อง ต้องพึ่งพาผู้อื่นในการอาบน้ำ แต่งตัว เดิน(Self-care deficit related to impaired motor function and cognitive decline)
- F02.3F9 ผู้ดูแลมีความเครียดสูง เหนื่อยล้า อาจเกิดภาวะหมดไฟ(Caregiver role strain related to continuous responsibility for dependent patient)
- F02.3F10 ขาดความรู้ในการดูแลตนเองหลังจำหน่าย เช่น การกินยา ป้องกันอุบัติเหตุ(Deficient knowledge related to self-care and home safety after discharge)
F02.3F1 เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการเคลื่อนไหวไม่ประสานกัน
เช่น หกล้ม เดินเซ
(Risk for injury related to impaired mobility and uncoordinated movement such
as falls and unsteady gait)
✅ Assessment (การประเมิน)
S:
- “รู้สึกเหมือนขาจะอ่อนแรง เดินไม่ค่อยมั่นคง”
- “บางครั้งเหมือนจะล้มเวลาลุกจากเก้าอี้”
O:
- เดินเซ ต้องพยุงหรือมีคนคอยช่วย
- ลุกจากเตียงหรือเก้าอี้ช้าและทรงตัวไม่ดี
- มีร่องรอยฟกช้ำที่เข่าหรือแขน
- ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น ไม้เท้า วอล์กเกอร์
- คะแนนประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้ม ≥ ระดับปานกลาง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยไม่หกล้มตลอดระยะเวลานอนโรงพยาบาล
- ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวในพื้นที่ปลอดภัย
- ผู้ดูแลสามารถช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและปลอดภัย
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ไม่มีเหตุการณ์หกล้มหรือบาดเจ็บเกิดขึ้น
- ผู้ป่วยเคลื่อนไหวด้วยอุปกรณ์ช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย
- สิ่งแวดล้อมได้รับการปรับให้ปลอดภัยเพียงพอ
- ผู้ดูแลสามารถแสดงวิธีช่วยพยุงผู้ป่วยได้ถูกต้อง
🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F02.3F1I-1: ประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มด้วยแบบประเมินมาตรฐาน (เช่น Morse Fall Scale)
- F02.3F1I-2: จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย เช่น เก็บของที่เกะกะ ปรับแสงสว่างให้พอเพียง
- F02.3F1I-3: แนะนำให้ใช้รองเท้าที่มีพื้นกันลื่นทุกครั้งเมื่อลุกเดิน
- F02.3F1I-4: ติดป้ายเตือน “เสี่ยงต่อการหกล้ม” ที่เตียง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ระวัง
- F02.3F1I-5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยแจ้งพยาบาลทุกครั้งก่อนลุกจากเตียงหรือเก้าอี้
- F02.3F1I-6: สอนและสาธิตให้ผู้ดูแลช่วยพยุงผู้ป่วยด้วยท่าทางที่ถูกต้อง
- F02.3F1I-7: ประสานงานนักกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการทรงตัวและการเดิน
- F02.3F1I-8: ให้ผู้ป่วยใช้ไม้เท้าหรือวอล์กเกอร์ที่เหมาะสมตามคำแนะนำ
- F02.3F1I-9: บันทึกอุบัติการณ์หรืออาการเสี่ยง เช่น เดินเซ ล้มเกือบล้ม ทุกครั้งที่พบ
- F02.3F1I-10: ประเมินผลการตอบสนองต่อแผนป้องกันการหกล้มอย่างต่อเนื่อง
🧾 Response (การตอบสนอง)
- F02.3F1R-1: ผู้ป่วยไม่หกล้มระหว่างเข้ารับการรักษา
- F02.3F1R-2: ผู้ป่วยสามารถเดินโดยใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย
- F02.3F1R-3: ไม่มีร่องรอยฟกช้ำหรือบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหว
- F02.3F1R-4: ผู้ดูแลสามารถช่วยพยุงผู้ป่วยอย่างถูกวิธี
- F02.3F1R-5: สิ่งแวดล้อมได้รับการปรับปรุงให้อยู่ในสภาพปลอดภัย
………………………………………………………………………………………….
