🔥จุดสำคัญ:
- ไม่ใช่โรคลมชัก
- เกิดจากความเครียดหรือปัญหาทางจิตใจ
- พบมากในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่เครียด
🔥ปัจจัยที่ทำให้เกิด
- ความเครียดสะสม / ภาวะวิตกกังวล
- ปัญหาครอบครัว หรือความสัมพันธ์
- เคยมีประสบการณ์เจ็บปวดทางอารมณ์
- โรคทางจิตเวช เช่น PTSD หรือซึมเศร้า
💊การรักษา
- จิตบำบัด (Cognitive Behavioral Therapy - CBT)
- การให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางจิตใจ
- ฝึกการควบคุมอารมณ์และผ่อนคลายความเครียด
- ไม่ใช้ยากันชัก เพราะไม่ใช่โรคลมชัก
👩⚕️การพยาบาล
- ประเมินอาการเพื่อแยกจากลมชักจริง
- สังเกตช่วงเวลา ลักษณะ และปัจจัยกระตุ้น
- ให้ความรู้ผู้ป่วยและครอบครัวว่า “ไม่ได้แกล้ง”
- ส่งต่อทีมจิตเวช เพื่อดูแลต่อเนื่อง
👨👩👧👦การดูแลสำหรับบุคคลทั่วไป
- ✅ อย่าตกใจหรือด่วนสรุปว่าแกล้ง
- ✅ อยู่ใกล้เพื่อดูแล ไม่จับร่างกายแรง ๆ
- ✅ พูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงสงบ
- ✅ เมื่ออาการสงบ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย
- ✅ ให้กำลังใจและเข้าใจ ไม่ตัดสิน
......................................................................
วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคอาการชักทางจิตใจ
(Psychogenic
Seizures)
- F44.5F1 มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากอาการชัก เช่น บาดเจ็บจากการล้ม หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว (Risk for injury related to psychogenic seizure episodes such as falling or environmental hazards)
- F44.5F2 มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในการรับมือกับความเครียด (Ineffective coping related to emotional distress or unresolved psychological trauma)
- F44.5F3 มีความวิตกกังวลอย่างมากก่อนหรือระหว่างการเกิดอาการ (Anxiety related to fear of seizure episodes or uncertainty about the condition)
- F44.5F4 มีความเสี่ยงต่อการแยกตัวทางสังคมเนื่องจากการตีตราจากสังคมหรือความไม่เข้าใจของคนรอบข้าง (Risk for social isolation related to stigma or lack of social support)
- F44.5F5 มีความไม่รู้เกี่ยวกับโรคของตนเองและการจัดการอาการ (Deficient knowledge related to the nature of psychogenic seizures and appropriate self-care)
- F44.5F6 มีภาวะซึมเศร้า (Depressed mood)(This may co-exist with psychogenic seizures and influence episode frequency and recovery.)
- F44.5F7 มีความเสี่ยงต่อการได้รับยาที่ไม่จำเป็น เช่น ยากันชักที่ไม่จำเป็นในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคลมชัก (Risk for inappropriate medication use related to misdiagnosis or misunderstanding of the condition)
- F44.5F8 มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเข้าใจผิดระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษา (Risk for impaired communication among patient, family, and healthcare providers)
- F44.5F9 ขาดการสนับสนุนทางจิตใจหรือสังคมที่เพียงพอในการดูแลต่อเนื่อง (Ineffective family or social support system in long-term psychological care)
- F44.5F10 ขาดความพร้อมในการกลับบ้านหรือใช้ชีวิตตามปกติอย่างมั่นใจ (Readiness for enhanced self-care or discharge planning with continued psychological support needs)
.......................................................................................
