เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568

EP.68 จิตเวชหัวข้อ 28 : โรคภาวะสมองเสื่อมจากโรคพาร์กินสัน (Dementia in Parkinson’s Disease) - F02.3

 

🎥 รู้ทัน! ภาวะสมองเสื่อมจากพาร์กินสัน – F02.3
อย่าปล่อยให้คนที่คุณรัก “ลืมตัวเอง” ไปทีละนิด 🧠💔

🧬 พยาธิสภาพ

  • ภาวะสมองเสื่อมจากพาร์กินสัน เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวและความจำ
  • พบมากในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • พาร์กินสันเริ่มมาก่อน แล้วค่อยตามด้วยอาการหลงลืม

⚠️ อาการที่พบบ่อย

  • ลืมง่าย พูดซ้ำ ถามซ้ำ
  • เดินช้า ตัวสั่น หน้าตาเรียบเฉย
  • สับสนเวลา หลงทางในที่คุ้นเคย
  • เปลี่ยนอารมณ์ง่าย หงุดหงิดหรือซึมเศร้า

🔍 ปัจจัยเสี่ยง

  • อายุที่มากขึ้น
  • พันธุกรรม
  • การทำงานของสมองผิดปกติจากโรคพาร์กินสัน
  • ขาดการกระตุ้นสมอง เช่น ไม่ได้ทำกิจกรรมหรือเข้าสังคม

💊 การรักษา

  • ใช้ยาเพื่อชะลออาการ เช่น ยากลุ่ม Levodopa
  • ทำกายภาพบำบัด กระตุ้นความจำ
  • พบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสม

🩺 การพยาบาล

  • ดูแลให้ปลอดภัย ป้องกันหกล้ม
  • พูดคุยช้าๆ ใช้ประโยคสั้นๆ
  • กระตุ้นความจำด้วยภาพหรือกิจวัตรประจำวัน
  • สังเกตอารมณ์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง

👪 การดูแลสำหรับบุคคลทั่วไป

  • ใช้ความเข้าใจ ไม่โกรธเมื่อลืมหรือสับสน
  • จัดบ้านให้เรียบง่าย เดินสะดวก
  • ชวนทำกิจกรรมเบาๆ เช่น พูดคุย ร้องเพลง ต่อภาพ
  • หมั่นพาไปพบแพทย์ และรับกำลังใจจากครอบครัว

……………………………………………………………………..

🧠💕 สมองเสื่อมจากพาร์กินสัน ไม่ใช่แค่ความจำเสื่อม แต่คือการค่อยๆ หายไปของตัวตน
อย่ารอให้สาย… มาใส่ใจวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

📌 แชร์ให้คนที่คุณรักรู้ก่อนจะพลาด!
#ภาวะสมองเสื่อม #พาร์กินสัน #พยาบาลแนะนำ #รู้ทันโรค

………………………………………………………………………………

วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมจากโรคพาร์กินสัน – F02.3

  1. F02.3F1 เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการเคลื่อนไหวไม่ประสานกัน เช่น หกล้ม เดินเซ (Risk for injury related to impaired mobility and uncoordinated movement such as falls and unsteady gait)
  2. F02.3F2 เสี่ยงต่อภาวะสำลักหรือหายใจลำบากจากการกลืนลำบาก(Risk for aspiration related to difficulty swallowing)
  3. F02.3F3 มีพฤติกรรมสับสน ไม่รู้เวลา สถานที่ หรือบุคคล(Acute confusion related to cognitive impairment and memory loss)
  4. F02.3F4 มีภาวะซึมเศร้า เศร้าหมอง ไม่พูด ไม่สนใจสิ่งรอบตัว(Depressed mood related to progressive loss of function and independence)
  5. F02.3F5 การสื่อสารบกพร่อง พูดไม่ชัด ฟังยาก เข้าใจผิด(Impaired verbal communication related to neurological decline and speech disturbance)
  6. F02.3F6 เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและน้ำ เนื่องจากกินได้น้อยหรือกินไม่ตรงเวลา(Risk for imbalanced nutrition and dehydration due to decreased oral intake or feeding difficulties)
  7. F02.3F7 มีปัญหาการนอนไม่หลับหรือนอนมากผิดปกติ(Disturbed sleep pattern related to neurological changes and altered daily rhythm)
  8. F02.3F8 การทำกิจวัตรประจำวันบกพร่อง ต้องพึ่งพาผู้อื่นในการอาบน้ำ แต่งตัว เดิน(Self-care deficit related to impaired motor function and cognitive decline)
  9. F02.3F9 ผู้ดูแลมีความเครียดสูง เหนื่อยล้า อาจเกิดภาวะหมดไฟ(Caregiver role strain related to continuous responsibility for dependent patient)
  10. F02.3F10 ขาดความรู้ในการดูแลตนเองหลังจำหน่าย เช่น การกินยา ป้องกันอุบัติเหตุ(Deficient knowledge related to self-care and home safety after discharge)

 …………………………………………………………………………..