F02.3F2 เสี่ยงต่อภาวะสำลักหรือหายใจลำบากจากการกลืนลำบาก
(Risk for aspiration related to difficulty swallowing)
✅ Assessment (การประเมิน)
S:
- “รู้สึกกลืนลำบาก กลืนแล้วเจ็บคอ”
- “กินน้ำแล้วสำลักบ่อยๆ”
O:
- ไอหรือสำลักระหว่างหรือหลังรับประทานอาหาร
- มีเสียงเสมหะในลำคอ หรือมีเสมหะขาวเหนียว
- น้ำหนักลด เหนื่อยง่ายหลังรับประทานอาหาร
- ผลประเมินการกลืนจากนักกิจกรรมบำบัด/นักแก้ไขการพูดอยู่ในระดับเสี่ยง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้โดยไม่สำลัก
- ไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบจากการสำลัก
- ได้รับสารอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยไม่มีอาการสำลักหรือไอขณะรับประทาน
- ไม่มีเสียงเสมหะในลำคอหลังรับประทาน
- น้ำหนักคงที่หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์
- ไม่มีสัญญาณของการติดเชื้อในปอด เช่น ไข้ ไอ เสมหะเปลี่ยนสี
🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F02.3F2I-1: ประเมินความสามารถในการกลืนโดยใช้แบบประเมินการกลืน (Swallowing Assessment Tool)
- F02.3F2I-2: จัดท่านั่งตรงศีรษะตั้งตรง 75–90 องศา ขณะรับประทานอาหาร
- F02.3F2I-3: แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารเนื้ออ่อน หรือบดละเอียด และเลี่ยงอาหารเหลวใส
- F02.3F2I-4: ให้รับประทานอาหารทีละคำ เคี้ยวช้า และกลืนก่อนคำถัดไป
- F02.3F2I-5: ดูแลให้มีผู้ดูแลเฝ้าขณะรับประทานอาหาร
- F02.3F2I-6: งดการพูดคุยหรือหัวเราะในระหว่างรับประทานอาหาร
- F02.3F2I-7: ประเมินสัญญาณสำลัก เช่น ไอ หายใจลำบาก เสียงเปลี่ยน
- F02.3F2I-8: ทำความสะอาดช่องปากหลังอาหารทุกมื้อ เพื่อป้องกันเชื้อเข้าสู่ปอด
- F02.3F2I-9: ประสานนักแก้ไขการพูดเพื่อฝึกกลืนอย่างปลอดภัย
- F02.3F2I-10: จัดเตียงให้ศีรษะสูงอย่างน้อย 30 องศา หลังรับประทานอาหาร 30 นาที
🧾 Response (การตอบสนอง)
- F02.3F2R-1: ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารโดยไม่สำลักหรือไอ
- F02.3F2R-2: น้ำหนักตัวคงที่ ไม่มีภาวะขาดสารอาหาร
- F02.3F2R-3: ไม่มีเสียงเสมหะหรือเสียงเปียกในลำคอหลังรับประทาน
- F02.3F2R-4: ไม่มีสัญญาณของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
- F02.3F2R-5: ผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการให้อาหารอย่างปลอดภัย
…………………………………………………………………………….
F02.3F3 มีพฤติกรรมสับสน
ไม่รู้เวลา สถานที่ หรือบุคคล
(Acute confusion related to cognitive impairment and memory loss)
✅ Assessment (การประเมิน)
S:
- “ไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไร”
- “ไม่จำได้ว่าอยู่ที่ไหน/คนนี้คือใคร”
O:
- ตอบคำถามผิดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่
- มีพฤติกรรมกระสับกระส่าย หลงลืม หรือพูดไม่รู้เรื่อง
- พลัดหลง หรือเดินไปผิดที่
- แสดงอาการหวาดระแวง/พูดกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถรับรู้เวลา สถานที่ หรือบุคคลได้มากขึ้น
- ลดพฤติกรรมสับสน กระสับกระส่าย หรือหวาดระแวง
- ป้องกันอันตรายจากการสับสน เช่น การเดินหลง
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถตอบคำถามเรื่องเวลา/สถานที่ถูกต้องมากขึ้น
- พฤติกรรมสงบลง ไม่มีภาวะก้าวร้าวหรือหวาดระแวง
- ไม่เกิดอุบัติเหตุหรือหลงทางจากการสับสน
🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F02.3F3I-1: ประเมินระดับความรู้สึกตัวและการรับรู้ด้วยแบบประเมิน เช่น MMSE หรือ GCS
- F02.3F3I-2: พูดกับผู้ป่วยอย่างช้าๆ ชัดเจน พร้อมแนะนำตนเองทุกครั้ง
- F02.3F3I-3: ติดป้ายชื่อผู้ป่วย ที่อยู่ วัน เดือน ปี และรูปภาพไว้บริเวณเตียงอย่างชัดเจน