🩺F44.5F1 มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากอาการชัก
เช่น บาดเจ็บจากการล้ม หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว (Risk for injury related to
psychogenic seizure episodes such as falling or environmental hazards)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่า “รู้สึกเหมือนจะเป็นลมก่อนชัก”
- มีประวัติอาการชักจากภาวะเครียดซ้ำ ๆ
O:
- สังเกตเห็นอาการเกร็ง หายใจเร็ว หรือหมดแรงก่อนเกิดชัก
- ผู้ป่วยเคยล้มจากอาการชัก 1-2 ครั้ง
- สิ่งแวดล้อมมีเฟอร์นิเจอร์/มุมแหลม เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- ไม่มีอาการแสดงของโรคลมชักจาก EEG หรือผลตรวจสมอง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยปลอดภัยจากการบาดเจ็บระหว่างเกิดอาการชัก
- สิ่งแวดล้อมรอบผู้ป่วยปลอดภัย
- ทีมพยาบาลและครอบครัวสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ไม่มีร่องรอยการล้ม/บาดเจ็บใหม่
- ผู้ป่วยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยขณะเกิดอาการ
- ครอบครัวสามารถอธิบายการดูแลเมื่อเกิดอาการได้
🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F44.5F1I-1: จัดพื้นที่โดยรอบเตียงให้ปลอดจากของแข็งหรือของมีคม ลดความเสี่ยงในการกระแทก
- F44.5F1I-2: อยู่ใกล้ผู้ป่วยเมื่อตรวจพบสัญญาณเตือน เช่น พูดวกไปวนมา หายใจเร็ว ตัวสั่น
- F44.5F1I-3: สอนญาติให้ดูแลเบื้องต้นเมื่อผู้ป่วยมีอาการ เช่น อย่ายึดแขน ขา หรือให้กัดช้อน
- F44.5F1I-4: วางเบาะรองพื้นบริเวณที่ผู้ป่วยพัก เพื่อป้องกันการกระแทกหากล้ม
- F44.5F1I-5: ประเมินสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัวหลังอาการสงบทุกครั้ง
- F44.5F1I-6: ประสานทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น จิตแพทย์ และนักกิจกรรมบำบัด เพื่อดูแลร่วม
- F44.5F1I-7: จัดทำแผนความปลอดภัยเฉพาะบุคคล (Personal Safety Plan) สำหรับผู้ป่วยร่วมกับครอบครัว
- F44.5F1I-8: บันทึกอาการและระยะเวลาแต่ละครั้งที่เกิดชัก เพื่อติดตามและวางแผนการรักษา
✅ Response (การตอบสนอง)
- F44.5F1R-1: ผู้ป่วยไม่มีบาดแผลหรืออุบัติเหตุจากการชัก
- F44.5F1R-2: ครอบครัวสามารถให้การดูแลเบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง
- F44.5F1R-3: ผู้ป่วยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเมื่อเกิดอาการ
- F44.5F1R-4: ทีมพยาบาลสามารถประเมินและรับมือกับอาการชักได้ตามแผน
- F44.5F1R-5: ไม่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินซ้ำซ้อนจากอาการชักระหว่างดูแลในโรงพยาบาล
...........................................................................
🩺F44.5F2 มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในการรับมือกับความเครียด
(Ineffective coping related to emotional distress or unresolved
psychological trauma)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ไม่รู้จะจัดการกับความเครียดยังไง”
- ผู้ป่วยรู้สึกหมดหนทาง เครียด กังวล หรือมีประวัติเหตุการณ์สะเทือนใจในอดีต
O:
- มีอาการร้องไห้ หงุดหงิด หรือแยกตัว
- เกิดอาการชักหลังมีความเครียดหรือขัดแย้ง
- ใช้วิธีหลีกเลี่ยงปัญหา แสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถระบุความเครียดหรือความรู้สึกของตนได้
- ผู้ป่วยใช้วิธีจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม
- ผู้ป่วยมีพฤติกรรมตอบสนองที่สร้างสรรค์มากขึ้น
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถระบุความรู้สึกหรือสาเหตุของความเครียดได้
- มีการใช้เทคนิคคลายเครียดที่เหมาะสม
- ลดความถี่ของอาการชักที่เกิดจากความเครียด
- ไม่มีพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือแสดงอารมณ์รุนแรง
🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F44.5F2I-1: ประเมินระดับความเครียด ความกังวล และปัจจัยกระตุ้นที่เกี่ยวข้องกับอาการชัก
- F44.5F2I-2: รับฟังผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน เพื่อสร้างความไว้วางใจ
- F44.5F2I-3: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยพูดถึงความรู้สึกและปัญหาที่กดดัน
- F44.5F2I-4: แนะนำเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก การนั่งสมาธิ
- F44.5F2I-5: จัดให้มีตารางกิจกรรมเพื่อเบี่ยงเบนความคิดและลดความเครียด
- F44.5F2I-6: ประสานงานกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อให้การบำบัดทางจิต
- F44.5F2I-7: สนับสนุนการเข้าร่วมกลุ่มบำบัดหรือกลุ่มสนับสนุน (Support Group)
- F44.5F2I-8: ให้ความรู้ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับโรคและวิธีดูแลตนเอง
- F44.5F2I-9: ติดตามพฤติกรรมและความถี่ของอาการชักที่สัมพันธ์กับความเครียด
- F44.5F2I-10: ส่งเสริมการเขียนบันทึกอารมณ์ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้เท่าทันความรู้สึก
✅ Response (การตอบสนอง)
- F44.5F2R-1: ผู้ป่วยสามารถระบุปัจจัยกระตุ้นความเครียดได้
- F44.5F2R-2: ผู้ป่วยใช้เทคนิคผ่อนคลายเมื่อรู้สึกเครียดได้
- F44.5F2R-3: ความถี่ของอาการชักลดลงหลังจากเรียนรู้การรับมือกับความเครียด
- F44.5F2R-4: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อปัญหาอย่างสร้างสรรค์
- F44.5F2R-5: ผู้ป่วยร่วมมือในการรับบริการจิตบำบัดหรือเข้ากลุ่มบำบัด
.....................................................................