F02.3F1 เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการเคลื่อนไหวไม่ประสานกัน เช่น หกล้ม เดินเซ
(Risk for injury related to impaired mobility and uncoordinated movement such as falls and unsteady gait)

✅ Assessment (การประเมิน)

S:

  • รู้สึกเหมือนขาจะอ่อนแรง เดินไม่ค่อยมั่นคง”
  • บางครั้งเหมือนจะล้มเวลาลุกจากเก้าอี้”

O:

  • เดินเซ ต้องพยุงหรือมีคนคอยช่วย
  • ลุกจากเตียงหรือเก้าอี้ช้าและทรงตัวไม่ดี
  • มีร่องรอยฟกช้ำที่เข่าหรือแขน
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น ไม้เท้า วอล์กเกอร์
  • คะแนนประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้ม ≥ ระดับปานกลาง

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยไม่หกล้มตลอดระยะเวลานอนโรงพยาบาล
  • ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวในพื้นที่ปลอดภัย
  • ผู้ดูแลสามารถช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและปลอดภัย

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ไม่มีเหตุการณ์หกล้มหรือบาดเจ็บเกิดขึ้น
  • ผู้ป่วยเคลื่อนไหวด้วยอุปกรณ์ช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย
  • สิ่งแวดล้อมได้รับการปรับให้ปลอดภัยเพียงพอ
  • ผู้ดูแลสามารถแสดงวิธีช่วยพยุงผู้ป่วยได้ถูกต้อง

🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F02.3F1I-1: ประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มด้วยแบบประเมินมาตรฐาน (เช่น Morse Fall Scale)
  • F02.3F1I-2: จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย เช่น เก็บของที่เกะกะ ปรับแสงสว่างให้พอเพียง
  • F02.3F1I-3: แนะนำให้ใช้รองเท้าที่มีพื้นกันลื่นทุกครั้งเมื่อลุกเดิน
  • F02.3F1I-4: ติดป้ายเตือน “เสี่ยงต่อการหกล้ม” ที่เตียง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ระวัง
  • F02.3F1I-5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยแจ้งพยาบาลทุกครั้งก่อนลุกจากเตียงหรือเก้าอี้
  • F02.3F1I-6: สอนและสาธิตให้ผู้ดูแลช่วยพยุงผู้ป่วยด้วยท่าทางที่ถูกต้อง
  • F02.3F1I-7: ประสานงานนักกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการทรงตัวและการเดิน
  • F02.3F1I-8: ให้ผู้ป่วยใช้ไม้เท้าหรือวอล์กเกอร์ที่เหมาะสมตามคำแนะนำ
  • F02.3F1I-9: บันทึกอุบัติการณ์หรืออาการเสี่ยง เช่น เดินเซ ล้มเกือบล้ม ทุกครั้งที่พบ
  • F02.3F1I-10: ประเมินผลการตอบสนองต่อแผนป้องกันการหกล้มอย่างต่อเนื่อง

🧾 Response (การตอบสนอง)

  • F02.3F1R-1: ผู้ป่วยไม่หกล้มระหว่างเข้ารับการรักษา
  • F02.3F1R-2: ผู้ป่วยสามารถเดินโดยใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย
  • F02.3F1R-3: ไม่มีร่องรอยฟกช้ำหรือบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหว
  • F02.3F1R-4: ผู้ดูแลสามารถช่วยพยุงผู้ป่วยอย่างถูกวิธี
  • F02.3F1R-5: สิ่งแวดล้อมได้รับการปรับปรุงให้อยู่ในสภาพปลอดภัย

………………………………………………………………………………………….

F02.3F2 เสี่ยงต่อภาวะสำลักหรือหายใจลำบากจากการกลืนลำบาก
(Risk for aspiration related to difficulty swallowing)

✅ Assessment (การประเมิน)

S:

  • รู้สึกกลืนลำบาก กลืนแล้วเจ็บคอ”
  • กินน้ำแล้วสำลักบ่อยๆ”

O:

  • ไอหรือสำลักระหว่างหรือหลังรับประทานอาหาร
  • มีเสียงเสมหะในลำคอ หรือมีเสมหะขาวเหนียว
  • น้ำหนักลด เหนื่อยง่ายหลังรับประทานอาหาร
  • ผลประเมินการกลืนจากนักกิจกรรมบำบัด/นักแก้ไขการพูดอยู่ในระดับเสี่ยง

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้โดยไม่สำลัก
  • ไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบจากการสำลัก
  • ได้รับสารอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไม่มีอาการสำลักหรือไอขณะรับประทาน
  • ไม่มีเสียงเสมหะในลำคอหลังรับประทาน
  • น้ำหนักคงที่หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์
  • ไม่มีสัญญาณของการติดเชื้อในปอด เช่น ไข้ ไอ เสมหะเปลี่ยนสี

🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F02.3F2I-1: ประเมินความสามารถในการกลืนโดยใช้แบบประเมินการกลืน (Swallowing Assessment Tool)
  • F02.3F2I-2: จัดท่านั่งตรงศีรษะตั้งตรง 75–90 องศา ขณะรับประทานอาหาร
  • F02.3F2I-3: แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารเนื้ออ่อน หรือบดละเอียด และเลี่ยงอาหารเหลวใส
  • F02.3F2I-4: ให้รับประทานอาหารทีละคำ เคี้ยวช้า และกลืนก่อนคำถัดไป
  • F02.3F2I-5: ดูแลให้มีผู้ดูแลเฝ้าขณะรับประทานอาหาร
  • F02.3F2I-6: งดการพูดคุยหรือหัวเราะในระหว่างรับประทานอาหาร
  • F02.3F2I-7: ประเมินสัญญาณสำลัก เช่น ไอ หายใจลำบาก เสียงเปลี่ยน
  • F02.3F2I-8: ทำความสะอาดช่องปากหลังอาหารทุกมื้อ เพื่อป้องกันเชื้อเข้าสู่ปอด
  • F02.3F2I-9: ประสานนักแก้ไขการพูดเพื่อฝึกกลืนอย่างปลอดภัย
  • F02.3F2I-10: จัดเตียงให้ศีรษะสูงอย่างน้อย 30 องศา หลังรับประทานอาหาร 30 นาที

🧾 Response (การตอบสนอง)

  • F02.3F2R-1: ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารโดยไม่สำลักหรือไอ
  • F02.3F2R-2: น้ำหนักตัวคงที่ ไม่มีภาวะขาดสารอาหาร
  • F02.3F2R-3: ไม่มีเสียงเสมหะหรือเสียงเปียกในลำคอหลังรับประทาน
  • F02.3F2R-4: ไม่มีสัญญาณของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
  • F02.3F2R-5: ผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการให้อาหารอย่างปลอดภัย

…………………………………………………………………………….

F02.3F3 มีพฤติกรรมสับสน ไม่รู้เวลา สถานที่ หรือบุคคล
(Acute confusion related to cognitive impairment and memory loss)

✅ Assessment (การประเมิน)

S:

  • ไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไร”
  • ไม่จำได้ว่าอยู่ที่ไหน/คนนี้คือใคร”

O:

  • ตอบคำถามผิดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่
  • มีพฤติกรรมกระสับกระส่าย หลงลืม หรือพูดไม่รู้เรื่อง
  • พลัดหลง หรือเดินไปผิดที่
  • แสดงอาการหวาดระแวง/พูดกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถรับรู้เวลา สถานที่ หรือบุคคลได้มากขึ้น
  • ลดพฤติกรรมสับสน กระสับกระส่าย หรือหวาดระแวง
  • ป้องกันอันตรายจากการสับสน เช่น การเดินหลง

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถตอบคำถามเรื่องเวลา/สถานที่ถูกต้องมากขึ้น
  • พฤติกรรมสงบลง ไม่มีภาวะก้าวร้าวหรือหวาดระแวง
  • ไม่เกิดอุบัติเหตุหรือหลงทางจากการสับสน

🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F02.3F3I-1: ประเมินระดับความรู้สึกตัวและการรับรู้ด้วยแบบประเมิน เช่น MMSE หรือ GCS
  • F02.3F3I-2: พูดกับผู้ป่วยอย่างช้าๆ ชัดเจน พร้อมแนะนำตนเองทุกครั้ง
  • F02.3F3I-3: ติดป้ายชื่อผู้ป่วย ที่อยู่ วัน เดือน ปี และรูปภาพไว้บริเวณเตียงอย่างชัดเจน
  • F02.3F3I-4: จัดสิ่งแวดล้อมให้มีแสงสว่างเพียงพอ และลดสิ่งรบกวนเสียงรอบข้าง
  • F02.3F3I-5: เปิดนาฬิกาและปฏิทินให้เห็นชัดเจนในห้องพัก
  • F02.3F3I-6: ให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่คุ้นเคยเป็นประจำเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอารมณ์
  • F02.3F3I-7: ให้ญาติหรือบุคคลคุ้นเคยมาเยี่ยมหรือดูแล เพื่อเพิ่มความไว้วางใจ
  • F02.3F3I-8: ติดตั้งระบบเตือนภัยหากผู้ป่วยเดินออกจากเตียงหรือออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • F02.3F3I-9: ประสานทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาลวิชาชีพ เพื่อประเมินอาการเพิ่มเติม
  • F02.3F3I-10: เฝ้าระวังและบันทึกพฤติกรรมผิดปกติทุกวัน เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลง

🧾 Response (การตอบสนอง)

  • F02.3F3R-1: ผู้ป่วยสามารถบอกชื่อ ตำแหน่ง หรือวันได้ถูกต้องบางส่วน
  • F02.3F3R-2: พฤติกรรมสงบ ไม่มีอาการหวาดระแวงหรือพูดไม่รู้เรื่อง
  • F02.3F3R-3: ไม่เกิดเหตุการณ์เดินหลงหรือพลัดหลง
  • F02.3F3R-4: ญาติหรือผู้ดูแลสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • F02.3F3R-5: ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการทำกิจกรรมมากขึ้น

…………………………………………………………………………..