- F02.3F3I-4: จัดสิ่งแวดล้อมให้มีแสงสว่างเพียงพอ และลดสิ่งรบกวนเสียงรอบข้าง
- F02.3F3I-5: เปิดนาฬิกาและปฏิทินให้เห็นชัดเจนในห้องพัก
- F02.3F3I-6: ให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่คุ้นเคยเป็นประจำเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอารมณ์
- F02.3F3I-7: ให้ญาติหรือบุคคลคุ้นเคยมาเยี่ยมหรือดูแล เพื่อเพิ่มความไว้วางใจ
- F02.3F3I-8: ติดตั้งระบบเตือนภัยหากผู้ป่วยเดินออกจากเตียงหรือออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต
- F02.3F3I-9: ประสานทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาลวิชาชีพ เพื่อประเมินอาการเพิ่มเติม
- F02.3F3I-10: เฝ้าระวังและบันทึกพฤติกรรมผิดปกติทุกวัน เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลง
🧾 Response (การตอบสนอง)
- F02.3F3R-1: ผู้ป่วยสามารถบอกชื่อ ตำแหน่ง หรือวันได้ถูกต้องบางส่วน
- F02.3F3R-2: พฤติกรรมสงบ ไม่มีอาการหวาดระแวงหรือพูดไม่รู้เรื่อง
- F02.3F3R-3: ไม่เกิดเหตุการณ์เดินหลงหรือพลัดหลง
- F02.3F3R-4: ญาติหรือผู้ดูแลสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- F02.3F3R-5: ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการทำกิจกรรมมากขึ้น
…………………………………………………………………………..
F02.3F4 มีภาวะซึมเศร้า
เศร้าหมอง ไม่พูด ไม่สนใจสิ่งรอบตัว
(Depressed mood related to progressive loss of function and independence)
✅ Assessment (การประเมิน)
S:
- “ไม่อยากทำอะไรเลย”
- “รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย”
- ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ไม่ตอบสนองต่อคำพูด
O:
- สีหน้าเศร้าหมอง ไม่สบตา
- นั่งนิ่ง/นอนเฉย ไม่พูดคุย
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- ไม่สนใจกิจกรรมที่เคยชอบ
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีอารมณ์แจ่มใสขึ้น
- ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
- มีความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมมากขึ้น
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น ยิ้มบ้าง
- สนใจเข้าร่วมกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
- พูดคุยโต้ตอบกับพยาบาลหรือครอบครัว
- ไม่มีพฤติกรรมเบื่ออาหารหรือถอนตัวออกจากสังคม
🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F02.3F4I-1: ประเมินระดับอารมณ์ ความเศร้า และความคิดทำร้ายตนเองเป็นประจำ
- F02.3F4I-2: พูดคุยเชิงบวกกับผู้ป่วย ใช้น้ำเสียงนุ่มนวล และฟังอย่างตั้งใจ
- F02.3F4I-3: จัดกิจกรรมง่ายๆ ที่ผู้ป่วยเคยชอบ เช่น ฟังเพลง ดูภาพถ่ายเก่า
- F02.3F4I-4: กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวัน เช่น อาบน้ำ รับประทานอาหาร
- F02.3F4I-5: ให้ครอบครัวมีส่วนร่วมพูดคุย และแสดงความรักความห่วงใย
- F02.3F4I-6: เฝ้าระวังภาวะเบื่ออาหารและติดตามน้ำหนักเป็นประจำ
- F02.3F4I-7: ส่งต่อจิตแพทย์หากมีแนวโน้มซึมเศร้ารุนแรงหรือมีความคิดฆ่าตัวตาย
- F02.3F4I-8: สนับสนุนให้ทำกิจกรรมกลุ่ม เช่น ศิลปะ ดนตรีเบาๆ ร่วมกับผู้อื่น
- F02.3F4I-9: ประเมินยาที่ได้รับว่ามีผลข้างเคียงต่ออารมณ์หรือไม่
- F02.3F4I-10: จัดสภาพแวดล้อมให้อบอุ่น ปลอดภัย และให้ความรู้สึกสงบ
🧾 Response (การตอบสนอง)
- F02.3F4R-1: ผู้ป่วยยิ้มและพูดคุยได้มากขึ้น
- F02.3F4R-2: เริ่มเข้าร่วมกิจกรรมหรือสนใจสิ่งรอบตัว
- F02.3F4R-3: ไม่มีพฤติกรรมเบื่ออาหารหรือแยกตัวจากสังคม
- F02.3F4R-4: ครอบครัวรายงานว่าผู้ป่วยมีอารมณ์ดีขึ้น
- F02.3F4R-5: ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันร่วมกับพยาบาลหรือครอบครัวได้
……………………………………………………………………………..