🩺F44.5F3 มีความวิตกกังวลอย่างมากก่อนหรือระหว่างการเกิดอาการ
(Anxiety related to fear of seizure episodes or uncertainty about the
condition)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “กลัวว่าจะชักอีก” หรือ “ไม่รู้ว่าจะเกิดอาการเมื่อไหร่”
- รู้สึกกระวนกระวาย หายใจเร็ว ใจสั่น
O:
- สังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย เหงื่อออก หายใจถี่
- ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างที่เคยทำได้
- มีอาการชักถี่ขึ้นในช่วงที่มีความเครียดสูง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาการชัก
- ผู้ป่วยเรียนรู้และใช้เทคนิคจัดการความวิตกกังวลได้
- ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมตามปกติได้มากขึ้น
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ระดับความวิตกกังวลลดลง (ประเมินด้วยสเกลหรือพฤติกรรม)
- ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีผ่อนคลายที่ได้ผลกับตนเอง
- จำนวนครั้งของอาการชักลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น
- ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์หรือทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น
🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F44.5F3I-1: ประเมินระดับความวิตกกังวลโดยใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น GAD-7
- F44.5F3I-2: สร้างความรู้สึกปลอดภัยโดยให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค
- F44.5F3I-3: ส่งเสริมการพูดคุย เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก
- F44.5F3I-4: สอนเทคนิคการหายใจลึก การนั่งสมาธิ หรือการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- F44.5F3I-5: จัดสภาพแวดล้อมให้เงียบ สงบ และลดสิ่งเร้าที่กระตุ้นความกังวล
- F44.5F3I-6: แนะนำให้เขียนบันทึกอารมณ์ เพื่อสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์กับอาการชัก
- F44.5F3I-7: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สร้างความสุข เช่น ศิลปะ ดนตรี
- F44.5F3I-8: ให้คำแนะนำครอบครัวเกี่ยวกับวิธีช่วยเหลือเมื่อลูกหลานมีอาการวิตกกังวล
- F44.5F3I-9: ประสานทีมสหวิชาชีพ เช่น นักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ ในกรณีที่มีอาการรุนแรง
- F44.5F3I-10: ติดตามผลการตอบสนองต่อการดูแล เพื่อปรับแผนการพยาบาลให้เหมาะสม
✅ Response (การตอบสนอง)
- F44.5F3R-1: ผู้ป่วยรายงานว่าความวิตกกังวลลดลง
- F44.5F3R-2: ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีผ่อนคลายได้ด้วยตนเอง
- F44.5F3R-3: จำนวนอาการชักลดลงในช่วงที่มีการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
- F44.5F3R-4: ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมหรือออกสังคมมากขึ้น
- F44.5F3R-5: ผู้ป่วยร่วมมือกับการรักษาและให้ข้อมูลความรู้สึกอย่างเปิดเผย
................................................................................
