เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568

EP.47 จิตเวชหัวข้อ 7: ผู้ป่วยโรคลงแดงจากการเลิกเหล้า Alcohol Withdrawal Delirium - F10.4

 

Psych. Topic 7: Alcohol Withdrawal Delirium - F10.4

          โรคลงแดงจากการเลิกเหล้า" (Alcohol Withdrawal Delirium - F10.4) อันตรายกว่าที่คิด! การหยุดดื่มเหล้ากะทันหันในผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง อาจทำให้เกิด "โรคลงแดง" ซึ่งมีอาการรุนแรง เช่น สับสน คลุ้มคลั่ง ประสาทหลอน และอาจถึงชีวิตได้

🧠พยาธิสภาพ (เกิดขึ้นได้อย่างไร?)

  • เมื่อร่างกายคุ้นชินกับแอลกอฮอล์ สมองจะปรับตัวให้ทำงานภายใต้อิทธิพลของสุรา
  • เมื่อหยุดดื่มทันที สารเคมีในสมองไม่สมดุล
  • อาจเกิดอาการถอนสุรา เช่น กระสับกระส่าย ตัวสั่น
  • ในบางรายอาจเกิดอาการประสาทหลอนหรือชัก

⚠️ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคลงแดง

  • ดื่มสุราเรื้อรัง เป็นเวลาหลายปี
  • เคยมีอาการถอนสุรารุนแรง มาก่อน
  • หยุดดื่มกะทันหัน หรือดื่มน้อยลงอย่างรวดเร็ว
  • มีโรคประจำตัว เช่น โรคลมชัก หรือภาวะขาดสารอาหาร
  • พักผ่อนน้อย ขาดสารอาหาร หรือมีภาวะเครียดสูง

🏥การรักษา (ทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการ?)

  • พบแพทย์ทันทีหากมีอาการรุนแรง! การรักษาที่สำคัญ ได้แก่:
  • ให้ยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines) เพื่อลดอาการสั่นและชัก
  • ให้น้ำเกลือและวิตามิน B1 (Thiamine) เพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมจากแอลกอฮอล์
  • เฝ้าระวังอาการในโรงพยาบาล เพราะอาการลงแดงอาจรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต

👩‍⚕การพยาบาล (แนวทางดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะลงแดง)

  • ดูแลให้ปลอดภัย ป้องกันอุบัติเหตุจากอาการสับสนหรือชัก
  • เฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความดันโลหิต หัวใจเต้นเร็ว และภาวะขาดน้ำ
  • ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว เกี่ยวกับการเลิกเหล้าอย่างปลอดภัย
  • สนับสนุนด้านจิตใจ ลดความเครียดและช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย

🏡การดูแลสำหรับบุคคลทั่วไป (หากพบคนใกล้ตัวมีอาการต้องทำอย่างไร?)

  • อย่าปล่อยให้ผู้ที่เลิกเหล้ากะทันหันอยู่ตามลำพัง อาการอาจทรุดหนักและเป็นอันตราย
  • พาไปพบแพทย์ทันที หากมีอาการตัวสั่น คลุ้มคลั่ง หรือเห็นภาพหลอน
  • ช่วยให้ดื่มน้ำและอาหารอ่อนๆ เพื่อลดภาวะขาดน้ำและพลังงาน
  • พูดให้กำลังใจ ลดความเครียด หลีกเลี่ยงการตำหนิ เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยวิตกกังวลมากขึ้น
  • หากจำเป็น ควรพาผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อป้องกันอันตราย

.............................................................................................

วินิจฉัยการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคลงแดงจากการเลิกเหล้า (ภาวะเพ้อคลั่งจากการถอนแอลกอฮอล์)

  1. F10.4F1 ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการชัก (Risk for injury due to seizures)
  2. F10.4F2 ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากอาการผิดปกติทางระบบประสาท (Risk for injury due to neurological abnormalities)
  3. F10.4F3 ภาวะการเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ (Altered cognition - Confusion or disorientation)
  4. F10.4F4 ภาวะการขาดน้ำหรือการเสียน้ำ (Fluid volume deficit or dehydration)
  5. F10.4F5 ภาวะวิตกกังวลหรือเครียด (Anxiety or stress)
  6. F10.4F6 ภาวะความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากระบบหายใจ (Risk for respiratory complications)
  7. F10.4F7 ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมจากการขาดสารอาหาร (Risk for cognitive impairment due to nutritional deficiencies)
  8. F10.4F8 ภาวะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการหลงผิดหรือประสาทหลอน (Risk for injury due to hallucinations or delusions)
  9. F10.4F9 ภาวะไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ (Impaired ability to perform activities of daily living)
  10. F10.4F10 ภาวะเสี่ยงต่อการเสพติดแอลกอฮอล์ในอนาคต (Risk for relapse into alcohol addiction)
  11. F10.4F11 การเตรียมตัวสำหรับการจำหน่ายจากโรงพยาบาล (Discharge planning)

.....................................................................................

F10.4F1 ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการชัก (Risk for injury due to seizures)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยมีประวัติการถอนแอลกอฮอล์หรือการใช้สารเสพติด
  • การถอนแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดอาจกระตุ้นให้เกิดการชัก

O:

  • สังเกตอาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติ เช่น สับสน, ภาวะหลงผิด
  • ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดการชักจากการถอนแอลกอฮอล์หรือยา
  • มีประวัติการชักในอดีตจากการถอนแอลกอฮอล์หรือยา

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยจะไม่มีการบาดเจ็บจากอาการชัก
  • ผู้ป่วยจะได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดการชัก
  • ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจและร่างกายได้หลังจากการชัก

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ไม่มีอาการชักหรือการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหลังการถอนแอลกอฮอล์
  • ความสับสนหรือภาวะหลงผิดลดลง
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บจากการชักลดลง

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F1I-1: เฝ้าระวังอาการชักของผู้ป่วยทุกชั่วโมง และบันทึกการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง
  • F10.4F1I-2: ให้การช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้ปลอดภัยเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการชัก
  • F10.4F1I-3: ให้ยาตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดอาการชัก หรือผิดปกติทางระบบประสาท
  • F10.4F1I-4: เฝ้าระวังภาวะการขาดน้ำและเก็บข้อมูลทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการชักหรือการเสี่ยง
  • F10.4F1I-5: สอนให้ผู้ป่วยและครอบครัวรู้วิธีการจัดการหากเกิดการชัก หรือภาวะผิดปกติทางระบบประสาท
  • F10.4F1I-6: ให้การสนับสนุนทางจิตใจ และเฝ้าระวังอาการวิตกกังวลจากการถอนแอลกอฮอล์
  • F10.4F1I-7: จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าที่ปลอดภัย และสะดวกในการตรวจสอบสัญญาณชีพและการเคลื่อนไหว

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F1R-1: ผู้ป่วยไม่มีอาการชักหรือมีอาการชักที่ไม่ได้รับอันตราย
  • F10.4F1R-2: ผู้ป่วยมีภาวะสับสนลดลงและสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
  • F10.4F1R-3: ผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับการจัดการภาวะชัก และมีการปฏิบัติที่ปลอดภัย

................................................................................

F10.4F2 ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากอาการผิดปกติทางระบบประสาท (Risk for injury due to neurological abnormalities)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยแสดงอาการหลงผิดและหวาดระแวง
  • มีอาการทางจิตที่ผิดปกติ เช่น สับสนหรือวิตกกังวล
  • ไม่สามารถแยกแยะระหว่างความเป็นจริงและภาพหลอน

O:

  • สังเกตอาการทางจิตและความรู้สึกผิดปกติที่ผู้ป่วยแสดงออก เช่น การพูดหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่สมเหตุสมผล
  • ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาวะผิดปกติทางระบบประสาท เช่น การกระตุกของกล้ามเนื้อหรืออาการสั่น
  • ผู้ป่วยมีภาวะจิตใจที่ไม่มั่นคงและอาจเกิดการบาดเจ็บจากความสับสนหรือลืมตัว

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยจะไม่มีการบาดเจ็บจากอาการผิดปกติทางระบบประสาท เช่น การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหรือภาวะสับสน
  • ผู้ป่วยจะสามารถแยกแยะความเป็นจริงจากภาพหลอนได้ดีขึ้น
  • ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่ปลอดภัยจากอาการที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ไม่มีอาการบาดเจ็บจากความผิดปกติทางระบบประสาท
  • อาการทางจิตและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติลดลง
  • ผู้ป่วยสามารถรักษาความปลอดภัยได้ในสภาพแวดล้อมการดูแล

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F2I-1: ตรวจสอบสัญญาณชีพและเฝ้าระวังภาวะผิดปกติทางระบบประสาทที่อาจเกิดขึ้น เช่น การกระตุกกล้ามเนื้อหรืออาการสั่น
  • F10.4F2I-2: จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าที่ปลอดภัย และอยู่ในห้องที่ไม่มีสิ่งกีดขวางเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
  • F10.4F2I-3: สังเกตอาการหลงผิดหรือความสับสนและให้การช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถแยกแยะความเป็นจริงได้ดีขึ้น
  • F10.4F2I-4: ให้ยาตามแผนการรักษาเพื่อลดอาการหลงผิดและควบคุมอาการผิดปกติทางระบบประสาท
  • F10.4F2I-5: จัดให้มีการสนับสนุนทางจิตใจและพูดคุยกับผู้ป่วยเพื่อช่วยลดความวิตกกังวลและความเครียด
  • F10.4F2I-6: จัดกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อช่วยพัฒนาความสามารถในการคิดและการแยกแยะความจริงจากจินตนาการ
  • F10.4F2I-7: เฝ้าระวังการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษาและอาการที่ผิดปกติทางระบบประสาท