F02.3F4 มีภาวะซึมเศร้า เศร้าหมอง ไม่พูด ไม่สนใจสิ่งรอบตัว
(Depressed mood related to progressive loss of function and independence)

✅ Assessment (การประเมิน)

S:

  • ไม่อยากทำอะไรเลย”
  • รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย”
  • ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ไม่ตอบสนองต่อคำพูด

O:

  • สีหน้าเศร้าหมอง ไม่สบตา
  • นั่งนิ่ง/นอนเฉย ไม่พูดคุย
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • ไม่สนใจกิจกรรมที่เคยชอบ

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยมีอารมณ์แจ่มใสขึ้น
  • ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
  • มีความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมมากขึ้น

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น ยิ้มบ้าง
  • สนใจเข้าร่วมกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
  • พูดคุยโต้ตอบกับพยาบาลหรือครอบครัว
  • ไม่มีพฤติกรรมเบื่ออาหารหรือถอนตัวออกจากสังคม

🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F02.3F4I-1: ประเมินระดับอารมณ์ ความเศร้า และความคิดทำร้ายตนเองเป็นประจำ
  • F02.3F4I-2: พูดคุยเชิงบวกกับผู้ป่วย ใช้น้ำเสียงนุ่มนวล และฟังอย่างตั้งใจ
  • F02.3F4I-3: จัดกิจกรรมง่ายๆ ที่ผู้ป่วยเคยชอบ เช่น ฟังเพลง ดูภาพถ่ายเก่า
  • F02.3F4I-4: กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวัน เช่น อาบน้ำ รับประทานอาหาร
  • F02.3F4I-5: ให้ครอบครัวมีส่วนร่วมพูดคุย และแสดงความรักความห่วงใย
  • F02.3F4I-6: เฝ้าระวังภาวะเบื่ออาหารและติดตามน้ำหนักเป็นประจำ
  • F02.3F4I-7: ส่งต่อจิตแพทย์หากมีแนวโน้มซึมเศร้ารุนแรงหรือมีความคิดฆ่าตัวตาย
  • F02.3F4I-8: สนับสนุนให้ทำกิจกรรมกลุ่ม เช่น ศิลปะ ดนตรีเบาๆ ร่วมกับผู้อื่น
  • F02.3F4I-9: ประเมินยาที่ได้รับว่ามีผลข้างเคียงต่ออารมณ์หรือไม่
  • F02.3F4I-10: จัดสภาพแวดล้อมให้อบอุ่น ปลอดภัย และให้ความรู้สึกสงบ

🧾 Response (การตอบสนอง)

  • F02.3F4R-1: ผู้ป่วยยิ้มและพูดคุยได้มากขึ้น
  • F02.3F4R-2: เริ่มเข้าร่วมกิจกรรมหรือสนใจสิ่งรอบตัว
  • F02.3F4R-3: ไม่มีพฤติกรรมเบื่ออาหารหรือแยกตัวจากสังคม
  • F02.3F4R-4: ครอบครัวรายงานว่าผู้ป่วยมีอารมณ์ดีขึ้น
  • F02.3F4R-5: ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันร่วมกับพยาบาลหรือครอบครัวได้

……………………………………………………………………………..

F02.3F5 การสื่อสารบกพร่อง พูดไม่ชัด ฟังยาก เข้าใจผิด
(Impaired verbal communication related to neurological decline and speech disturbance)

✅ Assessment (การประเมิน)

S:

  • พูดไม่ออก” หรือ “ไม่มีใครเข้าใจที่พูด”
  • แสดงความหงุดหงิดเมื่อไม่สามารถสื่อสารได้

O:

  • พูดช้า ไม่ชัด หรือไม่มีเสียง
  • สับสนเมื่อมีการถามตอบ
  • ใช้ท่าทางหรือใบหน้าแทนการพูด
  • ตอบคำถามไม่ตรง หรือไม่ตอบเลย

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถสื่อสารความต้องการขั้นพื้นฐานได้
  • ลดความหงุดหงิดจากการสื่อสารผิดพลาด
  • ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากขึ้น

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยใช้ภาษาหรือท่าทางสื่อสารได้อย่างเข้าใจ
  • มีการโต้ตอบกับพยาบาลหรือครอบครัวได้ดีขึ้น
  • แสดงสีหน้าผ่อนคลายเมื่อสามารถสื่อสารได้

🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F02.3F5I-1: ประเมินความสามารถในการพูด ฟัง และเข้าใจคำพูดของผู้ป่วยทุกวัน
  • F02.3F5I-2: ใช้น้ำเสียงช้า ชัดเจน และพูดประโยคสั้นๆ ง่ายๆ
  • F02.3F5I-3: จัดสภาพแวดล้อมเงียบ ลดสิ่งรบกวนขณะสื่อสาร
  • F02.3F5I-4: ใช้ภาพประกอบ การชี้นิ้ว หรือบัตรคำช่วยในการสื่อสาร
  • F02.3F5I-5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยพยายามพูด แม้พูดได้เพียงบางคำ
  • F02.3F5I-6: ให้เวลากับผู้ป่วยอย่างเพียงพอ ไม่เร่งรัดหรือขัดจังหวะ
  • F02.3F5I-7: สังเกตท่าทางและภาษากายเพื่อเข้าใจความต้องการ
  • F02.3F5I-8: ส่งต่อทีมสหวิชาชีพ เช่น นักแก้ไขการพูด หากจำเป็น
  • F02.3F5I-9: สนับสนุนให้ครอบครัวเรียนรู้วิธีการสื่อสารที่เหมาะสม
  • F02.3F5I-10: บันทึกความคืบหน้าในการสื่อสารไว้ทุกครั้ง

………………………………………………………………………………….