🧠F44.5F4 มีความเสี่ยงต่อการแยกตัวทางสังคมเนื่องจากการตีตราจากสังคมหรือความไม่เข้าใจของคนรอบข้าง
(Risk for social isolation related to stigma or lack of social support)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ไม่อยากพบใคร เพราะกลัวคนจะมองว่าเป็นบ้า”
- ผู้ป่วยรู้สึกว่าคนรอบข้างไม่เข้าใจ ไม่อยากอยู่ใกล้
O:
- ผู้ป่วยอยู่เงียบ ๆ ไม่พูดคุยกับใคร
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลุ่มหรือปฏิเสธการพบปะผู้อื่น
- มีความสัมพันธ์ทางสังครน้อยลงอย่างชัดเจน
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้
- ผู้ป่วยรู้สึกได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากครอบครัวหรือกลุ่มสังคม
- ลดความรู้สึกแปลกแยกหรือโดดเดี่ยวของผู้ป่วย
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยมีการพูดคุยหรือเข้าสังคมเพิ่มขึ้น
- ผู้ป่วยร่วมกิจกรรมกับผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
- ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกมีคนเข้าใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง
- ครอบครัวหรือผู้ดูแลเข้าใจและให้การสนับสนุนมากขึ้น
🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F44.5F4I-1: ประเมินความรู้สึกของผู้ป่วยเกี่ยวกับการตีตราและความกลัวจากสังคม
- F44.5F4I-2: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเล่าความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการถูกปฏิเสธหรือเข้าใจผิด
- F44.5F4I-3: สนับสนุนผู้ป่วยในการแสดงออกถึงความสามารถหรือความสนใจของตนเอง
- F44.5F4I-4: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือกิจกรรมที่มีผู้ป่วยภาวะคล้ายกัน
- F44.5F4I-5: ให้คำปรึกษาครอบครัวเกี่ยวกับโรคเพื่อช่วยลดอคติและเพิ่มการเข้าใจ
- F44.5F4I-6: ประสานงานกับทีมสังคมสงเคราะห์หรือกลุ่มจิตสังคมเพื่อหากลุ่มสนับสนุนในชุมชน
- F44.5F4I-7: ใช้การสร้างพลังใจ (Empowerment) โดยเน้นจุดแข็งของผู้ป่วย
- F44.5F4I-8: เฝ้าระวังสัญญาณของภาวะซึมเศร้าหรือการแยกตัวรุนแรง
- F44.5F4I-9: กระตุ้นให้ผู้ป่วยสื่อสารกับบุคคลที่ไว้วางใจ
- F44.5F4I-10: สร้างแผนส่งต่อหากพบว่าผู้ป่วยมีภาวะแยกตัวต่อเนื่องหรือดิ่งลึก
✅ Response (การตอบสนอง)
- F44.5F4R-1: ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มหรือสังคมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์
- F44.5F4R-2: ผู้ป่วยสามารถพูดคุยถึงความรู้สึกของตนเองอย่างเปิดเผยมากขึ้น
- F44.5F4R-3: ผู้ป่วยมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นในการเข้าสังคมหรือแสดงออก
- F44.5F4R-4: ครอบครัวหรือผู้ดูแลแสดงท่าทีสนับสนุนและลดอคติต่อโรค
- F44.5F4R-5: ไม่มีพฤติกรรมแยกตัวรุนแรงหรือลดลงอย่างชัดเจน
.......................................................
🧠F44.5F5 มีความไม่รู้เกี่ยวกับโรคของตนเองและการจัดการอาการ
(Deficient knowledge related to the nature of psychogenic seizures and
appropriate self-care)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าอาการชักแบบนี้มาจากอะไร”
- ผู้ป่วยถามซ้ำเกี่ยวกับวิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ
O:
- ผู้ป่วยไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับโรคหรืออาการของตนเองได้
- ผู้ป่วยไม่มีแผนจัดการตนเองเมื่อมีอาการเกิดขึ้น
- พบว่าผู้ป่วยมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เช่น คิดว่าเป็นลมชักจริง (Epilepsy)
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีความเข้าใจโรคและอาการของตนเองอย่างถูกต้อง
- ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีดูแลตนเองเบื้องต้นได้
- ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการรับมือกับอาการ
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายว่าอาการชักทางจิตใจแตกต่างจากโรคลมชักได้
- ผู้ป่วยสามารถระบุวิธีรับมือที่เหมาะสมเมื่อเกิดอาการ
- ผู้ป่วยมีความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม
- ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคเช่นกัน
🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F44.5F5I-1: ประเมินความรู้ ความเชื่อ และความเข้าใจเดิมของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคและอาการ
- F44.5F5I-2: อธิบายความแตกต่างระหว่าง Psychogenic Seizures กับโรคลมชัก (Epilepsy)
- F44.5F5I-3: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุ กลไก และการแสดงอาการของโรคด้วยภาษาง่าย
- F44.5F5I-4: สอนวิธีปฏิบัติตัวเมื่อมีอาการ เช่น หาที่ปลอดภัย หายใจช้า ๆ
- F44.5F5I-5: จัดทำคู่มือหรือแผ่นพับที่อธิบายวิธีดูแลตนเองในสถานการณ์ต่าง ๆ
- F44.5F5I-6: แนะนำให้จดบันทึกเหตุการณ์ก่อนเกิดอาการ เพื่อช่วยระบุปัจจัยกระตุ้น
- F44.5F5I-7: ให้คำแนะนำเรื่องการจัดการความเครียด เช่น ฝึกผ่อนคลายหรือหายใจลึก
- F44.5F5I-8: กระตุ้นให้ผู้ป่วยซักถามเมื่อไม่เข้าใจ เพื่อเสริมความมั่นใจ
- F44.5F5I-9: ให้ครอบครัวหรือผู้ดูแลเข้าร่วมกิจกรรมการให้ความรู้ด้วย
- F44.5F5I-10: ติดตามผลหลังการให้ข้อมูลเพื่อประเมินการเข้าใจและปรับแผนตามความเหมาะสม
✅ Response (การตอบสนอง)
- F44.5F5R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายเกี่ยวกับโรคและแยกแยะกับโรคลมชักได้อย่างถูกต้อง
- F44.5F5R-2: ผู้ป่วยสามารถระบุแนวทางรับมือเมื่อเกิดอาการได้ด้วยตนเอง
- F44.5F5R-3: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจเพิ่มขึ้นในการดูแลตนเอง
- F44.5F5R-4: ครอบครัวมีความเข้าใจโรคมากขึ้นและให้การดูแลสนับสนุนที่เหมาะสม
- F44.5F5R-5: อาการลดลงจากการหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นและใช้วิธีจัดการที่ถูกต้อง
…………………………………………………………..
