เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

EP.60 จิตเวชหัวข้อ 20 : โรคอาการชักทางจิตใจ (Psychogenic Seizures) - F44.5

 

📌 รู้จัก "โรคอาการชักทางจิตใจ" (Psychogenic Seizures - F44.5)
        🧠 อาการชักเหมือนลมชัก... แต่ไม่ใช่โรคลมชัก! เกิดจากความเครียด กดดัน หรือปัญหาทางจิตใจ ร่างกายแสดงออกเป็นตัวเกร็ง สั่น หรือหมดสติชั่วคราว แม้สมองปกติ

🔥จุดสำคัญ:

  • ไม่ใช่โรคลมชัก
  • เกิดจากความเครียดหรือปัญหาทางจิตใจ
  • พบมากในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่เครียด

🔥ปัจจัยที่ทำให้เกิด

  • ความเครียดสะสม / ภาวะวิตกกังวล
  • ปัญหาครอบครัว หรือความสัมพันธ์
  • เคยมีประสบการณ์เจ็บปวดทางอารมณ์
  • โรคทางจิตเวช เช่น PTSD หรือซึมเศร้า

💊การรักษา

  • จิตบำบัด (Cognitive Behavioral Therapy - CBT)
  • การให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางจิตใจ
  • ฝึกการควบคุมอารมณ์และผ่อนคลายความเครียด
  • ไม่ใช้ยากันชัก เพราะไม่ใช่โรคลมชัก

👩‍⚕️การพยาบาล

  • ประเมินอาการเพื่อแยกจากลมชักจริง
  • สังเกตช่วงเวลา ลักษณะ และปัจจัยกระตุ้น
  • ให้ความรู้ผู้ป่วยและครอบครัวว่า “ไม่ได้แกล้ง”
  • ส่งต่อทีมจิตเวช เพื่อดูแลต่อเนื่อง

👨‍👩‍👧‍👦การดูแลสำหรับบุคคลทั่วไป

  • อย่าตกใจหรือด่วนสรุปว่าแกล้ง
  • อยู่ใกล้เพื่อดูแล ไม่จับร่างกายแรง ๆ
  • พูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงสงบ
  • เมื่ออาการสงบ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย
  • ให้กำลังใจและเข้าใจ ไม่ตัดสิน

......................................................................

วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคอาการชักทางจิตใจ (Psychogenic Seizures)

  1. F44.5F1 มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากอาการชัก เช่น บาดเจ็บจากการล้ม หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว (Risk for injury related to psychogenic seizure episodes such as falling or environmental hazards)
  2. F44.5F2 มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในการรับมือกับความเครียด (Ineffective coping related to emotional distress or unresolved psychological trauma)
  3. F44.5F3 มีความวิตกกังวลอย่างมากก่อนหรือระหว่างการเกิดอาการ (Anxiety related to fear of seizure episodes or uncertainty about the condition)
  4. F44.5F4 มีความเสี่ยงต่อการแยกตัวทางสังคมเนื่องจากการตีตราจากสังคมหรือความไม่เข้าใจของคนรอบข้าง (Risk for social isolation related to stigma or lack of social support)
  5. F44.5F5 มีความไม่รู้เกี่ยวกับโรคของตนเองและการจัดการอาการ (Deficient knowledge related to the nature of psychogenic seizures and appropriate self-care)
  6. F44.5F6 มีภาวะซึมเศร้า (Depressed mood)(This may co-exist with psychogenic seizures and influence episode frequency and recovery.)
  7. F44.5F7 มีความเสี่ยงต่อการได้รับยาที่ไม่จำเป็น เช่น ยากันชักที่ไม่จำเป็นในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคลมชัก (Risk for inappropriate medication use related to misdiagnosis or misunderstanding of the condition)
  8. F44.5F8 มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเข้าใจผิดระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษา (Risk for impaired communication among patient, family, and healthcare providers)
  9. F44.5F9 ขาดการสนับสนุนทางจิตใจหรือสังคมที่เพียงพอในการดูแลต่อเนื่อง (Ineffective family or social support system in long-term psychological care)
  10. F44.5F10 ขาดความพร้อมในการกลับบ้านหรือใช้ชีวิตตามปกติอย่างมั่นใจ (Readiness for enhanced self-care or discharge planning with continued psychological support needs)

.......................................................................................