F02.3F6 เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและน้ำ เนื่องจากกินได้น้อยหรือกินไม่ตรงเวลา
(Risk for imbalanced nutrition and dehydration due to decreased oral intake or feeding difficulties)

✅ Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยมีอาการกลืนลำบากหรือกินได้ยาก
  • ผู้ป่วยอาจไม่มีความสนใจในการทานอาหารหรือดื่มน้ำ
  • มีประวัติการลดน้ำหนักหรือขาดอาหารในอดีต

O:

  • สังเกตเห็นการกินอาหารไม่เพียงพอหรือไม่ครบมื้อ
  • การกลืนอาหารมีความลำบาก หรือมีการสำลัก
  • น้ำหนักลดลงหรือมีการขาดน้ำ
  • อาการเบื่ออาหารหรือไม่อยากทานอาหารและน้ำ

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยได้รับสารอาหารและน้ำเพียงพอตามความต้องการ
  • ผู้ป่วยไม่แสดงอาการขาดน้ำหรือสารอาหาร
  • ส่งเสริมให้ผู้ป่วยกินอาหารและดื่มน้ำอย่างมีระเบียบ
  • ป้องกันการสูญเสียน้ำหนักและเพิ่มความสนใจในการทานอาหาร

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • น้ำหนักผู้ป่วยคงที่หรือเพิ่มขึ้น
  • ผู้ป่วยดื่มน้ำและทานอาหารครบมื้อ
  • ไม่มีอาการขาดน้ำหรือขาดสารอาหาร เช่น ผิวแห้ง, ปัสสาวะเข้ม
  • ผู้ป่วยตอบสนองต่อการทานอาหารและน้ำได้ดีขึ้น

🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F02.3F6I-1: ประเมินสถานะการรับประทานอาหารและน้ำทุกวัน
  • F02.3F6I-2: แนะนำการทานอาหารที่มีความหลากหลายและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
  • F02.3F6I-3: แนะนำให้ทานมื้อเล็กๆ หลายมื้อตลอดวัน เพื่อให้รับสารอาหารและน้ำเพียงพอ
  • F02.3F6I-4: จัดเตรียมอาหารที่ง่ายต่อการกลืน เช่น อาหารบดหรือเหลว
  • F02.3F6I-5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำทุก 1-2 ชั่วโมง
  • F02.3F6I-6: ใช้เครื่องมือช่วยในการทานอาหาร เช่น แก้วน้ำหรือลูกช้อนที่ออกแบบพิเศษ
  • F02.3F6I-7: เฝ้าระวังอาการสำลักและภาวะขาดน้ำ
  • F02.3F6I-8: จัดให้มีพยาบาลช่วยในการป้อนอาหารหากจำเป็น
  • F02.3F6I-9: ส่งต่อให้มีการพิจารณาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหรือการพูดและการกลืนหากจำเป็น
  • F02.3F6I-10: สอนครอบครัวหรือผู้ดูแลเกี่ยวกับการดูแลอาหารและน้ำให้เพียงพอ

🧾 Response (การตอบสนอง)

  • F02.3F6R-1: ผู้ป่วยสามารถทานอาหารและดื่มน้ำได้เพียงพอและไม่มีอาการสำลัก
  • F02.3F6R-2: น้ำหนักผู้ป่วยไม่ลดลงหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
  • F02.3F6R-3: ผู้ป่วยแสดงความสนใจในการทานอาหารและน้ำมากขึ้น
  • F02.3F6R-4: ไม่มีอาการขาดน้ำหรือภาวะขาดสารอาหาร เช่น ผิวไม่แห้ง ปัสสาวะสีอ่อน
  • F02.3F6R-5: ผู้ป่วยรับประทานอาหารและน้ำได้ตามแผนการดูแลที่กำหนด

…………………………………………………………………………………

F02.3F7 มีปัญหาการนอนไม่หลับหรือนอนมากผิดปกติ
(Disturbed sleep pattern related to neurological changes and altered daily rhythm)

✅ Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยนอนหลับยาก หรือมีการตื่นบ่อยในกลางคืน
  • มีความรู้สึกเหนื่อยล้าหรือหงุดหงิดในตอนเช้า
  • มีอาการนอนหลับในช่วงกลางวันเกินปกติ
  • ประวัติการใช้ยาหรือยารักษาที่อาจมีผลข้างเคียงเกี่ยวกับการนอน

O:

  • การนอนหลับของผู้ป่วยไม่สม่ำเสมอ หรือมีการตื่นบ่อย
  • นอนหลับไม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน
  • ผู้ป่วยอาจมีการนอนหลับเกิน 12 ชั่วโมงในช่วงกลางวัน
  • มีอาการง่วงนอนหรือเหนื่อยล้าหลังตื่น