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F2R-1: ผู้ป่วยไม่มีอาการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหรือจากความสับสน
  • F10.4F2R-2: อาการหลงผิดและสับสนลดลง และผู้ป่วยสามารถแยกแยะความเป็นจริงได้ดีขึ้น
  • F10.4F2R-3: ผู้ป่วยแสดงการตอบสนองดีต่อการรักษาและมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทลดลง

......................................................................:

F10.4F3 ภาวะการเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ (Altered cognition - Confusion or disorientation)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยแสดงอาการสับสนหรือหลงผิด
  • พูดจาไม่รู้เรื่องหรือไม่สามารถตอบคำถามง่ายๆ ได้ 

O:

  • การตอบสนองของผู้ป่วยต่อคำถามผิดปกติ เช่น ตอบไม่ตรงประเด็นหรือไม่เข้าใจคำถาม
  • สังเกตการเปลี่ยนแปลงในทิศทางการมองเห็นหรือความเข้าใจ
  • อาการหลงผิดหรือการจำไม่ได้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยจะสามารถตอบคำถามได้ถูกต้องและเหมาะสม
  • ผู้ป่วยจะสามารถรับรู้และแยกแยะความจริงจากจินตนาการได้ดียิ่งขึ้น
  • อาการสับสนหรือหลงผิดของผู้ป่วยจะลดลงจนสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยตอบคำถามได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
  • ไม่มีอาการสับสนหรือหลงผิดที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
  • ผู้ป่วยสามารถแยกแยะความจริงจากจินตนาการได้ดีขึ้น

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F3I-1: สังเกตอาการหลงผิดหรือสับสนของผู้ป่วยและบันทึกการเปลี่ยนแปลง
  • F10.4F3I-2: สื่อสารกับผู้ป่วยในลักษณะที่ชัดเจนและง่ายต่อการเข้าใจ เช่น ใช้คำถามที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา
  • F10.4F3I-3: ใช้เทคนิคการสร้างความเข้าใจ เช่น การบอกเวลาและสถานที่ให้ผู้ป่วยรับรู้ในช่วงที่เกิดการสับสน
  • F10.4F3I-4: จัดกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความจำและการรับรู้ของผู้ป่วย เช่น เกมการจำ หรือการพูดคุยเรื่องราวที่คุ้นเคย
  • F10.4F3I-5: ใช้การตั้งคำถามให้ผู้ป่วยตอบอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อช่วยเสริมสร้างการรับรู้
  • F10.4F3I-6: ให้ยาตามคำสั่งแพทย์เพื่อควบคุมอาการหลงผิดหรือสับสน
  • F10.4F3I-7: เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของอาการในผู้ป่วยและให้การดูแลอย่างเหมาะสม

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F3R-1: ผู้ป่วยตอบคำถามได้ถูกต้องและเหมาะสม
  • F10.4F3R-2: อาการสับสนหรือหลงผิดลดลงและผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
  • F10.4F3R-3: ผู้ป่วยสามารถแยกแยะความจริงจากจินตนาการได้ดียิ่งขึ้น
  • F10.4F3R-4: ผู้ป่วยแสดงการตอบสนองดีต่อการรักษาและสามารถติดต่อสื่อสารได้ชัดเจน

...............................................................

 F10.4F4 ภาวะการขาดน้ำหรือการเสียน้ำ (Fluid volume deficit or dehydration)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานอาการกระหายน้ำหรือรู้สึกอ่อนเพลีย
  • มีอาการปากแห้งหรือเวียนศีรษะ

O:

  • ตรวจสอบสีของปัสสาวะ (ปัสสาวะเข้ม)
  • วัดสัญญาณชีพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
  • สังเกตอาการที่บ่งชี้การขาดน้ำ เช่น ผิวแห้ง, รอยย่นบนผิวหนัง
  • สังเกตการบริโภคของเหลวของผู้ป่วย และหากมีอาการผิดปกติในการดื่มน้ำ

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยจะได้รับน้ำอย่างเพียงพอและฟื้นฟูปริมาณน้ำในร่างกาย
  • สัญญาณชีพของผู้ป่วยจะคงที่ และผู้ป่วยไม่มีอาการจากการขาดน้ำ
  • ผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำได้อย่างเหมาะสมและมีการขับถ่ายที่เป็นปกติ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • สีปัสสาวะของผู้ป่วยใสขึ้นและไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ
  • อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ
  • ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอและไม่มีอาการจากการขาดน้ำ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F4I-1: เฝ้าระวังสัญญาณของภาวะขาดน้ำ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและสีของปัสสาวะ
  • F10.4F4I-2: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมตามแผนการรักษา
  • F10.4F4I-3: วัดน้ำหนักตัวของผู้ป่วยทุกวันเพื่อประเมินการสูญเสียน้ำ
  • F10.4F4I-4: ใช้เทคนิคการกระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ เช่น เสนอเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ หรือให้การดูแลในการดื่มน้ำ
  • F10.4F4I-5: ตรวจสอบสีของปัสสาวะเพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นปกติ (ใสหรือเหลืองอ่อน)
  • F10.4F4I-6: ให้สารน้ำทางหลอดเลือดหรือการให้สารน้ำทางปากตามคำสั่งแพทย์
  • F10.4F4I-7: ตรวจสอบอาการการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ผิวแห้ง หรืออาการเวียนศีรษะ

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F4R-1: ปัสสาวะมีสีใสหรือเหลืองอ่อนและไม่เข้มเกินไป
  • F10.4F4R-2: สัญญาณชีพคงที่ อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตในระดับปกติ
  • F10.4F4R-3: ผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมและไม่มีอาการขาดน้ำ
  • F10.4F4R-4: น้ำหนักตัวของผู้ป่วยคงที่และไม่มีการสูญเสียน้ำที่ผิดปกติ
  • F10.4F4R-5: ผู้ป่วยไม่มีอาการเวียนศีรษะ ปากแห้ง หรืออาการจากการขาดน้ำ

...........................................................

 F10.4F5 ภาวะวิตกกังวลหรือเครียด (Anxiety or stress)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานอาการวิตกกังวลหรือเครียด
  • รู้สึกไม่สบายใจหรือมีความรู้สึกกังวลที่ไม่สามารถควบคุมได้

O:

  • สังเกตอาการทางกายภาพ เช่น หายใจถี่, เหงื่อออกมาก, มือสั่น
  • สังเกตท่าทางที่แสดงถึงความเครียด เช่น ก้าวเดินไม่สม่ำเสมอ
  • การตอบสนองต่อคำถามหรือสถานการณ์อาจช้าหรือซับซ้อนเนื่องจากความวิตกกังวล

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถจัดการกับความวิตกกังวลหรือเครียดได้ดีขึ้น
  • สัญญาณของความวิตกกังวลลดลง และผู้ป่วยมีความรู้สึกสงบมากขึ้น
  • ผู้ป่วยสามารถแสดงความรู้สึกหรือสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดอย่างเหมาะสม

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ความวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลง เช่น อาการหายใจถี่หรือน้ำตา
  • ผู้ป่วยแสดงความสงบขึ้นหลังจากการให้การดูแล
  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดได้

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F5I-1: สร้างบรรยากาศที่สงบเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและลดความวิตกกังวล
  • F10.4F5I-2: สอนเทคนิคการหายใจลึก ๆ เพื่อช่วยลดความเครียด เช่น การหายใจเข้าลึก ๆ 4 วินาที แล้วหายใจออก 4 วินาที
  • F10.4F5I-3: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยใช้วิธีการผ่อนคลาย เช่น การนั่งสมาธิหรือการฟังเพลงที่สงบ
  • F10.4F5I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยพูดคุยเกี่ยวกับอาการวิตกกังวลและค้นหาวิธีการจัดการที่เหมาะสม
  • F10.4F5I-5: สังเกตอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะเครียดที่รุนแรง
  • F10.4F5I-6: ช่วยผู้ป่วยระบุสิ่งที่กระตุ้นความวิตกกังวลและวิธีการรับมือ
  • F10.4F5I-7: จัดสรรเวลาให้ผู้ป่วยมีโอกาสพักผ่อนเพื่อลดระดับความเครียดและความวิตกกังวล

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F5R-1: ผู้ป่วยมีการตอบสนองที่ดีขึ้น เช่น ลดการหายใจถี่หรือน้ำตา
  • F10.4F5R-2: ผู้ป่วยมีความสงบและสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกหรือสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล
  • F10.4F5R-3: ผู้ป่วยเริ่มใช้เทคนิคการหายใจลึกๆ ในการควบคุมความวิตกกังวล
  • F10.4F5R-4: อาการวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลง และสัญญาณของความเครียดปรับดีขึ้น
  • F10.4F5R-5: ผู้ป่วยสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เครียดได้ดีขึ้นและมีการปรับตัวที่ดีขึ้น

...........................................................................