F02.3F5 การสื่อสารบกพร่อง
พูดไม่ชัด ฟังยาก เข้าใจผิด
(Impaired verbal communication related to neurological decline and speech
disturbance)
✅ Assessment (การประเมิน)
S:
- “พูดไม่ออก” หรือ “ไม่มีใครเข้าใจที่พูด”
- แสดงความหงุดหงิดเมื่อไม่สามารถสื่อสารได้
O:
- พูดช้า ไม่ชัด หรือไม่มีเสียง
- สับสนเมื่อมีการถามตอบ
- ใช้ท่าทางหรือใบหน้าแทนการพูด
- ตอบคำถามไม่ตรง หรือไม่ตอบเลย
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถสื่อสารความต้องการขั้นพื้นฐานได้
- ลดความหงุดหงิดจากการสื่อสารผิดพลาด
- ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากขึ้น
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยใช้ภาษาหรือท่าทางสื่อสารได้อย่างเข้าใจ
- มีการโต้ตอบกับพยาบาลหรือครอบครัวได้ดีขึ้น
- แสดงสีหน้าผ่อนคลายเมื่อสามารถสื่อสารได้
🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F02.3F5I-1: ประเมินความสามารถในการพูด ฟัง และเข้าใจคำพูดของผู้ป่วยทุกวัน
- F02.3F5I-2: ใช้น้ำเสียงช้า ชัดเจน และพูดประโยคสั้นๆ ง่ายๆ
- F02.3F5I-3: จัดสภาพแวดล้อมเงียบ ลดสิ่งรบกวนขณะสื่อสาร
- F02.3F5I-4: ใช้ภาพประกอบ การชี้นิ้ว หรือบัตรคำช่วยในการสื่อสาร
- F02.3F5I-5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยพยายามพูด แม้พูดได้เพียงบางคำ
- F02.3F5I-6: ให้เวลากับผู้ป่วยอย่างเพียงพอ ไม่เร่งรัดหรือขัดจังหวะ
- F02.3F5I-7: สังเกตท่าทางและภาษากายเพื่อเข้าใจความต้องการ
- F02.3F5I-8: ส่งต่อทีมสหวิชาชีพ เช่น นักแก้ไขการพูด หากจำเป็น
- F02.3F5I-9: สนับสนุนให้ครอบครัวเรียนรู้วิธีการสื่อสารที่เหมาะสม
- F02.3F5I-10: บันทึกความคืบหน้าในการสื่อสารไว้ทุกครั้ง
………………………………………………………………………………….
F02.3F6 เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและน้ำ
เนื่องจากกินได้น้อยหรือกินไม่ตรงเวลา
(Risk for imbalanced nutrition and dehydration due to decreased oral intake or
feeding difficulties)
✅ Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยมีอาการกลืนลำบากหรือกินได้ยาก
- ผู้ป่วยอาจไม่มีความสนใจในการทานอาหารหรือดื่มน้ำ
- มีประวัติการลดน้ำหนักหรือขาดอาหารในอดีต
O:
- สังเกตเห็นการกินอาหารไม่เพียงพอหรือไม่ครบมื้อ
- การกลืนอาหารมีความลำบาก หรือมีการสำลัก
- น้ำหนักลดลงหรือมีการขาดน้ำ
- อาการเบื่ออาหารหรือไม่อยากทานอาหารและน้ำ
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยได้รับสารอาหารและน้ำเพียงพอตามความต้องการ
- ผู้ป่วยไม่แสดงอาการขาดน้ำหรือสารอาหาร
- ส่งเสริมให้ผู้ป่วยกินอาหารและดื่มน้ำอย่างมีระเบียบ
- ป้องกันการสูญเสียน้ำหนักและเพิ่มความสนใจในการทานอาหาร
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- น้ำหนักผู้ป่วยคงที่หรือเพิ่มขึ้น
- ผู้ป่วยดื่มน้ำและทานอาหารครบมื้อ
- ไม่มีอาการขาดน้ำหรือขาดสารอาหาร เช่น ผิวแห้ง, ปัสสาวะเข้ม
- ผู้ป่วยตอบสนองต่อการทานอาหารและน้ำได้ดีขึ้น
🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F02.3F6I-1: ประเมินสถานะการรับประทานอาหารและน้ำทุกวัน
- F02.3F6I-2: แนะนำการทานอาหารที่มีความหลากหลายและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
- F02.3F6I-3: แนะนำให้ทานมื้อเล็กๆ หลายมื้อตลอดวัน เพื่อให้รับสารอาหารและน้ำเพียงพอ
- F02.3F6I-4: จัดเตรียมอาหารที่ง่ายต่อการกลืน เช่น อาหารบดหรือเหลว
- F02.3F6I-5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำทุก 1-2 ชั่วโมง
- F02.3F6I-6: ใช้เครื่องมือช่วยในการทานอาหาร เช่น แก้วน้ำหรือลูกช้อนที่ออกแบบพิเศษ
- F02.3F6I-7: เฝ้าระวังอาการสำลักและภาวะขาดน้ำ