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยนอนหลับได้อย่างต่อเนื่องและเพียงพอในเวลากลางคืน
  • การนอนหลับของผู้ป่วยเป็นปกติและมีคุณภาพ
  • ผู้ป่วยตื่นขึ้นมารู้สึกสดชื่นและมีพลังงานเพียงพอตลอดวัน
  • ลดอาการง่วงนอนในเวลากลางวันและเพิ่มพลังงานในช่วงเช้า

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยนอนหลับได้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงในเวลากลางคืน
  • ไม่มีการตื่นในช่วงกลางคืนบ่อยเกินไป
  • ผู้ป่วยรู้สึกสดชื่นและพักผ่อนเมื่อเช้า
  • ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงการง่วงนอนในช่วงกลางวัน

🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F02.3F7I-1: ประเมินลักษณะการนอนหลับและปัญหาการตื่นในตอนกลางคืนของผู้ป่วย
  • F02.3F7I-2: แนะนำให้มีเวลานอนที่เป็นระเบียบ โดยกำหนดเวลาเข้านอนและตื่นทุกวัน
  • F02.3F7I-3: ลดการกระตุ้นหรือสิ่งที่อาจรบกวนการนอน เช่น แสงและเสียง
  • F02.3F7I-4: ส่งเสริมการผ่อนคลายก่อนนอน เช่น การฟังเพลงเบาๆ หรือการทำสมาธิ
  • F02.3F7I-5: สอนให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน
  • F02.3F7I-6: กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น เช่น การเดินเล่นในตอนเย็น
  • F02.3F7I-7: ประเมินและปรับยาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อการนอน เช่น ยานอนหลับหรือยาอื่นๆ ที่มีผลต่อระบบประสาท
  • F02.3F7I-8: ใช้แสงธรรมชาติในตอนเช้าเพื่อช่วยปรับจังหวะการนอนหลับ-ตื่น
  • F02.3F7I-9: แนะนำให้ผู้ป่วยมีที่นอนที่สะดวกสบายและเหมาะสมกับการพักผ่อน

🧾 Response (การตอบสนอง)

  • F02.3F7R-1: ผู้ป่วยนอนหลับได้ต่อเนื่อง 6-8 ชั่วโมงในช่วงกลางคืน
  • F02.3F7R-2: ผู้ป่วยตื่นขึ้นมารู้สึกสดชื่นและไม่รู้สึกง่วงในช่วงเช้า
  • F02.3F7R-3: การนอนหลับมีความต่อเนื่องและไม่มีการตื่นบ่อยในตอนกลางคืน
  • F02.3F7R-4: ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงการง่วงนอนในช่วงกลางวัน และมีพลังงานตลอดทั้งวัน
  • F02.3F7R-5: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมการนอนที่ดีขึ้นตามแผนการดูแลที่กำหนด

…………………………………………………………………..

F02.3F8 การทำกิจวัตรประจำวันบกพร่อง ต้องพึ่งพาผู้อื่นในการอาบน้ำ แต่งตัว เดิน
(Self-care deficit related to impaired motor function and cognitive decline)

✅ Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยมีความยากลำบากในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การอาบน้ำ การแต่งตัว การเดิน
  • ผู้ป่วยต้องพึ่งพาผู้อื่นในการทำกิจวัตรประจำวัน
  • มีอาการมือสั่น หรือการเคลื่อนไหวที่ช้า
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ เช่น การลืมวิธีการทำกิจวัตรที่เป็นประจำ
  • ผู้ป่วยอาจรู้สึกหงุดหงิดหรือวิตกกังวลเมื่อไม่สามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้เอง

O:

  • การเคลื่อนไหวของผู้ป่วยช้าหรือไม่สามารถทำได้เต็มที่
  • มีความบกพร่องในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ไม่สามารถอาบน้ำ แต่งตัว หรือเดินเองได้
  • การเคลื่อนไหวอาจมีอาการแข็งเกร็งหรือการสั่น
  • ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นในการทำกิจกรรมเหล่านี้

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันบางอย่างได้เองมากขึ้น เช่น การแต่งตัวหรือการอาบน้ำ
  • ลดการพึ่งพาผู้อื่นในการทำกิจกรรมประจำวัน
  • ส่งเสริมความมั่นใจในตัวเองของผู้ป่วยในการทำกิจกรรมประจำวัน
  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมที่ต้องการความช่วยเหลือได้อย่างน้อย 1-2 รายการด้วยตัวเอง
  • เพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรบางอย่างได้เอง เช่น การแต่งตัว หรือการล้างหน้า
  • ลดการพึ่งพาผู้อื่นในการทำกิจกรรม เช่น การอาบน้ำ หรือการเดิน
  • ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจในการทำกิจกรรม
  • ความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น

🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F02.3F8I-1: ประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันและความต้องการความช่วยเหลือจากผู้ดูแล
  • F02.3F8I-2: สอนทักษะในการช่วยเหลือตัวเองในระดับที่สามารถทำได้ เช่น การจับอุปกรณ์ช่วยเดิน หรือการใช้ที่ช่วยในการแต่งตัว
  • F02.3F8I-3: แนะนำให้มีอุปกรณ์ช่วยในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ราวจับในห้องน้ำ หรือการใช้เครื่องช่วยเดิน
  • F02.3F8I-4: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมด้วยตัวเองแม้ในขั้นตอนเล็กๆ เช่น การล้างหน้า หรือการเลือกเสื้อผ้า
  • F02.3F8I-5: จัดการสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรได้เอง เช่น การวางเครื่องแต่งตัวในที่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย
  • F02.3F8I-6: ใช้การฝึกฝนซ้ำๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง
  • F02.3F8I-7: สนับสนุนให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าการทำกิจกรรมด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเสริมสร้างความมั่นใจ
  • F02.3F8I-8: ประเมินผลลัพธ์จากการช่วยเหลือและปรับแผนการดูแลตามผลลัพธ์ที่ได้

🧾 Response (การตอบสนอง)

  • F02.3F8R-1: ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรบางอย่างได้เอง เช่น การแต่งตัว หรือการล้างหน้า
  • F02.3F8R-2: ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจและมีความพึงพอใจในการทำกิจกรรมประจำวัน
  • F02.3F8R-3: ความพึ่งพาผู้อื่นในการทำกิจกรรมลดลง
  • F02.3F8R-4: ผู้ป่วยแสดงท่าทางผ่อนคลายและมีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวมากขึ้น
  • F02.3F8R-5: ผู้ป่วยสามารถพึ่งพาตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันบางประการได้

…………………………………………………………………………………………

F02.3F9 ผู้ดูแลมีความเครียดสูง เหนื่อยล้า อาจเกิดภาวะหมดไฟ
(Caregiver role strain related to continuous responsibility for dependent patient)

✅ Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ดูแลมีอาการเครียดหรือวิตกกังวลจากการดูแลผู้ป่วยตลอดเวลา
  • ผู้ดูแลรู้สึกเหนื่อยล้าและขาดพลังในการดำเนินชีวิตประจำวัน
  • ผู้ดูแลมีการนอนหลับไม่เพียงพอหรือมีปัญหาการนอน
  • ผู้ดูแลรู้สึกว่าไม่สามารถทำกิจกรรมหรือสนใจสิ่งที่เคยทำได้
  • มีการแสดงออกของความเครียดหรือภาวะหมดไฟ เช่น ความหงุดหงิด, หดหู่, หรือความรู้สึกผิด

O:

  • ผู้ดูแลแสดงอาการเครียดจากภาระการดูแล เช่น ความวิตกกังวลหรือภาวะหมดไฟ
  • การแสดงอารมณ์เหนื่อยล้าหรือไม่พอใจต่อการดูแล
  • การเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมประจำวัน เช่น ไม่สามารถทำกิจกรรมที่เคยทำได้
  • การแสดงออกของความเครียดหรือภาวะหมดไฟ เช่น การหลีกเลี่ยงการสนทนาหรือการขาดการมีส่วนร่วมในกิจกรรม

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ลดระดับความเครียดของผู้ดูแล
  • สนับสนุนผู้ดูแลให้มีการดูแลตนเองเพื่อป้องกันภาวะหมดไฟ
  • ส่งเสริมให้ผู้ดูแลสามารถจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้น
  • ส่งเสริมให้ผู้ดูแลมีเวลาพักผ่อนและสนับสนุนจากครอบครัวหรือชุมชน
  • สร้างความรู้สึกว่าผู้ดูแลสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ดูแลแสดงการลดระดับความเครียดและภาวะหมดไฟ
  • ผู้ดูแลสามารถจัดสรรเวลาให้มีการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
  • ผู้ดูแลมีความรู้สึกที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการดูแลและความสามารถในการทำหน้าที่
  • ผู้ดูแลมีการพูดถึงหรือแสดงออกถึงการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเมื่อจำเป็น
  • การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการแสดงออกของความเครียดลดลง

🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F02.3F9I-1: ประเมินระดับความเครียดและภาวะหมดไฟของผู้ดูแลอย่างสม่ำเสมอ
  • F02.3F9I-2: ส่งเสริมให้ผู้ดูแลเรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียด เช่น การฝึกการหายใจลึกๆ หรือการฝึกสมาธิ
  • F02.3F9I-3: แนะนำให้ผู้ดูแลได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวหรือกลุ่มช่วยเหลือผู้ดูแล
  • F02.3F9I-4: จัดเวลาให้ผู้ดูแลมีเวลาพักผ่อนหรือทำกิจกรรมที่สนุกสนานเพื่อฟื้นฟูพลัง
  • F02.3F9I-5: ส่งเสริมให้ผู้ดูแลหาข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลตนเองและการป้องกันภาวะหมดไฟ
  • F02.3F9I-6: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการหาความช่วยเหลือจากบริการสนับสนุนสำหรับผู้ดูแล
  • F02.3F9I-7: สอนให้ผู้ดูแลรู้จักสังเกตและรับมือกับอาการเครียดหรือภาวะหมดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • F02.3F9I-8: ส่งเสริมการพัฒนาทักษะในการขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเมื่อมีความจำเป็น

🧾 Response (การตอบสนอง)

  • F02.3F9R-1: ผู้ดูแลมีความเครียดลดลงและรู้สึกว่ามีการสนับสนุนมากขึ้น
  • F02.3F9R-2: ผู้ดูแลมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นและสามารถทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้
  • F02.3F9R-3: ผู้ดูแลมีความมั่นใจในการจัดการกับภาระการดูแลและภาวะเครียด
  • F02.3F9R-4: ผู้ดูแลเริ่มขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือผู้สนับสนุนอื่นๆ
  • F02.3F9R-5: ผู้ดูแลแสดงท่าทางที่ผ่อนคลายและมีความสุขกับการดูแลผู้ป่วย

…………………………………………………………………………………..