F10.4F6 ภาวะความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากระบบหายใจ (Risk for respiratory complications)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยอาจรายงานอาการหายใจลำบาก หรือรู้สึกเหนื่อยง่าย
  • ผู้ป่วยอาจบอกว่ามีความรู้สึกแน่นหน้าอกหรือหายใจไม่สะดวก

O:

  • สังเกตการหายใจที่ไม่ปกติ เช่น หายใจเร็ว หรือหายใจสั้น
  • ฟังเสียงหายใจที่อาจมีเสียงหวีดหรือเสียงกรน
  • ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและระดับออกซิเจนในเลือด

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ตามปกติและไม่มีอาการหายใจลำบาก
  • ผู้ป่วยจะไม่มีภาวะออกซิเจนต่ำหรือลมหายใจไม่สะดวก
  • สัญญาณการหายใจที่ผิดปกติ เช่น หายใจเร็วหรือเหนื่อยง่ายจะลดลง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • การหายใจของผู้ป่วยเป็นปกติ (หายใจไม่ถี่หรือหายใจสั้น)
  • ค่าออกซิเจนในเลือดอยู่ในระดับปกติ
  • ผู้ป่วยไม่แสดงอาการเหนื่อยหรือหายใจลำบาก
  • ไม่มีเสียงผิดปกติจากการหายใจ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F6I-1: ตรวจสอบการหายใจของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด (จำนวนครั้งและคุณภาพของการหายใจ)
  • F10.4F6I-2: วัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) และอุณหภูมิร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
  • F10.4F6I-3: ให้ผู้ป่วยนอนในท่าที่ช่วยให้หายใจสะดวก (เช่น ท่านอนศีรษะสูง)
  • F10.4F6I-4: ส่งเสริมการหายใจลึก ๆ หรือการฝึกหายใจเพื่อเพิ่มปริมาณการหายใจ
  • F10.4F6I-5: ใช้เครื่องช่วยหายใจ เช่น เครื่องวัดระดับออกซิเจนหากจำเป็น
  • F10.4F6I-6: เฝ้าระวังภาวะหลอดลมอุดตันหรือการติดเชื้อในระบบหายใจ
  • F10.4F6I-7: สังเกตอาการที่บ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการเหนื่อยง่าย หรือหายใจลำบาก

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F6R-1: ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกและไม่มีอาการเหนื่อยหรือหายใจลำบาก
  • F10.4F6R-2: ค่าออกซิเจนในเลือดอยู่ในระดับปกติ (≥ 92%)
  • F10.4F6R-3: ไม่มีอาการหายใจผิดปกติ หรือเสียงหายใจผิดปกติ
  • F10.4F6R-4: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติโดยไม่เหนื่อยหรือหายใจลำบาก
  • F10.4F6R-5: อาการแน่นหน้าอกหรือหายใจลำบากหายไป

.............................................................

F10.4F7 ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมจากการขาดสารอาหาร (Risk for cognitive impairment due to nutritional deficiencies)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยอาจบ่นว่าไม่อยากทานอาหาร หรือไม่มีความอยากอาหาร
  • ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยง่าย หรือขาดพลังงานหลังการทำกิจกรรม
  • ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า หรือไม่มีสมาธิในการทำกิจกรรมต่าง ๆ

O:

  • น้ำหนักตัวลดลงหรือไม่คงที่
  • ตรวจสอบผลการตรวจเลือด เช่น ระดับวิตามินและแร่ธาตุ
  • สังเกตการบริโภคอาหารของผู้ป่วย ว่ามีการรับประทานอาหารครบถ้วนหรือไม่
  • ผู้ป่วยมีอาการของภาวะขาดสารอาหาร เช่น อาการง่วงนอนหรือสมาธิสั้น

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนตามคำแนะนำทางโภชนาการ
  • ผู้ป่วยจะมีน้ำหนักตัวคงที่ และได้รับสารอาหารเพียงพอสำหรับการทำงานของร่างกาย
  • ผู้ป่วยจะมีระดับพลังงานที่เพียงพอในการทำกิจกรรมประจำวัน
  • สมาธิและการรับรู้ของผู้ป่วยจะดีขึ้น

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • น้ำหนักตัวของผู้ป่วยคงที่หรือเพิ่มขึ้น
  • ระดับวิตามินและแร่ธาตุในเลือดอยู่ในระดับปกติ
  • ผู้ป่วยรับประทานอาหารครบถ้วนและมีพลังงานเพียงพอ
  • ไม่มีอาการสมาธิสั้น หรืออาการซึมเศร้าจากการขาดสารอาหาร

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F7I-1: สังเกตและประเมินพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้ป่วยทุกวัน
  • F10.4F7I-2: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน เช่น ผลไม้ ผัก โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต
  • F10.4F7I-3: จัดเตรียมอาหารที่หลากหลายและเหมาะสมกับความชอบของผู้ป่วย เพื่อกระตุ้นการทานอาหาร
  • F10.4F7I-4: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเสริมวิตามินหรืออาหารเสริมที่จำเป็นในการรักษาระดับสารอาหารในร่างกาย
  • F10.4F7I-5: เฝ้าระวังอาการขาดสารอาหารหรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
  • F10.4F7I-6: สร้างสภาพแวดล้อมการรับประทานอาหารที่สงบและเหมาะสมเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย
  • F10.4F7I-7: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
  • F10.4F7I-8: ตรวจสอบการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการปรับแผนการรับประทานอาหารอย่างสม่ำเสมอ

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F7R-1: ผู้ป่วยเริ่มรับประทานอาหารได้มากขึ้นและไม่แสดงอาการเหนื่อยหรือซึมเศร้า
  • F10.4F7R-2: น้ำหนักตัวของผู้ป่วยคงที่หรือเพิ่มขึ้น
  • F10.4F7R-3: ระดับสารอาหารในเลือด (วิตามินและแร่ธาตุ) อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • F10.4F7R-4: ผู้ป่วยมีพลังงานและสมาธิในการทำกิจกรรมประจำวัน
  • F10.4F7R-5: ผู้ป่วยเริ่มมีอาการดีขึ้นจากภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำดีขึ้นและสามารถจดจ่อกับกิจกรรมต่าง ๆ ได้

.................................................................

F10.4F8 ภาวะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการหลงผิดหรือประสาทหลอน (Risk for injury due to hallucinations or delusions)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยอาจกล่าวถึงการเห็นหรือได้ยินสิ่งที่ไม่มีจริง เช่น การได้ยินเสียงหรือเห็นภาพหลอน
  • ผู้ป่วยอาจมีความเชื่อที่ผิดปกติ เช่น คิดว่าเขาถูกติดตามหรือทำร้าย
  • ผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวลหรือเครียดจากการหลงผิดหรือประสาทหลอน
  • ผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมเคลื่อนไหวหรือทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนจากสิ่งที่หลงผิดหรือประสาทหลอน

O:

  • สังเกตการแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางที่บ่งบอกถึงความเครียดหรือวิตกกังวล
  • สังเกตการกระทำของผู้ป่วยว่าอาจทำให้เกิดอันตราย เช่น การพยายามหลบหนีจากสิ่งที่ผู้ป่วยคิดว่าเป็นภัย
  • ประเมินการตอบสนองของผู้ป่วยต่อคำถามหรือคำแนะนำ ว่ามีการรับรู้ที่ผิดปกติหรือไม่

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยจะมีความปลอดภัยจากอันตรายที่เกิดจากการหลงผิดหรือประสาทหลอน
  • ผู้ป่วยจะสามารถรับรู้สถานการณ์และคำแนะนำได้อย่างชัดเจน
  • ผู้ป่วยจะมีระดับความวิตกกังวลลดลง และสามารถควบคุมอารมณ์ได้
  • ผู้ป่วยจะไม่ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นจากอาการหลงผิด

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
  • การตอบสนองต่อการสื่อสารชัดเจนและสามารถทำกิจกรรมได้อย่างปลอดภัย
  • ระดับความวิตกกังวลและอารมณ์ของผู้ป่วยอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
  • ผู้ป่วยไม่มีการบาดเจ็บจากการหลงผิดหรือประสาทหลอน

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F8I-1: เฝ้าระวังการกระทำที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการหลงผิดหรือประสาทหลอน
  • F10.4F8I-2: สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย โดยลดสิ่งกีดขวางหรือวัตถุที่อาจทำให้เกิดอันตราย
  • F10.4F8I-3: ให้การสนับสนุนด้านอารมณ์ โดยการพูดคุยและแสดงความเข้าใจต่อสิ่งที่ผู้ป่วยประสบ
  • F10.4F8I-4: ใช้เทคนิคการสื่อสารที่ชัดเจนและกระชับ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจสถานการณ์และคำแนะนำได้ง่ายขึ้น
  • F10.4F8I-5: สนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตามคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อควบคุมอาการหลงผิดหรือประสาทหลอน
  • F10.4F8I-6: สังเกตการตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษาและปรับแผนการดูแลอย่างต่อเนื่อง
  • F10.4F8I-7: ให้การประเมินการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บจากการหลงผิด

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F8R-1: ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่ปลอดภัยและไม่มีอาการบาดเจ็บจากการหลงผิดหรือประสาทหลอน
  • F10.4F8R-2: ผู้ป่วยตอบสนองต่อการสื่อสารได้ดีและมีความเข้าใจในสถานการณ์
  • F10.4F8R-3: ความวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลงและสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
  • F10.4F8R-4: ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการรักษาและการปฏิบัติตามคำแนะนำจากทีมแพทย์
  • F10.4F8R-5: ไม่มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น

........................................................................