🩺F44.5F1 มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากอาการชัก เช่น บาดเจ็บจากการล้ม หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว (Risk for injury related to psychogenic seizure episodes such as falling or environmental hazards)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่า “รู้สึกเหมือนจะเป็นลมก่อนชัก”
  • มีประวัติอาการชักจากภาวะเครียดซ้ำ ๆ

O:

  • สังเกตเห็นอาการเกร็ง หายใจเร็ว หรือหมดแรงก่อนเกิดชัก
  • ผู้ป่วยเคยล้มจากอาการชัก 1-2 ครั้ง
  • สิ่งแวดล้อมมีเฟอร์นิเจอร์/มุมแหลม เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
  • ไม่มีอาการแสดงของโรคลมชักจาก EEG หรือผลตรวจสมอง

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยปลอดภัยจากการบาดเจ็บระหว่างเกิดอาการชัก
  • สิ่งแวดล้อมรอบผู้ป่วยปลอดภัย
  • ทีมพยาบาลและครอบครัวสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ไม่มีร่องรอยการล้ม/บาดเจ็บใหม่
  • ผู้ป่วยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยขณะเกิดอาการ
  • ครอบครัวสามารถอธิบายการดูแลเมื่อเกิดอาการได้

🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F44.5F1I-1: จัดพื้นที่โดยรอบเตียงให้ปลอดจากของแข็งหรือของมีคม ลดความเสี่ยงในการกระแทก
  • F44.5F1I-2: อยู่ใกล้ผู้ป่วยเมื่อตรวจพบสัญญาณเตือน เช่น พูดวกไปวนมา หายใจเร็ว ตัวสั่น
  • F44.5F1I-3: สอนญาติให้ดูแลเบื้องต้นเมื่อผู้ป่วยมีอาการ เช่น อย่ายึดแขน ขา หรือให้กัดช้อน
  • F44.5F1I-4: วางเบาะรองพื้นบริเวณที่ผู้ป่วยพัก เพื่อป้องกันการกระแทกหากล้ม
  • F44.5F1I-5: ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัวหลังอาการสงบทุกครั้ง
  • F44.5F1I-6: ประสานทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น จิตแพทย์ และนักกิจกรรมบำบัด เพื่อดูแลร่วม
  • F44.5F1I-7: จัดทำแผนความปลอดภัยเฉพาะบุคคล (Personal Safety Plan) สำหรับผู้ป่วยร่วมกับครอบครัว
  • F44.5F1I-8: บันทึกอาการและระยะเวลาแต่ละครั้งที่เกิดชัก เพื่อติดตามและวางแผนการรักษา

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F44.5F1R-1: ผู้ป่วยไม่มีบาดแผลหรืออุบัติเหตุจากการชัก
  • F44.5F1R-2: ครอบครัวสามารถให้การดูแลเบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง
  • F44.5F1R-3: ผู้ป่วยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเมื่อเกิดอาการ
  • F44.5F1R-4: ทีมพยาบาลสามารถประเมินและรับมือกับอาการชักได้ตามแผน
  • F44.5F1R-5: ไม่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินซ้ำซ้อนจากอาการชักระหว่างดูแลในโรงพยาบาล

...........................................................................

🩺F44.5F2 มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในการรับมือกับความเครียด (Ineffective coping related to emotional distress or unresolved psychological trauma)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่า “ไม่รู้จะจัดการกับความเครียดยังไง”
  • ผู้ป่วยรู้สึกหมดหนทาง เครียด กังวล หรือมีประวัติเหตุการณ์สะเทือนใจในอดีต

O:

  • มีอาการร้องไห้ หงุดหงิด หรือแยกตัว
  • เกิดอาการชักหลังมีความเครียดหรือขัดแย้ง
  • ใช้วิธีหลีกเลี่ยงปัญหา แสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถระบุความเครียดหรือความรู้สึกของตนได้
  • ผู้ป่วยใช้วิธีจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม
  • ผู้ป่วยมีพฤติกรรมตอบสนองที่สร้างสรรค์มากขึ้น

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถระบุความรู้สึกหรือสาเหตุของความเครียดได้
  • มีการใช้เทคนิคคลายเครียดที่เหมาะสม
  • ลดความถี่ของอาการชักที่เกิดจากความเครียด
  • ไม่มีพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือแสดงอารมณ์รุนแรง

🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F44.5F2I-1: ประเมินระดับความเครียด ความกังวล และปัจจัยกระตุ้นที่เกี่ยวข้องกับอาการชัก
  • F44.5F2I-2: รับฟังผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน เพื่อสร้างความไว้วางใจ
  • F44.5F2I-3: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยพูดถึงความรู้สึกและปัญหาที่กดดัน
  • F44.5F2I-4: แนะนำเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก การนั่งสมาธิ
  • F44.5F2I-5: จัดให้มีตารางกิจกรรมเพื่อเบี่ยงเบนความคิดและลดความเครียด
  • F44.5F2I-6: ประสานงานกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อให้การบำบัดทางจิต
  • F44.5F2I-7: สนับสนุนการเข้าร่วมกลุ่มบำบัดหรือกลุ่มสนับสนุน (Support Group)
  • F44.5F2I-8: ให้ความรู้ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับโรคและวิธีดูแลตนเอง
  • F44.5F2I-9: ติดตามพฤติกรรมและความถี่ของอาการชักที่สัมพันธ์กับความเครียด
  • F44.5F2I-10: ส่งเสริมการเขียนบันทึกอารมณ์ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้เท่าทันความรู้สึก