- F02.3F6I-8: จัดให้มีพยาบาลช่วยในการป้อนอาหารหากจำเป็น
- F02.3F6I-9: ส่งต่อให้มีการพิจารณาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหรือการพูดและการกลืนหากจำเป็น
- F02.3F6I-10: สอนครอบครัวหรือผู้ดูแลเกี่ยวกับการดูแลอาหารและน้ำให้เพียงพอ
🧾 Response (การตอบสนอง)
- F02.3F6R-1: ผู้ป่วยสามารถทานอาหารและดื่มน้ำได้เพียงพอและไม่มีอาการสำลัก
- F02.3F6R-2: น้ำหนักผู้ป่วยไม่ลดลงหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- F02.3F6R-3: ผู้ป่วยแสดงความสนใจในการทานอาหารและน้ำมากขึ้น
- F02.3F6R-4: ไม่มีอาการขาดน้ำหรือภาวะขาดสารอาหาร เช่น ผิวไม่แห้ง ปัสสาวะสีอ่อน
- F02.3F6R-5: ผู้ป่วยรับประทานอาหารและน้ำได้ตามแผนการดูแลที่กำหนด
…………………………………………………………………………………
F02.3F7 มีปัญหาการนอนไม่หลับหรือนอนมากผิดปกติ
(Disturbed sleep pattern related to neurological changes and altered daily
rhythm)
✅ Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยนอนหลับยาก หรือมีการตื่นบ่อยในกลางคืน
- มีความรู้สึกเหนื่อยล้าหรือหงุดหงิดในตอนเช้า
- มีอาการนอนหลับในช่วงกลางวันเกินปกติ
- ประวัติการใช้ยาหรือยารักษาที่อาจมีผลข้างเคียงเกี่ยวกับการนอน
O:
- การนอนหลับของผู้ป่วยไม่สม่ำเสมอ หรือมีการตื่นบ่อย
- นอนหลับไม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน
- ผู้ป่วยอาจมีการนอนหลับเกิน 12 ชั่วโมงในช่วงกลางวัน
- มีอาการง่วงนอนหรือเหนื่อยล้าหลังตื่น
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยนอนหลับได้อย่างต่อเนื่องและเพียงพอในเวลากลางคืน
- การนอนหลับของผู้ป่วยเป็นปกติและมีคุณภาพ
- ผู้ป่วยตื่นขึ้นมารู้สึกสดชื่นและมีพลังงานเพียงพอตลอดวัน
- ลดอาการง่วงนอนในเวลากลางวันและเพิ่มพลังงานในช่วงเช้า
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยนอนหลับได้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงในเวลากลางคืน
- ไม่มีการตื่นในช่วงกลางคืนบ่อยเกินไป
- ผู้ป่วยรู้สึกสดชื่นและพักผ่อนเมื่อเช้า
- ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงการง่วงนอนในช่วงกลางวัน
🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F02.3F7I-1: ประเมินลักษณะการนอนหลับและปัญหาการตื่นในตอนกลางคืนของผู้ป่วย
- F02.3F7I-2: แนะนำให้มีเวลานอนที่เป็นระเบียบ โดยกำหนดเวลาเข้านอนและตื่นทุกวัน
- F02.3F7I-3: ลดการกระตุ้นหรือสิ่งที่อาจรบกวนการนอน เช่น แสงและเสียง
- F02.3F7I-4: ส่งเสริมการผ่อนคลายก่อนนอน เช่น การฟังเพลงเบาๆ หรือการทำสมาธิ
- F02.3F7I-5: สอนให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน
- F02.3F7I-6: กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น เช่น การเดินเล่นในตอนเย็น
- F02.3F7I-7: ประเมินและปรับยาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อการนอน เช่น ยานอนหลับหรือยาอื่นๆ ที่มีผลต่อระบบประสาท
- F02.3F7I-8: ใช้แสงธรรมชาติในตอนเช้าเพื่อช่วยปรับจังหวะการนอนหลับ-ตื่น
- F02.3F7I-9: แนะนำให้ผู้ป่วยมีที่นอนที่สะดวกสบายและเหมาะสมกับการพักผ่อน
🧾 Response (การตอบสนอง)
- F02.3F7R-1: ผู้ป่วยนอนหลับได้ต่อเนื่อง 6-8 ชั่วโมงในช่วงกลางคืน
- F02.3F7R-2: ผู้ป่วยตื่นขึ้นมารู้สึกสดชื่นและไม่รู้สึกง่วงในช่วงเช้า
- F02.3F7R-3: การนอนหลับมีความต่อเนื่องและไม่มีการตื่นบ่อยในตอนกลางคืน
- F02.3F7R-4: ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงการง่วงนอนในช่วงกลางวัน และมีพลังงานตลอดทั้งวัน
- F02.3F7R-5: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมการนอนที่ดีขึ้นตามแผนการดูแลที่กำหนด
…………………………………………………………………..