F10.4F9 ภาวะไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ (Impaired ability to perform activities of daily living)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยมีอาการเบื่อหน่ายหรือไม่สนใจในกิจกรรมประจำวัน เช่น การทำความสะอาดตัวเอง หรือการทำอาหาร
  • ผู้ป่วยอาจแสดงอาการไม่สามารถตั้งใจทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การเดินทางไปพบแพทย์หรือทำการบ้าน
  • ผู้ป่วยอาจแสดงการละเลยการดูแลสุขภาพส่วนตัว เช่น การอาบน้ำ หรือการแต่งตัว

O:

  • สังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วยในกิจกรรมประจำวัน เช่น การสวมใส่เสื้อผ้าไม่เหมาะสมหรือการใช้เวลานานในการทำกิจกรรมพื้นฐาน
  • สังเกตการตอบสนองต่อการช่วยเหลือในกิจกรรมประจำวัน เช่น ความยากลำบากในการทำกิจกรรมเหล่านี้
  • ประเมินการสื่อสารและการติดต่อกับผู้อื่นว่าเป็นไปอย่างปกติหรือไม่

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยจะสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้โดยมีความช่วยเหลือหรือตามลำดับความสามารถ
  • ผู้ป่วยจะมีการดูแลสุขภาพส่วนตัวที่เหมาะสม
  • ผู้ป่วยจะสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สำคัญ เช่น การกินอาหารหรือการรักษาความสะอาด
  • ผู้ป่วยจะสามารถสื่อสารกับบุคคลอื่นในกิจกรรมประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมพื้นฐานด้วยตนเองหรือรับความช่วยเหลือในบางกิจกรรม
  • การดูแลสุขภาพส่วนตัวของผู้ป่วยอยู่ในระดับที่เหมาะสมและปลอดภัย
  • ผู้ป่วยแสดงการปรับตัวและความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันอย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยสามารถแสดงความพึงพอใจและพยายามทำกิจกรรมต่างๆ ได้

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F9I-1: ให้การช่วยเหลือในกิจกรรมประจำวัน เช่น การช่วยผู้ป่วยอาบน้ำหรือการเตรียมอาหาร
  • F10.4F9I-2: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมพื้นฐานในระดับที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
  • F10.4F9I-3: จัดหาสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การเตรียมพื้นที่สะอาดและเรียบร้อย
  • F10.4F9I-4: สื่อสารและสนับสนุนให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ แม้จะต้องใช้เวลาหรือความช่วยเหลือ
  • F10.4F9I-5: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรักษาความสะอาดของร่างกายและเครื่องแต่งกาย
  • F10.4F9I-6: ประเมินความสามารถของผู้ป่วยในการทำกิจกรรมประจำวัน และปรับแผนการช่วยเหลือตามความจำเป็น
  • F10.4F9I-7: ใช้เทคนิคการสอนที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยเรียนรู้การทำกิจกรรมประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F9R-1: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ด้วยตนเองหรือตามระดับความสามารถที่เหมาะสม
  • F10.4F9R-2: ผู้ป่วยแสดงการตอบสนองที่ดีต่อการสนับสนุนกิจกรรมพื้นฐาน เช่น การอาบน้ำหรือการรับประทานอาหาร
  • F10.4F9R-3: ความสามารถในการดูแลสุขภาพส่วนตัวของผู้ป่วยดีขึ้นและมีความพึงพอใจ
  • F10.4F9R-4: ผู้ป่วยสามารถแสดงความพยายามในการทำกิจกรรมประจำวันอย่างต่อเนื่อง
  • F10.4F9R-5: ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการทำกิจกรรมประจำวันและแสดงการปรับตัวได้ดี

.............................................................................

F10.4F10 ภาวะเสี่ยงต่อการเสพติดแอลกอฮอล์ในอนาคต (Risk for relapse into alcohol addiction)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยมีประวัติการเสพติดแอลกอฮอล์ในอดีตและเคยได้รับการรักษา
  • ผู้ป่วยแสดงอาการของความเครียดหรืออารมณ์แปรปรวน เช่น ความวิตกกังวลหรือหดหู่
  • ผู้ป่วยอาจมีการปฏิเสธการรับรู้ถึงอันตรายจากการเสพติดแอลกอฮอล์
  • ผู้ป่วยอาจกล่าวถึงการเผชิญกับสถานการณ์หรือความท้าทายที่กระตุ้นให้เกิดความอยากดื่มแอลกอฮอล์

O:

  • ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเสพติด เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ในอดีตหรือการแสดงอาการติดตามแรงกระตุ้นจากการดื่ม
  • มีการแสดงออกถึงความเครียดหรือความวิตกกังวลที่อาจกระตุ้นการเสพติด
  • สังเกตการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการดื่มหรือการใช้สารเสพติด
  • ประเมินระดับการรับรู้และความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับอันตรายจากการเสพติดแอลกอฮอล์

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยจะสามารถระบุเหตุผลที่กระตุ้นให้เกิดความอยากดื่มแอลกอฮอล์
  • ผู้ป่วยจะพัฒนากลยุทธ์ในการจัดการกับแรงกระตุ้นให้ห่างไกลจากการเสพติด
  • ผู้ป่วยจะเข้าร่วมในโปรแกรมการฟื้นฟูหรือการสนับสนุนเพื่อป้องกันการเสพติด
  • ผู้ป่วยจะลดความเสี่ยงในการเสพติดแอลกอฮอล์ในอนาคต
  • ผู้ป่วยจะมีการพัฒนาความสามารถในการรับมือกับความเครียดโดยไม่ใช้แอลกอฮอล์

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถระบุสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความอยากดื่มแอลกอฮอล์
  • ผู้ป่วยสามารถใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในการจัดการกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่อาจกระตุ้นให้ดื่ม
  • ผู้ป่วยไม่แสดงพฤติกรรมหรือความคิดเกี่ยวกับการเสพติดแอลกอฮอล์
  • ผู้ป่วยมีการเข้าร่วมการบำบัดหรือการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F10I-1: สอนเทคนิคการรับมือกับความเครียดและการตัดสินใจอย่างมีสติ
  • F10.4F10I-2: แนะนำผู้ป่วยเข้าร่วมในโปรแกรมการฟื้นฟูหรือกลุ่มสนับสนุนเพื่อป้องกันการเสพติด
  • F10.4F10I-3: ให้คำแนะนำในการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจกระตุ้นการดื่มแอลกอฮอล์
  • F10.4F10I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยติดตามการรักษาและการฟื้นฟูเพื่อป้องกันการกลับไปเสพติด
  • F10.4F10I-5: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความฟิตและการใช้ชีวิตที่ปราศจากแอลกอฮอล์
  • F10.4F10I-6: ประเมินการปรับตัวและความคืบหน้าในการรับมือกับความอยากดื่มแอลกอฮอล์
  • F10.4F10I-7: ให้การสนับสนุนและส่งเสริมการใช้วิธีการบำบัดทางจิตวิทยา เช่น การทำ CBT (Cognitive Behavioral Therapy) เพื่อลดความเสี่ยงจากการเสพติด

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F10R-1: ผู้ป่วยสามารถระบุและเข้าใจแรงกระตุ้นที่อาจนำไปสู่การเสพติดแอลกอฮอล์
  • F10.4F10R-2: ผู้ป่วยใช้กลยุทธ์ในการจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้นและมีความยืดหยุ่นในการรับมือ
  • F10.4F10R-3: ผู้ป่วยแสดงการปรับปรุงในการตัดสินใจและลดความเสี่ยงในการเสพติด
  • F10.4F10R-4: ผู้ป่วยเข้าร่วมในโปรแกรมการฟื้นฟูและมีความพึงพอใจในการได้รับการสนับสนุน
  • F10.4F10R-5: ผู้ป่วยสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในกลุ่มสนับสนุนและสามารถรักษาการอยู่ห่างจากแอลกอฮอล์

..................................................................