F02.3F10 ขาดความรู้ในการดูแลตนเองหลังจำหน่าย เช่น การกินยา ป้องกันอุบัติเหตุ
(Deficient knowledge related to self-care and home safety after discharge)

✅ Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลไม่เข้าใจวิธีการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล
  • ผู้ป่วยมักจะลืมกินยาตามเวลาที่กำหนด
  • ผู้ดูแลไม่ทราบวิธีการป้องกันอุบัติเหตุที่บ้าน เช่น การลื่นล้ม
  • ผู้ป่วยมีความสับสนเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเอง เช่น การทานอาหารหรือการเดิน
  • ผู้ป่วยไม่มีความรู้ในการปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยหลังจากจำหน่าย

O:

  • การใช้ยาผิดวิธีหรือลืมกินยา
  • การดูแลความปลอดภัยในบ้านไม่เพียงพอ เช่น พื้นลื่นหรืออุปกรณ์ช่วยเดินไม่เหมาะสม
  • ผู้ป่วยและผู้ดูแลไม่สามารถอธิบายวิธีการดูแลหลังจำหน่ายได้ถูกต้อง
  • ผู้ดูแลไม่สามารถป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้านได้

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถอธิบายวิธีการกินยาและการดูแลตนเองหลังจำหน่ายได้ถูกต้อง
  • ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ดูแลสามารถให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่างมั่นใจ
  • ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถทำการปรับบ้านให้ปลอดภัยตามคำแนะนำได้
  • ผู้ป่วยสามารถทานยาตามที่แพทย์แนะนำและติดตามการรักษาได้ดี

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถบอกขั้นตอนการกินยาและดูแลตนเองได้ถูกต้อง
  • ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถอธิบายวิธีการป้องกันอุบัติเหตุที่บ้านได้
  • การติดตามการใช้ยาเป็นไปตามแผนการรักษา
  • ผู้ดูแลสามารถจัดการบ้านเพื่อให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุได้
  • ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในระดับสูงเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังจำหน่าย

🩺 Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F02.3F10I-1: สอนผู้ป่วยและผู้ดูแลเกี่ยวกับการใช้ยาให้ถูกต้องและตามเวลาที่กำหนด
  • F02.3F10I-2: อธิบายเกี่ยวกับการปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย เช่น การใช้พื้นกันลื่นและติดตั้งราวจับในห้องน้ำ
  • F02.3F10I-3: สอนผู้ป่วยและผู้ดูแลเกี่ยวกับวิธีการป้องกันอุบัติเหตุที่บ้าน เช่น การดูแลอุปกรณ์ช่วยเดิน
  • F02.3F10I-4: จัดทำคู่มือการดูแลตนเองหลังจำหน่าย รวมถึงการใช้ยาและการดูแลบ้านที่ปลอดภัย
  • F02.3F10I-5: ตรวจสอบและยืนยันว่า ผู้ป่วยและผู้ดูแลเข้าใจคำแนะนำทั้งหมดเกี่ยวกับการกินยาและการดูแลตนเอง
  • F02.3F10I-6: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีส่วนร่วมในการวางแผนการดูแลที่บ้านเพื่อให้ปลอดภัยและสะดวกสบาย

🔄 Response (การตอบสนอง)

  • F02.3F10R-1: ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถอธิบายการใช้ยาและวิธีการดูแลตัวเองหลังจำหน่ายได้
  • F02.3F10R-2: ผู้ดูแลสามารถปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ
  • F02.3F10R-3: ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนการป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างถูกต้อง
  • F02.3F10R-4: ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในระดับสูงเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล
  • F02.3F10R-5: การติดตามการใช้ยาและการรักษาเป็นไปตามแผนที่กำหนด

…………………………………………………………………

เอกสารอ้างอิง (References)

  • กระทรวงสาธารณสุข. (2557). แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน. กรมการแพทย์, กระทรวงสาธารณสุข.
  • วิทยาลัยพยาบาลราชบุรี. (2561). คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน. ราชบุรี: วิทยาลัยพยาบาลราชบุรี.
  • Aarsland, D., & Brønnick, K. (2011). The Epidemiology of Parkinson's Disease. Current Opinion in Neurology, 24(4), 292-297. https://doi.org/10.1097/WCO.0b013e328348eb57
  • Watts, S. (2014). Parkinson's Disease: A Guide for Caregivers. Johns Hopkins University Press. ISBN: 978-1421414209

……………………………………………………………………