F02.3F8 การทำกิจวัตรประจำวันบกพร่อง
ต้องพึ่งพาผู้อื่นในการอาบน้ำ แต่งตัว เดิน
(Self-care deficit related to impaired motor function and cognitive decline)
✅ Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยมีความยากลำบากในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การอาบน้ำ การแต่งตัว การเดิน
- ผู้ป่วยต้องพึ่งพาผู้อื่นในการทำกิจวัตรประจำวัน
- มีอาการมือสั่น หรือการเคลื่อนไหวที่ช้า
- ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ เช่น การลืมวิธีการทำกิจวัตรที่เป็นประจำ
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกหงุดหงิดหรือวิตกกังวลเมื่อไม่สามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้เอง
O:
- การเคลื่อนไหวของผู้ป่วยช้าหรือไม่สามารถทำได้เต็มที่
- มีความบกพร่องในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ไม่สามารถอาบน้ำ แต่งตัว หรือเดินเองได้
- การเคลื่อนไหวอาจมีอาการแข็งเกร็งหรือการสั่น
- ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นในการทำกิจกรรมเหล่านี้
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันบางอย่างได้เองมากขึ้น เช่น การแต่งตัวหรือการอาบน้ำ
- ลดการพึ่งพาผู้อื่นในการทำกิจกรรมประจำวัน
- ส่งเสริมความมั่นใจในตัวเองของผู้ป่วยในการทำกิจกรรมประจำวัน
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมที่ต้องการความช่วยเหลือได้อย่างน้อย 1-2 รายการด้วยตัวเอง
- เพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรบางอย่างได้เอง เช่น การแต่งตัว หรือการล้างหน้า
- ลดการพึ่งพาผู้อื่นในการทำกิจกรรม เช่น การอาบน้ำ หรือการเดิน
- ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจในการทำกิจกรรม
- ความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น
🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F02.3F8I-1: ประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันและความต้องการความช่วยเหลือจากผู้ดูแล
- F02.3F8I-2: สอนทักษะในการช่วยเหลือตัวเองในระดับที่สามารถทำได้ เช่น การจับอุปกรณ์ช่วยเดิน หรือการใช้ที่ช่วยในการแต่งตัว
- F02.3F8I-3: แนะนำให้มีอุปกรณ์ช่วยในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ราวจับในห้องน้ำ หรือการใช้เครื่องช่วยเดิน
- F02.3F8I-4: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมด้วยตัวเองแม้ในขั้นตอนเล็กๆ เช่น การล้างหน้า หรือการเลือกเสื้อผ้า
- F02.3F8I-5: จัดการสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรได้เอง เช่น การวางเครื่องแต่งตัวในที่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย
- F02.3F8I-6: ใช้การฝึกฝนซ้ำๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง
- F02.3F8I-7: สนับสนุนให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าการทำกิจกรรมด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเสริมสร้างความมั่นใจ
- F02.3F8I-8: ประเมินผลลัพธ์จากการช่วยเหลือและปรับแผนการดูแลตามผลลัพธ์ที่ได้
🧾 Response (การตอบสนอง)
- F02.3F8R-1: ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรบางอย่างได้เอง เช่น การแต่งตัว หรือการล้างหน้า
- F02.3F8R-2: ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจและมีความพึงพอใจในการทำกิจกรรมประจำวัน
- F02.3F8R-3: ความพึ่งพาผู้อื่นในการทำกิจกรรมลดลง
- F02.3F8R-4: ผู้ป่วยแสดงท่าทางผ่อนคลายและมีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวมากขึ้น
- F02.3F8R-5: ผู้ป่วยสามารถพึ่งพาตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันบางประการได้