F10.4F11 การเตรียมตัวสำหรับการจำหน่ายจากโรงพยาบาล (Discharge planning)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยมีอาการของโรคจิตเภทที่ค่อนข้างคงที่หรือดีขึ้นบางส่วนระหว่างการรักษาในโรงพยาบาล
  • ผู้ป่วยแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลับไปใช้ชีวิตในชุมชนหรือสภาพแวดล้อมเดิม
  • ผู้ป่วยหรือครอบครัวมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลในบ้านหลังจากการจำหน่าย
  • ผู้ป่วยอาจยังคงต้องการการสนับสนุนจากทีมการรักษาหรือองค์กรช่วยเหลือ

O:

  • สังเกตพฤติกรรมหรืออาการที่อาจแสดงถึงความวิตกกังวลก่อนการจำหน่าย
  • ประเมินการปฏิบัติตามคำแนะนำการรักษาในช่วงเวลาที่รักษาในโรงพยาบาล
  • ตรวจสอบความพร้อมของครอบครัวหรือผู้ดูแลในการรับมือกับการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน
  • ตรวจสอบแผนการรักษาและการติดตามผลหลังการจำหน่าย

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถปรับตัวกับการกลับไปอยู่ที่บ้านหรือในชุมชนได้อย่างปลอดภัย
  • ผู้ป่วยสามารถติดตามแผนการรักษาหลังการจำหน่ายได้อย่างสม่ำเสมอ
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลสามารถดูแลผู้ป่วยที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ป่วยไม่ประสบปัญหาการกลับเป็นซ้ำหลังการจำหน่าย
  • ผู้ป่วยมีการเข้าถึงการสนับสนุนหรือบริการทางการแพทย์หลังการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาและการใช้ยาตามคำแนะนำ
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีความรู้และความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน
  • ผู้ป่วยมีการติดตามการรักษาหลังการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง
  • ไม่มีอาการกำเริบหรือการกลับเป็นซ้ำในระยะเวลา 1 เดือนหลังการจำหน่าย
  • ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือการบำบัดตามคำแนะนำ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F10.4F11I-1: อธิบายแผนการรักษาและการติดตามผลหลังการจำหน่ายให้ชัดเจนแก่ผู้ป่วยและครอบครัว
  • F10.4F11I-2: สนับสนุนและจัดการความวิตกกังวลของผู้ป่วยเกี่ยวกับการกลับไปสู่ชีวิตในชุมชน
  • F10.4F11I-3: ตรวจสอบว่าผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาและการติดต่อกับแพทย์หรือทีมสุขภาพ
  • F10.4F11I-4: แนะนำบริการหรือโปรแกรมสนับสนุนที่สามารถเข้าถึงได้หลังจากการจำหน่าย (เช่น กลุ่มสนับสนุน)
  • F10.4F11I-5: ทำการประเมินสภาพแวดล้อมที่บ้านหรือที่พักของผู้ป่วยเพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมกับการดูแล
  • F10.4F11I-6: แนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมการดูแลติดตามหรือการบำบัดอย่างต่อเนื่อง
  • F10.4F11I-7: ตรวจสอบการจัดหาบริการหรือการช่วยเหลืออื่น ๆ ที่ผู้ป่วยอาจต้องการ เช่น ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ช่วยในบ้าน

Response (การตอบสนอง)

  • F10.4F11R-1: ผู้ป่วยแสดงความเข้าใจเกี่ยวกับแผนการรักษาหลังการจำหน่าย
  • F10.4F11R-2: ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน
  • F10.4F11R-3: ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องหลังการจำหน่าย
  • F10.4F11R-4: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาและไม่มีอาการกำเริบ
  • F10.4F11R-5: ผู้ป่วยสามารถปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมใหม่หลังจากการจำหน่าย

....................................................................

 

 


5.โรคไบโพลาร์

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2568

EP.46 จิตเวชหัวข้อ 6: ผู้ป่วยติดกัญชา (Cannabis Use Disorder)- F12

Psych. Topic 6: Cannabis Use Disorder- F12

🚨 รู้ทัน! ภาวะติดกัญชา (Cannabis Use Disorder - F12) 🚨

💭 “กัญชา” ใช้ไปนานๆ เสี่ยงติด! ไม่ใช่แค่เรื่องสนุก แต่ส่งผลต่อสมอง อารมณ์ และชีวิตประจำวัน

1. พยาธิสภาพ

     กัญชามีสาร THC ที่ออกฤทธิ์ต่อสมองโดยตรง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ถ้าใช้บ่อย สมองจะปรับตัวและต้องการมากขึ้น เกิดภาวะติด (Cannabis Use Disorder - F12) ซึ่งอาจทำให้มีอาการทางจิต เช่น หลอน หวาดระแวง สมาธิสั้น อารมณ์แปรปรวน 🌀

2. ปัจจัยที่ทำให้ติดกัญชา

📌 ใช้บ่อยและใช้ต่อเนื่องยิ่งใช้มาก ยิ่งเสี่ยง
📌 เริ่มใช้ตั้งแต่อายุน้อยสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่
📌 มีปัญหาทางอารมณ์หรือจิตใจเช่น เครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า
📌 สภาพแวดล้อมและเพื่อนถ้าคนรอบข้างใช้ มีโอกาสสูงที่จะใช้ตาม

3. การรักษา

🛑 หยุดใช้ ค่อยๆ ลด ไม่เลิกกะทันหัน
👨‍⚕️ พบแพทย์หรือจิตแพทย์ เพื่อรับคำปรึกษา
💊 อาจได้รับยาช่วยบรรเทาอาการขาดยา (เช่น นอนไม่หลับ หงุดหงิด)
🧠 ทำจิตบำบัด เพื่อปรับพฤติกรรมและควบคุมอารมณ์

4. การพยาบาล

ประเมินอาการทางร่างกายและจิตใจเช่น อารมณ์แปรปรวน กระสับกระส่าย
ให้คำปรึกษาลดความอยากและสร้างกำลังใจ
แนะนำเทคนิคเลิกใช้เช่น การเบี่ยงเบนความสนใจ ฝึกสมาธิ
ดูแลเรื่องโภชนาการและการนอนเพื่อฟื้นฟูสมองและร่างกาย

5. การดูแลสำหรับบุคคลทั่วไป

🚫 หลีกเลี่ยงกัญชา โดยเฉพาะถ้ามีประวัติสุขภาพจิต
👂 พูดคุยและให้กำลังใจ หากมีคนใกล้ตัวใช้
🏃‍♂️ หากิจกรรมทดแทน เช่น ออกกำลังกาย เล่นดนตรี
📞 ขอความช่วยเหลือ จากผู้เชี่ยวชาญหากหยุดใช้เองไม่ได้

🌿 “กัญชา.. ใช้เพลิน อาจติดไม่รู้ตัว! 🌀สมองรวน อารมณ์แปรปรวน หยุดก่อนสาย!” 🚨

😵‍💫 เสี่ยงติด! หวาดระแวง ซึมเศร้า สมาธิสั้น
🛑 เลิกได้ ฟื้นตัวได้ แค่ขอความช่วยเหลือ

📌 แชร์ไว้เตือนตัวเองและคนที่คุณรัก! 💙
📞 ต้องการเลิก? ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้เลย!

#หยุดก่อนสาย #กัญชาใช้มากติดจริง #สุขภาพจิตสำคัญ #รู้ทันกัญชา #เลิกกัญชาเริ่มวันนี้ #แชร์ให้เพื่อนดู 

....................................................................

วินิจฉัยการพยาบาลภาวะติดกัญชา (Cannabis Use Disorder - F12)

  1. F12F1 มีภาวะซึมเศร้าและเสี่ยงทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น (Depressed mood with risk of self-harm or harm to others)
  2. F12F2 มีอาการถอนกัญชา เช่น หงุดหงิด นอนไม่หลับ กระวนกระวาย (Cannabis withdrawal symptoms: irritability, insomnia, restlessness)
  3. F12F3 มีความเสี่ยงต่อภาวะจิตเวช เช่น หวาดระแวง ประสาทหลอน (Risk of psychiatric complications: paranoia, hallucinations)
  4. F12F4 มีภาวะขาดสารอาหารและน้ำเนื่องจากพฤติกรรมการใช้สารเสพติด (Malnutrition and dehydration due to substance use behavior)
  5. F12F5 มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุหรือพฤติกรรมไม่ปลอดภัยจากผลของกัญชา (Risk of accidents or unsafe behaviors due to cannabis effects)
  6. F12F6 มีความต้องการในการบำบัดและฟื้นฟูสุขภาพจิต (Need for psychological therapy and rehabilitation)
  7. F12F7 ขาดแรงจูงใจในการเลิกใช้กัญชา และเสี่ยงต่อการกลับไปใช้ซ้ำ (Lack of motivation to quit and risk of relapse)
  8. F12F8 ขาดความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของกัญชาและแนวทางเลิกใช้ (Knowledge deficit regarding cannabis effects and cessation strategies)
  9. F12F9 มีความต้องการการสนับสนุนจากครอบครัวและสังคม (Need for family and social support for long-term recovery)
  10. F12F10 เสี่ยงต่อการกลับไปใช้สารเสพติดเมื่อกลับสู่สังคม (Risk of relapse upon reintegration into society)

................................................................................