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F44.5F2R-1: ผู้ป่วยสามารถระบุปัจจัยกระตุ้นความเครียดได้
  • F44.5F2R-2: ผู้ป่วยใช้เทคนิคผ่อนคลายเมื่อรู้สึกเครียดได้
  • F44.5F2R-3: ความถี่ของอาการชักลดลงหลังจากเรียนรู้การรับมือกับความเครียด
  • F44.5F2R-4: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อปัญหาอย่างสร้างสรรค์
  • F44.5F2R-5: ผู้ป่วยร่วมมือในการรับบริการจิตบำบัดหรือเข้ากลุ่มบำบัด

.....................................................................

🩺F44.5F3 มีความวิตกกังวลอย่างมากก่อนหรือระหว่างการเกิดอาการ (Anxiety related to fear of seizure episodes or uncertainty about the condition)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่า “กลัวว่าจะชักอีก” หรือ “ไม่รู้ว่าจะเกิดอาการเมื่อไหร่”
  • รู้สึกกระวนกระวาย หายใจเร็ว ใจสั่น

O:

  • สังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย เหงื่อออก หายใจถี่
  • ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างที่เคยทำได้
  • มีอาการชักถี่ขึ้นในช่วงที่มีความเครียดสูง

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาการชัก
  • ผู้ป่วยเรียนรู้และใช้เทคนิคจัดการความวิตกกังวลได้
  • ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมตามปกติได้มากขึ้น

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ระดับความวิตกกังวลลดลง (ประเมินด้วยสเกลหรือพฤติกรรม)
  • ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีผ่อนคลายที่ได้ผลกับตนเอง
  • จำนวนครั้งของอาการชักลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น
  • ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์หรือทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น

🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F44.5F3I-1: ประเมินระดับความวิตกกังวลโดยใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น GAD-7
  • F44.5F3I-2: สร้างความรู้สึกปลอดภัยโดยให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค
  • F44.5F3I-3: ส่งเสริมการพูดคุย เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก
  • F44.5F3I-4: สอนเทคนิคการหายใจลึก การนั่งสมาธิ หรือการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  • F44.5F3I-5: จัดสภาพแวดล้อมให้เงียบ สงบ และลดสิ่งเร้าที่กระตุ้นความกังวล
  • F44.5F3I-6: แนะนำให้เขียนบันทึกอารมณ์ เพื่อสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์กับอาการชัก
  • F44.5F3I-7: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สร้างความสุข เช่น ศิลปะ ดนตรี
  • F44.5F3I-8: ให้คำแนะนำครอบครัวเกี่ยวกับวิธีช่วยเหลือเมื่อลูกหลานมีอาการวิตกกังวล
  • F44.5F3I-9: ประสานทีมสหวิชาชีพ เช่น นักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ ในกรณีที่มีอาการรุนแรง
  • F44.5F3I-10: ติดตามผลการตอบสนองต่อการดูแล เพื่อปรับแผนการพยาบาลให้เหมาะสม

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F44.5F3R-1: ผู้ป่วยรายงานว่าความวิตกกังวลลดลง
  • F44.5F3R-2: ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีผ่อนคลายได้ด้วยตนเอง
  • F44.5F3R-3: จำนวนอาการชักลดลงในช่วงที่มีการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
  • F44.5F3R-4: ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมหรือออกสังคมมากขึ้น
  • F44.5F3R-5: ผู้ป่วยร่วมมือกับการรักษาและให้ข้อมูลความรู้สึกอย่างเปิดเผย

................................................................................