🧠F44.5F6 มีภาวะซึมเศร้า (Depressed mood)
(This may co-exist with psychogenic seizures and influence episode frequency
and recovery.)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยบอกว่า "รู้สึกเหนื่อย หมดกำลังใจ ทำอะไรก็ไม่สนุก"
- ผู้ป่วยมีการนอนหลับไม่เพียงพอ บ่นเกี่ยวกับความเครียด
- ผู้ป่วยแสดงอาการเศร้า ไม่กระตือรือร้นในการทำกิจกรรม
- ผู้ป่วยพูดถึงความคิดเชิงลบเกี่ยวกับตนเองและอนาคต
O:
- พบผู้ป่วยมีท่าทางเหงาหรือเศร้า
- มีการลดลงของการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การออกกำลังกาย การติดต่อสื่อสารกับคนรอบข้าง
- พบว่าผู้ป่วยไม่สนใจเรื่องสุขภาพหรือการดูแลตนเอง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถระบุอารมณ์และอาการซึมเศร้าของตนเองได้
- ผู้ป่วยสามารถแสดงอาการดีขึ้นและมีทัศนคติที่ดีขึ้นเกี่ยวกับชีวิต
- ผู้ป่วยมีการนอนหลับที่เพียงพอและมีพลังในการทำกิจกรรมประจำวัน
- ผู้ป่วยสามารถระบุวิธีรับมือกับภาวะซึมเศร้าได้ เช่น การพูดคุยกับผู้ดูแลหรือการฝึกผ่อนคลาย
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายและระบุถึงอารมณ์ซึมเศร้าของตนเอง
- ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการนอนและกิจกรรมที่ทำ
- อาการซึมเศร้าลดลง และผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้มากขึ้น
- ผู้ป่วยแสดงทัศนคติที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการจัดการกับโรคและการดูแลตนเอง
🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F44.5F6I-1: ประเมินระดับความซึมเศร้าของผู้ป่วยโดยใช้เครื่องมือประเมินที่เหมาะสม เช่น PHQ-9
- F44.5F6I-2: สนับสนุนให้ผู้ป่วยแสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกอย่างเปิดเผย
- F44.5F6I-3: สอนวิธีการจัดการกับภาวะซึมเศร้าด้วยการพูดคุยหรือฝึกการผ่อนคลาย
- F44.5F6I-4: แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น เช่น การเดินเล่น
- F44.5F6I-5: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการนอนหลับที่ดีและการสร้างกิจวัตรประจำวันที่สมดุล
- F44.5F6I-6: แนะนำให้ผู้ป่วยรับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ป่วยหรือกลุ่มบำบัดที่เชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า
- F44.5F6I-7: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยติดต่อหรือพูดคุยกับครอบครัวและเพื่อนเพื่อเพิ่มการสนับสนุนทางสังคม
- F44.5F6I-8: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับมุมมองเชิงบวกในชีวิตและการมองหาสิ่งดี ๆ ในแต่ละวัน
- F44.5F6I-9: ให้การสนับสนุนในระยะยาว โดยติดตามอาการและปรับแผนการดูแลตามความเหมาะสม
- F44.5F6I-10: ร่วมมือกับทีมสุขภาพจิตเพื่อประเมินและวางแผนการรักษาต่อเนื่อง
✅ Response (การตอบสนอง)
- F44.5F6R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายอารมณ์และอาการซึมเศร้าของตนเองได้ชัดเจน
- F44.5F6R-2: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่กระตือรือร้นและมีทัศนคติที่ดีขึ้น
- F44.5F6R-3: การนอนหลับของผู้ป่วยดีขึ้น และมีพลังในการทำกิจกรรมประจำวัน
- F44.5F6R-4: ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอารมณ์เศร้าได้ดีขึ้นด้วยการใช้วิธีที่ได้เรียนรู้
- F44.5F6R-5: ผู้ป่วยแสดงการมีส่วนร่วมในการรักษาต่อเนื่องและการสนับสนุนทางสังคมเพิ่มขึ้น
……………………………………………………………..