…………………………………………………………………………………………
F02.3F9 ผู้ดูแลมีความเครียดสูง
เหนื่อยล้า อาจเกิดภาวะหมดไฟ
(Caregiver role strain related to continuous responsibility for dependent
patient)
✅ Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ดูแลมีอาการเครียดหรือวิตกกังวลจากการดูแลผู้ป่วยตลอดเวลา
- ผู้ดูแลรู้สึกเหนื่อยล้าและขาดพลังในการดำเนินชีวิตประจำวัน
- ผู้ดูแลมีการนอนหลับไม่เพียงพอหรือมีปัญหาการนอน
- ผู้ดูแลรู้สึกว่าไม่สามารถทำกิจกรรมหรือสนใจสิ่งที่เคยทำได้
- มีการแสดงออกของความเครียดหรือภาวะหมดไฟ เช่น ความหงุดหงิด, หดหู่, หรือความรู้สึกผิด
O:
- ผู้ดูแลแสดงอาการเครียดจากภาระการดูแล เช่น ความวิตกกังวลหรือภาวะหมดไฟ
- การแสดงอารมณ์เหนื่อยล้าหรือไม่พอใจต่อการดูแล
- การเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมประจำวัน เช่น ไม่สามารถทำกิจกรรมที่เคยทำได้
- การแสดงออกของความเครียดหรือภาวะหมดไฟ เช่น การหลีกเลี่ยงการสนทนาหรือการขาดการมีส่วนร่วมในกิจกรรม
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ลดระดับความเครียดของผู้ดูแล
- สนับสนุนผู้ดูแลให้มีการดูแลตนเองเพื่อป้องกันภาวะหมดไฟ
- ส่งเสริมให้ผู้ดูแลสามารถจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้น
- ส่งเสริมให้ผู้ดูแลมีเวลาพักผ่อนและสนับสนุนจากครอบครัวหรือชุมชน
- สร้างความรู้สึกว่าผู้ดูแลสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ดูแลแสดงการลดระดับความเครียดและภาวะหมดไฟ
- ผู้ดูแลสามารถจัดสรรเวลาให้มีการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- ผู้ดูแลมีความรู้สึกที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการดูแลและความสามารถในการทำหน้าที่
- ผู้ดูแลมีการพูดถึงหรือแสดงออกถึงการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเมื่อจำเป็น
- การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการแสดงออกของความเครียดลดลง
🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F02.3F9I-1: ประเมินระดับความเครียดและภาวะหมดไฟของผู้ดูแลอย่างสม่ำเสมอ
- F02.3F9I-2: ส่งเสริมให้ผู้ดูแลเรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียด เช่น การฝึกการหายใจลึกๆ หรือการฝึกสมาธิ
- F02.3F9I-3: แนะนำให้ผู้ดูแลได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวหรือกลุ่มช่วยเหลือผู้ดูแล
- F02.3F9I-4: จัดเวลาให้ผู้ดูแลมีเวลาพักผ่อนหรือทำกิจกรรมที่สนุกสนานเพื่อฟื้นฟูพลัง
- F02.3F9I-5: ส่งเสริมให้ผู้ดูแลหาข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลตนเองและการป้องกันภาวะหมดไฟ
- F02.3F9I-6: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการหาความช่วยเหลือจากบริการสนับสนุนสำหรับผู้ดูแล
- F02.3F9I-7: สอนให้ผู้ดูแลรู้จักสังเกตและรับมือกับอาการเครียดหรือภาวะหมดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- F02.3F9I-8: ส่งเสริมการพัฒนาทักษะในการขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเมื่อมีความจำเป็น
🧾 Response (การตอบสนอง)
- F02.3F9R-1: ผู้ดูแลมีความเครียดลดลงและรู้สึกว่ามีการสนับสนุนมากขึ้น
- F02.3F9R-2: ผู้ดูแลมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นและสามารถทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้
- F02.3F9R-3: ผู้ดูแลมีความมั่นใจในการจัดการกับภาระการดูแลและภาวะเครียด
- F02.3F9R-4: ผู้ดูแลเริ่มขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือผู้สนับสนุนอื่นๆ
- F02.3F9R-5: ผู้ดูแลแสดงท่าทางที่ผ่อนคลายและมีความสุขกับการดูแลผู้ป่วย
…………………………………………………………………………………..