🧠F44.5F4 มีความเสี่ยงต่อการแยกตัวทางสังคมเนื่องจากการตีตราจากสังคมหรือความไม่เข้าใจของคนรอบข้าง (Risk for social isolation related to stigma or lack of social support)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่า “ไม่อยากพบใคร เพราะกลัวคนจะมองว่าเป็นบ้า”
  • ผู้ป่วยรู้สึกว่าคนรอบข้างไม่เข้าใจ ไม่อยากอยู่ใกล้

O:

  • ผู้ป่วยอยู่เงียบ ๆ ไม่พูดคุยกับใคร
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลุ่มหรือปฏิเสธการพบปะผู้อื่น
  • มีความสัมพันธ์ทางสังครน้อยลงอย่างชัดเจน

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้
  • ผู้ป่วยรู้สึกได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากครอบครัวหรือกลุ่มสังคม
  • ลดความรู้สึกแปลกแยกหรือโดดเดี่ยวของผู้ป่วย

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยมีการพูดคุยหรือเข้าสังคมเพิ่มขึ้น
  • ผู้ป่วยร่วมกิจกรรมกับผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกมีคนเข้าใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลเข้าใจและให้การสนับสนุนมากขึ้น

🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F44.5F4I-1: ประเมินความรู้สึกของผู้ป่วยเกี่ยวกับการตีตราและความกลัวจากสังคม
  • F44.5F4I-2: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเล่าความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการถูกปฏิเสธหรือเข้าใจผิด
  • F44.5F4I-3: สนับสนุนผู้ป่วยในการแสดงออกถึงความสามารถหรือความสนใจของตนเอง
  • F44.5F4I-4: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือกิจกรรมที่มีผู้ป่วยภาวะคล้ายกัน
  • F44.5F4I-5: ให้คำปรึกษาครอบครัวเกี่ยวกับโรคเพื่อช่วยลดอคติและเพิ่มการเข้าใจ
  • F44.5F4I-6: ประสานงานกับทีมสังคมสงเคราะห์หรือกลุ่มจิตสังคมเพื่อหากลุ่มสนับสนุนในชุมชน
  • F44.5F4I-7: ใช้การสร้างพลังใจ (Empowerment) โดยเน้นจุดแข็งของผู้ป่วย
  • F44.5F4I-8: เฝ้าระวังสัญญาณของภาวะซึมเศร้าหรือการแยกตัวรุนแรง
  • F44.5F4I-9: กระตุ้นให้ผู้ป่วยสื่อสารกับบุคคลที่ไว้วางใจ
  • F44.5F4I-10: สร้างแผนส่งต่อหากพบว่าผู้ป่วยมีภาวะแยกตัวต่อเนื่องหรือดิ่งลึก

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F44.5F4R-1: ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มหรือสังคมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์
  • F44.5F4R-2: ผู้ป่วยสามารถพูดคุยถึงความรู้สึกของตนเองอย่างเปิดเผยมากขึ้น
  • F44.5F4R-3: ผู้ป่วยมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นในการเข้าสังคมหรือแสดงออก
  • F44.5F4R-4: ครอบครัวหรือผู้ดูแลแสดงท่าทีสนับสนุนและลดอคติต่อโรค
  • F44.5F4R-5: ไม่มีพฤติกรรมแยกตัวรุนแรงหรือลดลงอย่างชัดเจน

.......................................................

🧠F44.5F5 มีความไม่รู้เกี่ยวกับโรคของตนเองและการจัดการอาการ (Deficient knowledge related to the nature of psychogenic seizures and appropriate self-care)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าอาการชักแบบนี้มาจากอะไร”
  • ผู้ป่วยถามซ้ำเกี่ยวกับวิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ

O:

  • ผู้ป่วยไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับโรคหรืออาการของตนเองได้
  • ผู้ป่วยไม่มีแผนจัดการตนเองเมื่อมีอาการเกิดขึ้น
  • พบว่าผู้ป่วยมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เช่น คิดว่าเป็นลมชักจริง (Epilepsy)

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยมีความเข้าใจโรคและอาการของตนเองอย่างถูกต้อง
  • ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีดูแลตนเองเบื้องต้นได้
  • ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการรับมือกับอาการ

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายว่าอาการชักทางจิตใจแตกต่างจากโรคลมชักได้
  • ผู้ป่วยสามารถระบุวิธีรับมือที่เหมาะสมเมื่อเกิดอาการ
  • ผู้ป่วยมีความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคเช่นกัน

🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F44.5F5I-1: ประเมินความรู้ ความเชื่อ และความเข้าใจเดิมของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคและอาการ
  • F44.5F5I-2: อธิบายความแตกต่างระหว่าง Psychogenic Seizures กับโรคลมชัก (Epilepsy)
  • F44.5F5I-3: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุ กลไก และการแสดงอาการของโรคด้วยภาษาง่าย
  • F44.5F5I-4: สอนวิธีปฏิบัติตัวเมื่อมีอาการ เช่น หาที่ปลอดภัย หายใจช้า ๆ
  • F44.5F5I-5: จัดทำคู่มือหรือแผ่นพับที่อธิบายวิธีดูแลตนเองในสถานการณ์ต่าง ๆ
  • F44.5F5I-6: แนะนำให้จดบันทึกเหตุการณ์ก่อนเกิดอาการ เพื่อช่วยระบุปัจจัยกระตุ้น
  • F44.5F5I-7: ให้คำแนะนำเรื่องการจัดการความเครียด เช่น ฝึกผ่อนคลายหรือหายใจลึก
  • F44.5F5I-8: กระตุ้นให้ผู้ป่วยซักถามเมื่อไม่เข้าใจ เพื่อเสริมความมั่นใจ
  • F44.5F5I-9: ให้ครอบครัวหรือผู้ดูแลเข้าร่วมกิจกรรมการให้ความรู้ด้วย
  • F44.5F5I-10: ติดตามผลหลังการให้ข้อมูลเพื่อประเมินการเข้าใจและปรับแผนตามความเหมาะสม

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F44.5F5R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายเกี่ยวกับโรคและแยกแยะกับโรคลมชักได้อย่างถูกต้อง
  • F44.5F5R-2: ผู้ป่วยสามารถระบุแนวทางรับมือเมื่อเกิดอาการได้ด้วยตนเอง
  • F44.5F5R-3: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจเพิ่มขึ้นในการดูแลตนเอง
  • F44.5F5R-4: ครอบครัวมีความเข้าใจโรคมากขึ้นและให้การดูแลสนับสนุนที่เหมาะสม
  • F44.5F5R-5: อาการลดลงจากการหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นและใช้วิธีจัดการที่ถูกต้อง

…………………………………………………………..

🧠F44.5F6 มีภาวะซึมเศร้า (Depressed mood) (This may co-exist with psychogenic seizures and influence episode frequency and recovery.)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยบอกว่า "รู้สึกเหนื่อย หมดกำลังใจ ทำอะไรก็ไม่สนุก"
  • ผู้ป่วยมีการนอนหลับไม่เพียงพอ บ่นเกี่ยวกับความเครียด
  • ผู้ป่วยแสดงอาการเศร้า ไม่กระตือรือร้นในการทำกิจกรรม
  • ผู้ป่วยพูดถึงความคิดเชิงลบเกี่ยวกับตนเองและอนาคต

O:

  • พบผู้ป่วยมีท่าทางเหงาหรือเศร้า
  • มีการลดลงของการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การออกกำลังกาย การติดต่อสื่อสารกับคนรอบข้าง
  • พบว่าผู้ป่วยไม่สนใจเรื่องสุขภาพหรือการดูแลตนเอง

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถระบุอารมณ์และอาการซึมเศร้าของตนเองได้
  • ผู้ป่วยสามารถแสดงอาการดีขึ้นและมีทัศนคติที่ดีขึ้นเกี่ยวกับชีวิต
  • ผู้ป่วยมีการนอนหลับที่เพียงพอและมีพลังในการทำกิจกรรมประจำวัน
  • ผู้ป่วยสามารถระบุวิธีรับมือกับภาวะซึมเศร้าได้ เช่น การพูดคุยกับผู้ดูแลหรือการฝึกผ่อนคลาย

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายและระบุถึงอารมณ์ซึมเศร้าของตนเอง
  • ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการนอนและกิจกรรมที่ทำ
  • อาการซึมเศร้าลดลง และผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้มากขึ้น
  • ผู้ป่วยแสดงทัศนคติที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการจัดการกับโรคและการดูแลตนเอง

🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F44.5F6I-1: ประเมินระดับความซึมเศร้าของผู้ป่วยโดยใช้เครื่องมือประเมินที่เหมาะสม เช่น PHQ-9
  • F44.5F6I-2: สนับสนุนให้ผู้ป่วยแสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกอย่างเปิดเผย
  • F44.5F6I-3: สอนวิธีการจัดการกับภาวะซึมเศร้าด้วยการพูดคุยหรือฝึกการผ่อนคลาย
  • F44.5F6I-4: แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น เช่น การเดินเล่น
  • F44.5F6I-5: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการนอนหลับที่ดีและการสร้างกิจวัตรประจำวันที่สมดุล
  • F44.5F6I-6: แนะนำให้ผู้ป่วยรับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ป่วยหรือกลุ่มบำบัดที่เชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า
  • F44.5F6I-7: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยติดต่อหรือพูดคุยกับครอบครัวและเพื่อนเพื่อเพิ่มการสนับสนุนทางสังคม
  • F44.5F6I-8: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับมุมมองเชิงบวกในชีวิตและการมองหาสิ่งดี ๆ ในแต่ละวัน
  • F44.5F6I-9: ให้การสนับสนุนในระยะยาว โดยติดตามอาการและปรับแผนการดูแลตามความเหมาะสม
  • F44.5F6I-10: ร่วมมือกับทีมสุขภาพจิตเพื่อประเมินและวางแผนการรักษาต่อเนื่อง