🧠F44.5F7 มีความเสี่ยงต่อการได้รับยาที่ไม่จำเป็น
(Risk for inappropriate medication use related to misdiagnosis or
misunderstanding of the condition)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยโรคลมชักจากแพทย์โดยไม่ตรวจสอบสาเหตุของการชักอย่างละเอียด
- ผู้ป่วยได้รับการจ่ายยากันชักแม้จะไม่พบประวัติหรืออาการที่ชัดเจนของโรคลมชัก
- ผู้ป่วยหรือครอบครัวไม่เข้าใจว่าการชักที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากโรคลมชัก
O:
- ผู้ป่วยรับยาโดยไม่ได้รับการประเมินการวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- มีการใช้ยากันชักที่ไม่จำเป็น และไม่มีการประเมินผลข้างเคียงจากยา
- ผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงจากยากันชัก เช่น อาการเวียนหัวหรืออ่อนเพลีย
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยได้รับการประเมินและวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ยาที่ผู้ป่วยได้รับจะเป็นยาที่เหมาะสมและจำเป็นตามโรคที่แท้จริง
- ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจถึงโรคและการรักษา และรู้วิธีการรับมือกับอาการ
- ไม่มีการใช้ยากันชักที่ไม่จำเป็นในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคลมชัก
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาการชัก
- ผู้ป่วยได้รับยาที่เหมาะสมตามการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
- ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการรักษา
- ไม่มีการใช้ยากันชักที่ไม่จำเป็นในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคลมชัก
🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F44.5F7I-1: ประเมินประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยและตรวจสอบการวินิจฉัยการชักที่ถูกต้อง
- F44.5F7I-2: ทำงานร่วมกับแพทย์ในการตรวจสอบว่าอาการชักที่เกิดขึ้นเป็นผลจากโรคลมชักหรือไม่
- F44.5F7I-3: ตรวจสอบการใช้ยาและประเมินว่าผู้ป่วยได้รับยาที่ไม่จำเป็นหรือไม่
- F44.5F7I-4: อธิบายให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับการรักษา และการใช้ยาที่เหมาะสม
- F44.5F7I-5: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากยาและการปฏิบัติตนเมื่อใช้ยา
- F44.5F7I-6: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการติดตามผลการรักษาและการทบทวนการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
- F44.5F7I-7: ส่งต่อผู้ป่วยให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เพื่อการประเมินอย่างละเอียดหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา
- F44.5F7I-8: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทางเลือกการรักษาที่ไม่เกี่ยวข้องกับยากันชัก เช่น การบำบัดทางจิต
✅ Response (การตอบสนอง)
- F44.5F7R-1: ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- F44.5F7R-2: ไม่มีการใช้ยากันชักที่ไม่จำเป็นและผู้ป่วยได้รับยาเหมาะสมตามโรค
- F44.5F7R-3: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายการรักษาและการใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
- F44.5F7R-4: ผู้ป่วยไม่พบผลข้างเคียงจากการใช้ยา
- F44.5F7R-5: ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจและเข้าใจวิธีการจัดการกับอาการชักและการรักษา
……………………………………………………….