F02.3F10 ขาดความรู้ในการดูแลตนเองหลังจำหน่าย
เช่น การกินยา ป้องกันอุบัติเหตุ
(Deficient knowledge related to self-care and home safety after discharge)
✅ Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลไม่เข้าใจวิธีการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล
- ผู้ป่วยมักจะลืมกินยาตามเวลาที่กำหนด
- ผู้ดูแลไม่ทราบวิธีการป้องกันอุบัติเหตุที่บ้าน เช่น การลื่นล้ม
- ผู้ป่วยมีความสับสนเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเอง เช่น การทานอาหารหรือการเดิน
- ผู้ป่วยไม่มีความรู้ในการปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยหลังจากจำหน่าย
O:
- การใช้ยาผิดวิธีหรือลืมกินยา
- การดูแลความปลอดภัยในบ้านไม่เพียงพอ เช่น พื้นลื่นหรืออุปกรณ์ช่วยเดินไม่เหมาะสม
- ผู้ป่วยและผู้ดูแลไม่สามารถอธิบายวิธีการดูแลหลังจำหน่ายได้ถูกต้อง
- ผู้ดูแลไม่สามารถป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้านได้
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถอธิบายวิธีการกินยาและการดูแลตนเองหลังจำหน่ายได้ถูกต้อง
- ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ดูแลสามารถให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่างมั่นใจ
- ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถทำการปรับบ้านให้ปลอดภัยตามคำแนะนำได้
- ผู้ป่วยสามารถทานยาตามที่แพทย์แนะนำและติดตามการรักษาได้ดี
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถบอกขั้นตอนการกินยาและดูแลตนเองได้ถูกต้อง
- ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถอธิบายวิธีการป้องกันอุบัติเหตุที่บ้านได้
- การติดตามการใช้ยาเป็นไปตามแผนการรักษา
- ผู้ดูแลสามารถจัดการบ้านเพื่อให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุได้
- ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในระดับสูงเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังจำหน่าย
🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F02.3F10I-1: สอนผู้ป่วยและผู้ดูแลเกี่ยวกับการใช้ยาให้ถูกต้องและตามเวลาที่กำหนด
- F02.3F10I-2: อธิบายเกี่ยวกับการปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย เช่น การใช้พื้นกันลื่นและติดตั้งราวจับในห้องน้ำ
- F02.3F10I-3: สอนผู้ป่วยและผู้ดูแลเกี่ยวกับวิธีการป้องกันอุบัติเหตุที่บ้าน เช่น การดูแลอุปกรณ์ช่วยเดิน
- F02.3F10I-4: จัดทำคู่มือการดูแลตนเองหลังจำหน่าย รวมถึงการใช้ยาและการดูแลบ้านที่ปลอดภัย
- F02.3F10I-5: ตรวจสอบและยืนยันว่า ผู้ป่วยและผู้ดูแลเข้าใจคำแนะนำทั้งหมดเกี่ยวกับการกินยาและการดูแลตนเอง
- F02.3F10I-6: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีส่วนร่วมในการวางแผนการดูแลที่บ้านเพื่อให้ปลอดภัยและสะดวกสบาย
🔄 Response (การตอบสนอง)
- F02.3F10R-1: ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถอธิบายการใช้ยาและวิธีการดูแลตัวเองหลังจำหน่ายได้
- F02.3F10R-2: ผู้ดูแลสามารถปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ
- F02.3F10R-3: ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนการป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างถูกต้อง
- F02.3F10R-4: ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในระดับสูงเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล
- F02.3F10R-5: การติดตามการใช้ยาและการรักษาเป็นไปตามแผนที่กำหนด
…………………………………………………………………
เอกสารอ้างอิง (References)
- กระทรวงสาธารณสุข. (2557). แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน. กรมการแพทย์, กระทรวงสาธารณสุข.
- วิทยาลัยพยาบาลราชบุรี. (2561). คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน. ราชบุรี: วิทยาลัยพยาบาลราชบุรี.
- Aarsland, D., & Brønnick, K. (2011). The Epidemiology of Parkinson's Disease. Current Opinion in Neurology, 24(4), 292-297. https://doi.org/10.1097/WCO.0b013e328348eb57
- Watts, S. (2014). Parkinson's Disease: A Guide for Caregivers. Johns Hopkins University Press. ISBN: 978-1421414209
……………………………………………………………………