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F44.5F6R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายอารมณ์และอาการซึมเศร้าของตนเองได้ชัดเจน
  • F44.5F6R-2: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่กระตือรือร้นและมีทัศนคติที่ดีขึ้น
  • F44.5F6R-3: การนอนหลับของผู้ป่วยดีขึ้น และมีพลังในการทำกิจกรรมประจำวัน
  • F44.5F6R-4: ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอารมณ์เศร้าได้ดีขึ้นด้วยการใช้วิธีที่ได้เรียนรู้
  • F44.5F6R-5: ผู้ป่วยแสดงการมีส่วนร่วมในการรักษาต่อเนื่องและการสนับสนุนทางสังคมเพิ่มขึ้น

……………………………………………………………..

🧠F44.5F7 มีความเสี่ยงต่อการได้รับยาที่ไม่จำเป็น (Risk for inappropriate medication use related to misdiagnosis or misunderstanding of the condition)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยโรคลมชักจากแพทย์โดยไม่ตรวจสอบสาเหตุของการชักอย่างละเอียด
  • ผู้ป่วยได้รับการจ่ายยากันชักแม้จะไม่พบประวัติหรืออาการที่ชัดเจนของโรคลมชัก
  • ผู้ป่วยหรือครอบครัวไม่เข้าใจว่าการชักที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากโรคลมชัก

O:

  • ผู้ป่วยรับยาโดยไม่ได้รับการประเมินการวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • มีการใช้ยากันชักที่ไม่จำเป็น และไม่มีการประเมินผลข้างเคียงจากยา
  • ผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงจากยากันชัก เช่น อาการเวียนหัวหรืออ่อนเพลีย

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยได้รับการประเมินและวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • ยาที่ผู้ป่วยได้รับจะเป็นยาที่เหมาะสมและจำเป็นตามโรคที่แท้จริง
  • ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจถึงโรคและการรักษา และรู้วิธีการรับมือกับอาการ
  • ไม่มีการใช้ยากันชักที่ไม่จำเป็นในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคลมชัก

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาการชัก
  • ผู้ป่วยได้รับยาที่เหมาะสมตามการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
  • ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการรักษา
  • ไม่มีการใช้ยากันชักที่ไม่จำเป็นในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคลมชัก

🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F44.5F7I-1: ประเมินประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยและตรวจสอบการวินิจฉัยการชักที่ถูกต้อง
  • F44.5F7I-2: ทำงานร่วมกับแพทย์ในการตรวจสอบว่าอาการชักที่เกิดขึ้นเป็นผลจากโรคลมชักหรือไม่
  • F44.5F7I-3: ตรวจสอบการใช้ยาและประเมินว่าผู้ป่วยได้รับยาที่ไม่จำเป็นหรือไม่
  • F44.5F7I-4: อธิบายให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับการรักษา และการใช้ยาที่เหมาะสม
  • F44.5F7I-5: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากยาและการปฏิบัติตนเมื่อใช้ยา
  • F44.5F7I-6: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการติดตามผลการรักษาและการทบทวนการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
  • F44.5F7I-7: ส่งต่อผู้ป่วยให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เพื่อการประเมินอย่างละเอียดหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา
  • F44.5F7I-8: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทางเลือกการรักษาที่ไม่เกี่ยวข้องกับยากันชัก เช่น การบำบัดทางจิต

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F44.5F7R-1: ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • F44.5F7R-2: ไม่มีการใช้ยากันชักที่ไม่จำเป็นและผู้ป่วยได้รับยาเหมาะสมตามโรค
  • F44.5F7R-3: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายการรักษาและการใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
  • F44.5F7R-4: ผู้ป่วยไม่พบผลข้างเคียงจากการใช้ยา
  • F44.5F7R-5: ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจและเข้าใจวิธีการจัดการกับอาการชักและการรักษา

……………………………………………………….