🧠F44.5F8 มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเข้าใจผิดระหว่างผู้ป่วย
ครอบครัว และทีมรักษา (Risk for impaired communication among patient,
family, and healthcare providers)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการชักและการรักษา
- ครอบครัวของผู้ป่วยไม่เข้าใจการวินิจฉัยและการรักษาอย่างถูกต้อง
- ทีมรักษามีการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการรักษาและความคืบหน้า
O:
- ผู้ป่วยและครอบครัวมีความสับสนเกี่ยวกับสาเหตุของอาการและวิธีการจัดการ
- การสื่อสารระหว่างทีมรักษาและครอบครัวไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ป่วยไม่สามารถอธิบายอาการของตนเองได้อย่างชัดเจน
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษาเป็นไปอย่างเข้าใจและชัดเจน
- ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจการวินิจฉัยและการรักษาอย่างถูกต้อง
- ทีมรักษาสามารถอธิบายแผนการรักษาและการดูแลได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
- ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาได้โดยไม่มีความสับสน
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายการวินิจฉัยและการรักษาได้ถูกต้อง
- การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีความเข้าใจผิด
- ทีมรักษาสามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างชัดเจนและมีความเข้าใจร่วมกันกับผู้ป่วยและครอบครัว
🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F44.5F8I-1: อธิบายการวินิจฉัยและแผนการรักษาให้กับผู้ป่วยและครอบครัวด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
- F44.5F8I-2: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจการรักษาและอาการของโรค
- F44.5F8I-3: จัดการประชุมร่วมกับทีมรักษาและครอบครัวเพื่ออธิบายแผนการรักษาและคุยถึงความคืบหน้า
- F44.5F8I-4: ใช้สื่อที่ช่วยอธิบายการรักษา เช่น โปสเตอร์ หรือแผ่นพับ ที่ให้ข้อมูลชัดเจนและเข้าใจง่าย
- F44.5F8I-5: ส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดเผยและไม่มีอุปสรรคระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษา
- F44.5F8I-6: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการติดตามการรักษาและวิธีการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน
✅ Response (การตอบสนอง)
- F44.5F8R-1: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายการวินิจฉัยและการรักษาได้อย่างถูกต้อง
- F44.5F8R-2: การสื่อสารระหว่างทีมรักษาและครอบครัวเป็นไปอย่างชัดเจนและไม่มีความเข้าใจผิด
- F44.5F8R-3: ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแผนการรักษา
- F44.5F8R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวรู้สึกมั่นใจในการปฏิบัติตามแผนการรักษา
- F44.5F8R-5: การติดตามผลการรักษามีการสื่อสารที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพระหว่างทุกฝ่าย
………………………………………………………………..
🧠F44.5F9 ขาดการสนับสนุนทางจิตใจหรือสังคมที่เพียงพอในการดูแลต่อเนื่อง
(Ineffective family or social support system in long-term psychological
care)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่าไม่มีการสนับสนุนจากครอบครัวหรือเพื่อน
- ครอบครัวไม่สามารถให้การดูแลหรือช่วยเหลือผู้ป่วยในระยะยาวได้
- ผู้ป่วยรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มีแหล่งสนับสนุนทางสังคมที่เพียงพอ
O:
- ขาดการสนับสนุนทางจิตใจจากครอบครัว
- ผู้ป่วยไม่มีแหล่งสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนหรือองค์กรที่ให้การช่วยเหลือ
- ไม่มีการติดต่อหรือการติดตามผลการรักษาในระยะยาวจากครอบครัวหรือผู้ดูแล
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนทางจิตใจและสังคมจากครอบครัวหรือกลุ่มสนับสนุน
- ครอบครัวและผู้ป่วยสามารถทำงานร่วมกันในการจัดการอาการและการรักษาในระยะยาว
- สร้างแหล่งสนับสนุนทางสังคมให้กับผู้ป่วยที่สามารถใช้ได้ในระยะยาว
- ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีคนให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในกระบวนการรักษา
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ครอบครัวหรือกลุ่มสนับสนุนสามารถให้การดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วยได้ตามคำแนะนำจากทีมรักษา
- ผู้ป่วยมีแหล่งสนับสนุนทางจิตใจและสังคมที่สามารถเข้าถึงได้ในระยะยาว
- การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษามีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยรายงานว่าได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนจากครอบครัวและกลุ่มสังคม
🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F44.5F9I-1: ประเมินความสามารถของครอบครัวในการให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือ
- F44.5F9I-2: แนะนำและจัดการเชื่อมโยงผู้ป่วยกับกลุ่มสนับสนุนทางสังคม เช่น กลุ่มผู้ป่วยหรือองค์กรช่วยเหลือ
- F44.5F9I-3: สอนครอบครัวเกี่ยวกับการดูแลและการสนับสนุนผู้ป่วยที่มีอาการชักทางจิตใจ
- F44.5F9I-4: ช่วยสร้างแหล่งสนับสนุนทางจิตใจให้กับผู้ป่วย เช่น การเยี่ยมเยียนจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ให้คำปรึกษา
- F44.5F9I-5: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับปรุงการสื่อสารภายในครอบครัวเพื่อการสนับสนุนที่ดีขึ้น
- F44.5F9I-6: ช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสร้างแผนการดูแลระยะยาวและติดตามผลการรักษา
✅ Response (การตอบสนอง)
- F44.5F9R-1: ผู้ป่วยรายงานการได้รับการสนับสนุนทางจิตใจจากครอบครัวหรือกลุ่มสนับสนุน
- F44.5F9R-2: ครอบครัวสามารถให้การดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- F44.5F9R-3: ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีแหล่งสนับสนุนทางสังคมที่สามารถเข้าถึงได้
- F44.5F9R-4: การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
- F44.5F9R-5: ผู้ป่วยและครอบครัวมีแผนการดูแลระยะยาวที่สอดคล้องกับความต้องการ
…………………………………………………………..