F12F1 มีภาวะซึมเศร้าและเสี่ยงทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น (Depressed mood with risk of self-harm or harm to others)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • รู้สึกเศร้า เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร
  • ไม่มีคุณค่าในตัวเอง คิดว่าไม่มีทางออก
  • มีความคิดทำร้ายตัวเอง หรือผู้อื่น

O:

  • สีหน้าเศร้า พูดน้อย ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
  • มีบาดแผลที่ร่างกาย (หากมีการทำร้ายตัวเอง)
  • คะแนนประเมินภาวะซึมเศร้าสูง (เช่น PHQ-9 ≥ 10)
  • มีประวัติพยายามทำร้ายตัวเอง

Goals (เป้าหมาย)

  • ลดภาวะซึมเศร้าและควบคุมความคิดทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น
  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
  • ป้องกันการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
  • ฟื้นฟูสุขภาพจิตและส่งเสริมแรงจูงใจในการเลิกใช้กัญชา

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมหรือความคิดทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
  • คะแนน PHQ-9 ลดลง (< 10)
  • มีการตอบสนองต่อการบำบัดทางจิตใจ
  • อารมณ์ดีขึ้น พูดคุยกับผู้อื่นได้มากขึ้น

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F12F1I-1 เฝ้าระวังผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยจัดให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ไม่มีสิ่งของที่ใช้ทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น
  • F12F1I-2 ประเมินระดับความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นเป็นระยะ โดยใช้แบบประเมินมาตรฐาน (เช่น SAD PERSONS Scale, PHQ-9)
  • F12F1I-3 ให้กำลังใจ รับฟังอย่างไม่ตัดสิน และกระตุ้นให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก
  • F12F1I-4 แจ้งแพทย์ทันทีหากพบว่าผู้ป่วยมีความคิดหรือพฤติกรรมเสี่ยงสูง
  • F12F1I-5 ให้การบำบัดทางจิตใจ เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) หรือ การให้คำปรึกษาทางจิตเวช
  • F12F1I-6 สนับสนุนให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายและลดความเครียด เช่น วาดภาพ ดนตรีบำบัด สมาธิบำบัด
  • F12F1I-7 กระตุ้นให้ครอบครัวและคนใกล้ชิดมีส่วนร่วมในการดูแล ให้ความเข้าใจ และหลีกเลี่ยงการตำหนิ
  • F12F1I-8 ติดตามและประเมินผลการรักษาทางจิตเวช พร้อมวางแผนดูแลต่อเนื่องเมื่อจำหน่าย

Response (การตอบสนอง)

  • F12F1R-1 ผู้ป่วยไม่มีความคิดหรือพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
  • F12F1R-2 ผู้ป่วยแสดงออกถึงความผ่อนคลายมากขึ้น และสามารถระบายความรู้สึกได้
  • F12F1R-3 คะแนนประเมินภาวะซึมเศร้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • F12F1R-4 ครอบครัวสามารถให้การสนับสนุนและดูแลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม

............................................................................

F12F2 มีอาการถอนกัญชา เช่น หงุดหงิด นอนไม่หลับ กระวนกระวาย (Cannabis withdrawal symptoms: irritability, insomnia, restlessness)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • รู้สึกหงุดหงิดง่ายและควบคุมอารมณ์ได้ยาก
  • นอนไม่หลับหรือหลับๆ ตื่นๆ
  • กระวนกระวาย ไม่สามารถอยู่นิ่งได้

O:

  • มีอาการกระสับกระส่าย มือไม้สั่น หรือแสดงออกถึงความหงุดหงิด
  • พูดเร็วขึ้น แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวกว่าปกติ
  • มีอาการอ่อนเพลียจากการนอนไม่พอ
  • อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตอาจสูงขึ้น

Goals (เป้าหมาย)

  • ลดอาการถอนกัญชาและช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
  • ส่งเสริมให้ผู้ป่วยนอนหลับได้ตามปกติ
  • ลดความกระวนกระวายและทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสงบ
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการถอนสาร เช่น วิตกกังวลรุนแรงหรือภาวะซึมเศร้า

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยมีอารมณ์สงบขึ้นและสามารถควบคุมตนเองได้
  • ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้ ≥ 6 ชั่วโมงต่อคืน
  • อาการกระวนกระวายลดลง และสามารถนั่งหรือนอนพักได้อย่างสบาย
  • สัญญาณชีพกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F12F2I-1 ประเมินระดับความรุนแรงของอาการถอนกัญชาโดยใช้แบบประเมินมาตรฐาน เช่น Cannabis Withdrawal Scale (CWS)
  • F12F2I-2 จัดสภาพแวดล้อมให้สงบ ลดสิ่งกระตุ้น เช่น เสียงดังหรือแสงจ้า เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย
  • F12F2I-3 แนะนำเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ หรือการฟังดนตรีเบาๆ เพื่อช่วยลดความเครียดและกระวนกระวาย
  • F12F2I-4 กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมเบาๆ เช่น การเดินเล่น หรือยืดกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยลดอาการกระวนกระวาย
  • F12F2I-5 ให้ของเหลวและอาหารที่มีประโยชน์เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและลดความไม่สบายตัว
  • F12F2I-6 ประเมินและติดตามคุณภาพการนอนหลับของผู้ป่วยทุกคืน พร้อมส่งเสริมการสร้างกิจวัตรก่อนนอนที่ช่วยให้หลับง่ายขึ้น
  • F12F2I-7 ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ เช่น ยาคลายกังวลหรือยาช่วยให้นอนหลับ หากอาการถอนรุนแรง
  • F12F2I-8 ให้การสนับสนุนทางอารมณ์ รับฟังปัญหา และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ป่วยสามารถผ่านพ้นช่วงถอนสารได้

Response (การตอบสนอง)

  • F12F2R-1 ผู้ป่วยมีอารมณ์สงบลง หงุดหงิดลดลง และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
  • F12F2R-2 ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้อย่างต่อเนื่อง ≥ 6 ชั่วโมงต่อคืน
  • F12F2R-3 อาการกระวนกระวายลดลง ผู้ป่วยสามารถอยู่นิ่งและผ่อนคลายได้มากขึ้น
  • F12F2R-4 ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคการผ่อนคลายและจัดการกับความเครียดได้ด้วยตนเอง

..............................................................................

F12F3 มีความเสี่ยงต่อภาวะจิตเวช เช่น หวาดระแวง ประสาทหลอน (Risk of psychiatric complications: paranoia, hallucinations)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • รู้สึกหวาดระแวง คิดว่ามีคนจะทำร้าย
  • ได้ยินเสียงหรือเห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
  • มีอาการวิตกกังวลมากผิดปกติ

O:

  • แสดงพฤติกรรมป้องกันตัว เช่น มองไปรอบๆ ตลอดเวลา หรือแสดงอาการตื่นตระหนก
  • พูดคุยกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง หรือมีพฤติกรรมไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
  • มีสีหน้าหวาดกลัว หรือมีอารมณ์แปรปรวนอย่างรวดเร็ว

Goals (เป้าหมาย)

  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะจิตเวชรุนแรง เช่น โรคจิตจากกัญชา
  • ให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและลดอาการหวาดระแวง
  • ป้องกันการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นจากอาการประสาทหลอน
  • ให้ผู้ป่วยสามารถรับรู้ความเป็นจริงได้ดีขึ้น

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถรับรู้ความเป็นจริงได้ดีขึ้น อาการหวาดระแวงลดลง
  • ไม่มีพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
  • มีสีหน้าและอารมณ์สงบขึ้น สามารถโต้ตอบได้อย่างเหมาะสม
  • สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้โดยไม่มีความกังวลมากเกินไป

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F12F3I-1 ประเมินอาการทางจิตอย่างต่อเนื่อง โดยใช้แบบประเมินอาการโรคจิตเช่น Brief Psychiatric Rating Scale (BPRS)
  • F12F3I-2 จัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย ลดสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดอาการหวาดระแวง เช่น ลดแสงจ้าและเสียงรบกวน
  • F12F3I-3 ให้การสื่อสารด้วยน้ำเสียงสงบ ชัดเจน และไม่ขัดแย้งกับความคิดของผู้ป่วยโดยตรง เพื่อลดความวิตกกังวล
  • F12F3I-4 กระตุ้นให้ผู้ป่วยแสดงออกถึงความรู้สึกของตนเอง เพื่อช่วยระบายความเครียดและลดอาการหวาดระแวง
  • F12F3I-5 ให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ช่วยลดอาการวิตกกังวล เช่น การวาดภาพ ฟังเพลง หรือออกกำลังกายเบาๆ
  • F12F3I-6 เฝ้าระวังอาการทางจิตเวชที่รุนแรงขึ้น เช่น อาการหวาดระแวงรุนแรงขึ้นหรือเริ่มมีความคิดฆ่าตัวตาย
  • F12F3I-7 ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ เช่น ยาระงับอาการทางจิต หากมีอาการรุนแรง
  • F12F3I-8 ประสานงานกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น จิตแพทย์และนักจิตวิทยา เพื่อวางแผนการดูแลระยะยาว

Response (การตอบสนอง)

  • F12F3R-1 ผู้ป่วยมีอาการหวาดระแวงลดลง สามารถรับรู้ความเป็นจริงได้ดีขึ้น
  • F12F3R-2 ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือทำร้ายตนเองและผู้อื่น
  • F12F3R-3 ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความวิตกกังวลได้
  • F12F3R-4 ผู้ป่วยสามารถพูดคุยกับบุคคลรอบข้างได้อย่างปกติและมีอารมณ์สงบขึ้น

......................................................................................