🧠F44.5F8 มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเข้าใจผิดระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษา (Risk for impaired communication among patient, family, and healthcare providers)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการชักและการรักษา
  • ครอบครัวของผู้ป่วยไม่เข้าใจการวินิจฉัยและการรักษาอย่างถูกต้อง
  • ทีมรักษามีการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการรักษาและความคืบหน้า

O:

  • ผู้ป่วยและครอบครัวมีความสับสนเกี่ยวกับสาเหตุของอาการและวิธีการจัดการ
  • การสื่อสารระหว่างทีมรักษาและครอบครัวไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ป่วยไม่สามารถอธิบายอาการของตนเองได้อย่างชัดเจน

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษาเป็นไปอย่างเข้าใจและชัดเจน
  • ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจการวินิจฉัยและการรักษาอย่างถูกต้อง
  • ทีมรักษาสามารถอธิบายแผนการรักษาและการดูแลได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาได้โดยไม่มีความสับสน

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายการวินิจฉัยและการรักษาได้ถูกต้อง
  • การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีความเข้าใจผิด
  • ทีมรักษาสามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างชัดเจนและมีความเข้าใจร่วมกันกับผู้ป่วยและครอบครัว

🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F44.5F8I-1: อธิบายการวินิจฉัยและแผนการรักษาให้กับผู้ป่วยและครอบครัวด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
  • F44.5F8I-2: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจการรักษาและอาการของโรค
  • F44.5F8I-3: จัดการประชุมร่วมกับทีมรักษาและครอบครัวเพื่ออธิบายแผนการรักษาและคุยถึงความคืบหน้า
  • F44.5F8I-4: ใช้สื่อที่ช่วยอธิบายการรักษา เช่น โปสเตอร์ หรือแผ่นพับ ที่ให้ข้อมูลชัดเจนและเข้าใจง่าย
  • F44.5F8I-5: ส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดเผยและไม่มีอุปสรรคระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษา
  • F44.5F8I-6: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการติดตามการรักษาและวิธีการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F44.5F8R-1: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายการวินิจฉัยและการรักษาได้อย่างถูกต้อง
  • F44.5F8R-2: การสื่อสารระหว่างทีมรักษาและครอบครัวเป็นไปอย่างชัดเจนและไม่มีความเข้าใจผิด
  • F44.5F8R-3: ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแผนการรักษา
  • F44.5F8R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวรู้สึกมั่นใจในการปฏิบัติตามแผนการรักษา
  • F44.5F8R-5: การติดตามผลการรักษามีการสื่อสารที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพระหว่างทุกฝ่าย

………………………………………………………………..

🧠F44.5F9 ขาดการสนับสนุนทางจิตใจหรือสังคมที่เพียงพอในการดูแลต่อเนื่อง (Ineffective family or social support system in long-term psychological care)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่มีการสนับสนุนจากครอบครัวหรือเพื่อน
  • ครอบครัวไม่สามารถให้การดูแลหรือช่วยเหลือผู้ป่วยในระยะยาวได้
  • ผู้ป่วยรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มีแหล่งสนับสนุนทางสังคมที่เพียงพอ

O:

  • ขาดการสนับสนุนทางจิตใจจากครอบครัว
  • ผู้ป่วยไม่มีแหล่งสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนหรือองค์กรที่ให้การช่วยเหลือ
  • ไม่มีการติดต่อหรือการติดตามผลการรักษาในระยะยาวจากครอบครัวหรือผู้ดูแล

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนทางจิตใจและสังคมจากครอบครัวหรือกลุ่มสนับสนุน
  • ครอบครัวและผู้ป่วยสามารถทำงานร่วมกันในการจัดการอาการและการรักษาในระยะยาว
  • สร้างแหล่งสนับสนุนทางสังคมให้กับผู้ป่วยที่สามารถใช้ได้ในระยะยาว
  • ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีคนให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในกระบวนการรักษา

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ครอบครัวหรือกลุ่มสนับสนุนสามารถให้การดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วยได้ตามคำแนะนำจากทีมรักษา
  • ผู้ป่วยมีแหล่งสนับสนุนทางจิตใจและสังคมที่สามารถเข้าถึงได้ในระยะยาว
  • การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษามีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอ
  • ผู้ป่วยรายงานว่าได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนจากครอบครัวและกลุ่มสังคม

🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F44.5F9I-1: ประเมินความสามารถของครอบครัวในการให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือ
  • F44.5F9I-2: แนะนำและจัดการเชื่อมโยงผู้ป่วยกับกลุ่มสนับสนุนทางสังคม เช่น กลุ่มผู้ป่วยหรือองค์กรช่วยเหลือ
  • F44.5F9I-3: สอนครอบครัวเกี่ยวกับการดูแลและการสนับสนุนผู้ป่วยที่มีอาการชักทางจิตใจ
  • F44.5F9I-4: ช่วยสร้างแหล่งสนับสนุนทางจิตใจให้กับผู้ป่วย เช่น การเยี่ยมเยียนจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ให้คำปรึกษา
  • F44.5F9I-5: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับปรุงการสื่อสารภายในครอบครัวเพื่อการสนับสนุนที่ดีขึ้น
  • F44.5F9I-6: ช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสร้างแผนการดูแลระยะยาวและติดตามผลการรักษา

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F44.5F9R-1: ผู้ป่วยรายงานการได้รับการสนับสนุนทางจิตใจจากครอบครัวหรือกลุ่มสนับสนุน
  • F44.5F9R-2: ครอบครัวสามารถให้การดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • F44.5F9R-3: ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีแหล่งสนับสนุนทางสังคมที่สามารถเข้าถึงได้
  • F44.5F9R-4: การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • F44.5F9R-5: ผู้ป่วยและครอบครัวมีแผนการดูแลระยะยาวที่สอดคล้องกับความต้องการ

…………………………………………………………..