🧠F44.5F10 ขาดความพร้อมในการกลับบ้านหรือใช้ชีวิตตามปกติอย่างมั่นใจ
(Readiness for enhanced self-care or discharge planning with continued
psychological support needs)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่าไม่มั่นใจในการกลับบ้านและต้องการการสนับสนุนทางจิตใจต่อเนื่อง
- ผู้ป่วยรู้สึกว่าการกลับไปใช้ชีวิตประจำวันยังมีความท้าทายและไม่มั่นคง
- ผู้ป่วยยอมรับการรักษาและมีความต้องการในการได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมในด้านการดูแลตนเอง
O:
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเองได้บางส่วน
- ผู้ป่วยไม่มีความมั่นใจในความสามารถของตนเองในการกลับบ้านและดูแลอาการ
- ครอบครัวหรือผู้ดูแลไม่มั่นใจในการจัดการอาการของผู้ป่วยในระยะยาว
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีความพร้อมในการกลับบ้านและการดูแลตัวเองด้วยความมั่นใจ
- ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนทางจิตใจและมีแผนการดูแลต่อเนื่อง
- ครอบครัวและผู้ดูแลมีความรู้และทักษะในการช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการและการดูแลตัวเองได้ในชีวิตประจำวัน
📏 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยแสดงความพร้อมในการกลับบ้านและการดูแลตนเองอย่างมั่นใจ
- ผู้ป่วยสามารถบอกขั้นตอนในการดูแลอาการได้อย่างชัดเจน
- ครอบครัวหรือผู้ดูแลสามารถสนับสนุนผู้ป่วยในกระบวนการดูแลต่อเนื่องได้
- การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมรักษามีความชัดเจนและสม่ำเสมอ
🛡️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F44.5F10I-1: ประเมินความพร้อมของผู้ป่วยในการกลับบ้านและการดูแลตนเอง
- F44.5F10I-2: สอนผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการดูแลอาการชักทางจิตใจและการปฏิบัติตัวที่บ้าน
- F44.5F10I-3: จัดทำแผนการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาลพร้อมการสนับสนุนทางจิตใจอย่างต่อเนื่อง
- F44.5F10I-4: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าถึงการรักษาทางจิตใจและการสนับสนุนจากกลุ่มหรือองค์กรต่าง ๆ
- F44.5F10I-5: ติดตามผลการรักษาผ่านการนัดหมายหรือช่องทางที่สะดวกในการดูแลต่อเนื่อง
- F44.5F10I-6: สอนวิธีการจัดการกับความเครียดและอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลับบ้านและการดูแลตัวเอง
✅ Response (การตอบสนอง)
- F44.5F10R-1: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจในการกลับบ้านและการดูแลตัวเอง
- F44.5F10R-2: ผู้ป่วยสามารถอธิบายแผนการดูแลตัวเองและรู้วิธีจัดการกับอาการ
- F44.5F10R-3: ครอบครัวหรือผู้ดูแลสามารถสนับสนุนผู้ป่วยได้ตามแผนการดูแลที่ได้รับ
- F44.5F10R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวมีการสื่อสารที่ดีและเข้าใจในแผนการดูแลต่อเนื่อง
……………………………………………………….
เอกสารอ้างอิง
- คณะกรรมการวิจัยด้านจิตเวชศาสตร์แห่งประเทศไทย. (2558). การวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการชักทางจิตใจ (Psychogenic Seizures). กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนวิจัยแห่งชาติ.
- หมอวิชัย ศรีธนะโชติ. (2560). โรคจิตและความผิดปกติทางจิตเวช: แนวทางการรักษาผู้ป่วยและการดูแลที่บ้าน. กรุงเทพฯ: บริษัทจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
- Reuber, M., & Elger, C. E. (2003). Psychogenic seizures: Review and update on diagnosis and management. Seizure, 12(5), 289-295.DOI: 10.1016/S1059-1311(03)00047-0
- Baker, G. A., & Jozefowicz, E. L. (2000). Psychogenic seizures: A clinical perspective. Epilepsia, 41(1), 6-10.DOI: 10.1111/j.1528-1157.2000.tb02031.x
…………………………………………………………….