F12F4 มีภาวะขาดสารอาหารและน้ำเนื่องจากพฤติกรรมการใช้สารเสพติด  (Malnutrition and dehydration due to substance use behavior)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง รับประทานอาหารและดื่มน้ำน้อยลง
  • ไม่มีความอยากอาหาร น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
  • ปากแห้ง วิงเวียนศีรษะ

O:

  • ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ริมฝีปากแห้งแตก
  • น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 5% ภายใน 1 เดือน
  • ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบภาวะขาดสารอาหาร เช่น อัลบูมินต่ำ หรือภาวะขาดอิเล็กโทรไลต์
  • ความดันโลหิตต่ำ อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น

Goals (เป้าหมาย)

  • ฟื้นฟูภาวะโภชนาการและภาวะสมดุลของน้ำในร่างกาย
  • ให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารและน้ำในปริมาณที่เพียงพอ
  • ลดภาวะอ่อนเพลียและเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการขาดสารอาหารและน้ำ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือนิ่ง ไม่ลดลงมากกว่า 5% ภายใน 1 เดือน
  • มีระดับอิเล็กโทรไลต์และสารอาหารในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ผิวหนังและเยื่อบุปากชุ่มชื้นขึ้น อาการอ่อนเพลียลดลง
  • รับประทานอาหารและดื่มน้ำได้มากขึ้น

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F12F4I-1 ประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่วยโดยใช้เกณฑ์ BMI และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  • F12F4I-2 ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษาเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำและอิเล็กโทรไลต์
  • F12F4I-3 กระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและย่อยง่าย เช่น อาหารอ่อนที่มีโปรตีนสูง
  • F12F4I-4 ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร เว้นแต่มีข้อจำกัดทางการแพทย์
  • F12F4I-5 เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากการขาดสารอาหาร เช่น ภาวะโปรตีนต่ำและภาวะขาดวิตามิน
  • F12F4I-6 สังเกตอาการผิดปกติ เช่น หน้ามืด วิงเวียน คลื่นไส้ หรืออาการขาดน้ำรุนแรง เช่น ชีพจรเบาเร็ว
  • F12F4I-7 ประสานงานกับนักโภชนาการเพื่อจัดอาหารที่เหมาะสมสำหรับการฟื้นฟูโภชนาการของผู้ป่วย
  • F12F4I-8 ให้คำแนะนำเรื่องการรับประทานอาหารและการดื่มน้ำที่ถูกต้องเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะขาดสารอาหารในระยะยาว

Response (การตอบสนอง)

  • F12F4R-1 น้ำหนักตัวของผู้ป่วยคงที่หรือเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด
  • F12F4R-2 ผู้ป่วยไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือวิงเวียนศีรษะจากภาวะขาดสารอาหาร
  • F12F4R-3 อาการขาดน้ำลดลง ปากและผิวหนังชุ่มชื้นขึ้น
  • F12F4R-4 ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอและต่อเนื่อง

...........................................................................

F12F5 มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุหรือพฤติกรรมไม่ปลอดภัยจากผลของกัญชา (Risk of accidents or unsafe behaviors due to cannabis effects)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • มีอาการมึนงง สับสน เคลื่อนไหวช้า หรือการตอบสนองลดลง
  • เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุจากการใช้กัญชา เช่น การขับขี่รถโดยประมาท
  • มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ปีนป่ายที่สูง ใช้ของมีคมหรือเครื่องจักรขณะมึนเมา

O:

  • การทรงตัวไม่ดี เดินเซหรือมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • ตอบสนองต่อสิ่งเร้าช้าลงหรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
  • สังเกตพบวัตถุอันตรายรอบตัวผู้ป่วยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ

Goals (เป้าหมาย)

  • ลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและพฤติกรรมไม่ปลอดภัยของผู้ป่วย
  • ให้ผู้ป่วยมีความตระหนักถึงผลกระทบของกัญชาต่อการควบคุมร่างกายและจิตใจ
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไม่มีอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บระหว่างอยู่ในสถานพยาบาล
  • ผู้ป่วยมีการรับรู้ที่ดีขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัย
  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยได้

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F12F5I-1 ประเมินระดับสติสัมปชัญญะและการรับรู้ของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
  • F12F5I-2 เฝ้าระวังและป้องกันอุบัติเหตุ เช่น การหกล้ม การบาดเจ็บจากวัตถุอันตราย หรืออุบัติเหตุทางถนน
  • F12F5I-3 จัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย เช่น เก็บของมีคมและของหนักให้พ้นมือผู้ป่วย ปิดกั้นพื้นที่เสี่ยงต่อการพลัดตก
  • F12F5I-4 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้กัญชาก่อนทำกิจกรรมที่ต้องการการควบคุม เช่น การขับขี่ยานพาหนะหรือทำงานกับเครื่องจักร
  • F12F5I-5 กระตุ้นให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงสถานการณ์เสี่ยง เช่น การดื่มสุราหรือใช้สารเสพติดร่วมกับกัญชา
  • F12F5I-6 ให้การดูแลแบบใกล้ชิดในกรณีที่ผู้ป่วยมีพฤติกรรมเสี่ยงรุนแรง
  • F12F5I-7 ประสานงานกับญาติหรือผู้ดูแลในการกำกับดูแลผู้ป่วย เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน
  • F12F5I-8 สอนเทคนิคการควบคุมตนเองและเพิ่มทักษะในการตัดสินใจที่เหมาะสมเพื่อป้องกันพฤติกรรมไม่ปลอดภัย

Response (การตอบสนอง)

  • F12F5R-1 ผู้ป่วยไม่มีอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บขณะอยู่ในการดูแลของพยาบาล
  • F12F5R-2 ผู้ป่วยสามารถตระหนักถึงความเสี่ยงและปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยได้
  • F12F5R-3 พฤติกรรมเสี่ยงลดลง ไม่ขับขี่หรือทำงานกับเครื่องจักรหลังใช้กัญชา
  • F12F5R-4 ญาติหรือผู้ดูแลสามารถให้การช่วยเหลือและป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างเหมาะสม

...............................................................................

F12F6 มีความต้องการในการบำบัดและฟื้นฟูสุขภาพจิต (Need for psychological therapy and rehabilitation)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยแสดงความต้องการหรือยินยอมเข้ารับการบำบัด
  • ผู้ป่วยรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือมีอารมณ์เศร้าหลังจากหยุดใช้กัญชา
  • มีปัญหาความสัมพันธ์กับครอบครัวหรือสังคมจากการใช้กัญชา

O:

  • ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวนหรือควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้
  • แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว วิตกกังวล หรือมีภาวะซึมเศร้า
  • ไม่สามารถจัดการกับความเครียดหรือแรงกดดันในชีวิตได้
  • มีอาการถอนยา เช่น หงุดหงิด กระวนกระวาย หรือซึมเศร้า

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยได้รับการบำบัดและฟื้นฟูสภาพจิตใจอย่างเหมาะสม
  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมอารมณ์และจัดการกับความเครียดได้
  • ผู้ป่วยมีความสามารถในการปรับตัวและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
  • ลดโอกาสกลับไปใช้กัญชาอีกครั้ง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยเข้าร่วมโปรแกรมบำบัดจิตใจและการฟื้นฟูตามแผน
  • ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอารมณ์และภาวะเครียดได้ดีขึ้น
  • ผู้ป่วยมีแรงจูงใจในการเลิกใช้กัญชาและลดความเสี่ยงต่อการกลับไปใช้ซ้ำ
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการบำบัดของผู้ป่วย

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F12F6I-1 ประเมินภาวะสุขภาพจิตและระดับแรงจูงใจของผู้ป่วยในการเข้ารับการบำบัด
  • F12F6I-2 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับกระบวนการบำบัด ฟื้นฟูสุขภาพจิต และผลดีของการเข้ารับการรักษา
  • F12F6I-3 สนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้าร่วมการบำบัดทางจิต เช่น พฤติกรรมบำบัด (CBT) หรือการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา
  • F12F6I-4 สอนเทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การฝึกหายใจลึกๆ การทำสมาธิ หรือการออกกำลังกายเพื่อลดความวิตกกังวล
  • F12F6I-5 สนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มบำบัด เช่น กลุ่มสนับสนุนผู้เลิกใช้สารเสพติด (NA: Narcotics Anonymous)
  • F12F6I-6 ประสานงานกับจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อประเมินและให้การรักษาต่อเนื่อง
  • F12F6I-7 กระตุ้นให้ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีส่วนร่วมในการให้กำลังใจและสนับสนุนผู้ป่วย
  • F12F6I-8 ติดตามผลการบำบัดและฟื้นฟูเป็นระยะ พร้อมปรับแผนการดูแลให้เหมาะสม

Response (การตอบสนอง)

  • F12F6R-1 ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอารมณ์และความเครียดได้ดีขึ้น
  • F12F6R-2 ผู้ป่วยเข้าร่วมการบำบัดและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง
  • F12F6R-3 ผู้ป่วยมีแรงจูงใจในการเลิกใช้กัญชาและปรับตัวเข้าสู่สังคมได้ดีขึ้น
  • F12F6R-4 ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการฟื้นฟูของผู้ป่วย

................................................................................