🧠F44.5F10 ขาดความพร้อมในการกลับบ้านหรือใช้ชีวิตตามปกติอย่างมั่นใจ (Readiness for enhanced self-care or discharge planning with continued psychological support needs)

🔍 Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่มั่นใจในการกลับบ้านและต้องการการสนับสนุนทางจิตใจต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยรู้สึกว่าการกลับไปใช้ชีวิตประจำวันยังมีความท้าทายและไม่มั่นคง
  • ผู้ป่วยยอมรับการรักษาและมีความต้องการในการได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมในด้านการดูแลตนเอง

O:

  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเองได้บางส่วน
  • ผู้ป่วยไม่มีความมั่นใจในความสามารถของตนเองในการกลับบ้านและดูแลอาการ
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลไม่มั่นใจในการจัดการอาการของผู้ป่วยในระยะยาว

🎯 Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยมีความพร้อมในการกลับบ้านและการดูแลตัวเองด้วยความมั่นใจ
  • ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนทางจิตใจและมีแผนการดูแลต่อเนื่อง
  • ครอบครัวและผู้ดูแลมีความรู้และทักษะในการช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการและการดูแลตัวเองได้ในชีวิตประจำวัน

📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยแสดงความพร้อมในการกลับบ้านและการดูแลตนเองอย่างมั่นใจ
  • ผู้ป่วยสามารถบอกขั้นตอนในการดูแลอาการได้อย่างชัดเจน
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลสามารถสนับสนุนผู้ป่วยในกระบวนการดูแลต่อเนื่องได้
  • การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษามีความชัดเจนและสม่ำเสมอ

🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F44.5F10I-1: ประเมินความพร้อมของผู้ป่วยในการกลับบ้านและการดูแลตนเอง
  • F44.5F10I-2: สอนผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการดูแลอาการชักทางจิตใจและการปฏิบัติตัวที่บ้าน
  • F44.5F10I-3: จัดทำแผนการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาลพร้อมการสนับสนุนทางจิตใจอย่างต่อเนื่อง
  • F44.5F10I-4: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าถึงการรักษาทางจิตใจและการสนับสนุนจากกลุ่มหรือองค์กรต่าง ๆ
  • F44.5F10I-5: ติดตามผลการรักษาผ่านการนัดหมายหรือช่องทางที่สะดวกในการดูแลต่อเนื่อง
  • F44.5F10I-6: สอนวิธีการจัดการกับความเครียดและอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลับบ้านและการดูแลตัวเอง

✅ Response (การตอบสนอง)

  • F44.5F10R-1: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจในการกลับบ้านและการดูแลตัวเอง
  • F44.5F10R-2: ผู้ป่วยสามารถอธิบายแผนการดูแลตัวเองและรู้วิธีจัดการกับอาการ
  • F44.5F10R-3: ครอบครัวหรือผู้ดูแลสามารถสนับสนุนผู้ป่วยได้ตามแผนการดูแลที่ได้รับ
  • F44.5F10R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวมีการสื่อสารที่ดีและเข้าใจในแผนการดูแลต่อเนื่อง

……………………………………………………….

เอกสารอ้างอิง

  • คณะกรรมการวิจัยด้านจิตเวชศาสตร์แห่งประเทศไทย. (2558). การวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการชักทางจิตใจ (Psychogenic Seizures). กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนวิจัยแห่งชาติ.
  • หมอวิชัย ศรีธนะโชติ. (2560). โรคจิตและความผิดปกติทางจิตเวช: แนวทางการรักษาผู้ป่วยและการดูแลที่บ้าน. กรุงเทพฯ: บริษัทจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
  • Reuber, M., & Elger, C. E. (2003). Psychogenic seizures: Review and update on diagnosis and management. Seizure, 12(5), 289-295.DOI: 10.1016/S1059-1311(03)00047-0
  • Baker, G. A., & Jozefowicz, E. L. (2000). Psychogenic seizures: A clinical perspective. Epilepsia, 41(1), 6-10.DOI: 10.1111/j.1528-1157.2000.tb02031.x

…………………………………………………………….