F12F7 ขาดแรงจูงใจในการเลิกใช้กัญชา และเสี่ยงต่อการกลับไปใช้ซ้ำ (Lack of motivation to quit and risk of relapse)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยแสดงท่าทีไม่สนใจหรือปฏิเสธความจำเป็นในการเลิกใช้กัญชา
  • ผู้ป่วยมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการบำบัดหรือการรักษา
  • ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกผิดหวังหรือความกังวลเกี่ยวกับการเลิกใช้กัญชา

O:

  • ผู้ป่วยไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษาหรือการบำบัดอย่างสม่ำเสมอ
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการกลับไปใช้กัญชา เช่น ติดต่อกลุ่มเพื่อนที่ใช้กัญชา
  • ไม่มีแรงจูงใจในการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์หรือสนับสนุนการเลิกใช้กัญชา

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยมีแรงจูงใจในการเลิกใช้กัญชาและทำตามแผนการรักษา
  • ลดความเสี่ยงในการกลับไปใช้กัญชาอีกครั้ง
  • ผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันได้
  • ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในโปรแกรมบำบัดและการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยแสดงความสนใจและร่วมมือในการทำตามแผนการรักษา
  • ผู้ป่วยสามารถจัดการกับความเครียดและความกังวลได้ดีขึ้น
  • ผู้ป่วยสามารถตัดสินใจได้ดีในการเลือกกิจกรรมที่ส่งเสริมการเลิกใช้กัญชา
  • ผู้ป่วยมีการติดตามการบำบัดอย่างต่อเนื่องและลดพฤติกรรมเสี่ยง
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลสนับสนุนการรักษาอย่างเต็มที่

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F12F7I-1 สนับสนุนให้ผู้ป่วยพูดถึงความรู้สึกและประสบการณ์ในการเลิกใช้กัญชา เพื่อช่วยให้เข้าใจแรงจูงใจภายใน
  • F12F7I-2 ใช้เทคนิคการเสริมสร้างแรงจูงใจ เช่น การสนับสนุนทางบวกและการตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในการเลิกใช้กัญชา
  • F12F7I-3 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกลุ่มสนับสนุน เช่น กลุ่มบำบัดผู้เลิกใช้สารเสพติด หรือการให้คำปรึกษา
  • F12F7I-4 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลดีของการเลิกใช้กัญชา และการปรับทัศนคติในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
  • F12F7I-5 ช่วยตั้งเป้าหมายในการเลิกใช้กัญชาโดยการแบ่งออกเป็นขั้นตอนเล็กๆ และทำให้สามารถติดตามความสำเร็จได้
  • F12F7I-6 สอนเทคนิคการจัดการกับความเครียดและการตัดสินใจเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจทำให้กลับไปใช้กัญชา
  • F12F7I-7 กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเสพติด
  • F12F7I-8 ประสานงานกับครอบครัวหรือผู้ดูแลในการสนับสนุนการรักษาและการบำบัดของผู้ป่วย

Response (การตอบสนอง)

  • F12F7R-1 ผู้ป่วยเริ่มแสดงความสนใจและยินยอมเข้าร่วมในการบำบัดและการรักษา
  • F12F7R-2 ผู้ป่วยสามารถกำหนดเป้าหมายในการเลิกใช้กัญชาได้ และทำตามแผนอย่างสม่ำเสมอ
  • F12F7R-3 ผู้ป่วยสามารถจัดการกับแรงกดดันและความเครียดได้ดีขึ้นโดยไม่กลับไปใช้กัญชา
  • F12F7R-4 ผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ และลดการเสี่ยงต่อการกลับไปใช้กัญชาอีกครั้ง

........................................................................................

F12F8 ขาดความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของกัญชาและแนวทางเลิกใช้ (Knowledge deficit regarding cannabis effects and cessation strategies)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยไม่เข้าใจถึงผลกระทบของการใช้กัญชาในระยะยาว
  • ผู้ป่วยไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการเลิกใช้กัญชา
  • ผู้ป่วยแสดงความลังเลในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเลิกใช้กัญชา

O:

  • ผู้ป่วยไม่สามารถอธิบายผลกระทบของกัญชาต่อร่างกายและจิตใจได้
  • ผู้ป่วยไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลิกใช้กัญชา
  • ไม่มีการวางแผนหรือการเตรียมตัวในการเลิกใช้กัญชา

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถเข้าใจผลกระทบของกัญชาต่อสุขภาพในระยะยาว
  • ผู้ป่วยรู้จักวิธีการเลิกใช้กัญชาและสามารถนำไปปฏิบัติได้
  • ผู้ป่วยแสดงความเต็มใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเลิกใช้กัญชาและผลดีของการเลิก
  • ผู้ป่วยสามารถสร้างแผนการเลิกใช้กัญชาและเริ่มปฏิบัติได้จริง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายผลกระทบของการใช้กัญชาต่อสุขภาพได้
  • ผู้ป่วยมีความเข้าใจในการเลือกใช้วิธีการเลิกใช้กัญชาที่เหมาะสมกับตัวเอง
  • ผู้ป่วยเริ่มมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือโปรแกรมการบำบัดเพื่อเลิกใช้กัญชา
  • ผู้ป่วยมีการติดตามผลการเลิกใช้กัญชาและสามารถแสดงความรู้ความเข้าใจในการรักษา
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลสนับสนุนและส่งเสริมการเลิกใช้กัญชา

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F12F8I-1 อธิบายผลกระทบของการใช้กัญชาต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจให้ผู้ป่วยเข้าใจ
  • F12F8I-2 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเลิกใช้กัญชา เช่น เทคนิคการเสริมสร้างแรงจูงใจและการบำบัด
  • F12F8I-3 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับกลุ่มสนับสนุนและโปรแกรมบำบัดการเลิกใช้กัญชา
  • F12F8I-4 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายในการเลิกใช้กัญชาและสร้างแผนการเลิกที่เหมาะสม
  • F12F8I-5 ใช้เทคนิคการเสริมสร้างแรงจูงใจ เช่น การกระตุ้นให้ผู้ป่วยเห็นผลดีของการเลิกใช้กัญชา
  • F12F8I-6 สอนทักษะการจัดการกับความเครียดและสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการกลับไปใช้กัญชา
  • F12F8I-7 กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ที่เคยเลิกใช้กัญชา
  • F12F8I-8 กระตุ้นให้ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีบทบาทในการสนับสนุนและช่วยเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของกัญชา

Response (การตอบสนอง)

  • F12F8R-1 ผู้ป่วยสามารถอธิบายผลกระทบของกัญชาต่อสุขภาพได้อย่างชัดเจน
  • F12F8R-2 ผู้ป่วยสามารถสร้างแผนการเลิกใช้กัญชาและเริ่มปฏิบัติตามแผนได้
  • F12F8R-3 ผู้ป่วยแสดงความเต็มใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการเลิกใช้กัญชาและมีความรู้ในการจัดการกับความเครียด
  • F12F8R-4 ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมหรือโปรแกรมการบำบัดเพื่อการเลิกใช้กัญชาได้อย่างสม่ำเสมอ

.........................................................................

F12F9 ความต้องการการสนับสนุนจากครอบครัวและสังคม (Need for family and social support for long-term recovery)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยแสดงความต้องการการสนับสนุนจากครอบครัวและสังคมในการฟื้นฟู
  • ผู้ป่วยอาจรู้สึกโดดเดี่ยวหรือขาดแรงสนับสนุนจากคนใกล้ชิด
  • ผู้ป่วยไม่เคยมีประสบการณ์ในการขอรับการช่วยเหลือจากครอบครัวหรือสังคม

O:

  • ผู้ป่วยไม่มีสมาชิกในครอบครัวที่สามารถให้การสนับสนุนในกระบวนการฟื้นฟู
  • ผู้ป่วยไม่ค่อยแสดงออกหรือขอการสนับสนุนจากคนรอบข้าง
  • ผู้ป่วยอาจไม่มีความรู้เกี่ยวกับแหล่งช่วยเหลือในชุมชนหรือกลุ่มสนับสนุน

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถระบุแหล่งการสนับสนุนจากครอบครัวและสังคมได้
  • ผู้ป่วยมีการติดต่อและสร้างเครือข่ายการสนับสนุนในระยะยาว
  • ผู้ป่วยรับการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนในกระบวนการฟื้นฟู
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือการบำบัดที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงในการฟื้นฟู

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยแสดงการติดต่อกับครอบครัวหรือสมาชิกในชุมชนเพื่อขอการสนับสนุน
  • ผู้ป่วยมีการเข้าร่วมกิจกรรมหรือกลุ่มสนับสนุนการฟื้นฟูในระดับที่เหมาะสม
  • ครอบครัวหรือผู้ดูแลแสดงความสนใจและมีบทบาทในการสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟู
  • ผู้ป่วยแสดงทักษะในการขอรับการสนับสนุนจากคนรอบข้างและการเข้าร่วมกิจกรรม

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F12F9I-1 แนะนำให้ผู้ป่วยระบุและสร้างแหล่งการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน
  • F12F9I-2 กระตุ้นให้ผู้ป่วยติดต่อกับสมาชิกในครอบครัวที่พร้อมให้การสนับสนุน
  • F12F9I-3 แนะนำกลุ่มสนับสนุนที่มีผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในการเลิกใช้กัญชา
  • F12F9I-4 ช่วยเหลือผู้ป่วยในการติดต่อกับองค์กรสังคมและกลุ่มช่วยเหลือในชุมชน
  • F12F9I-5 ส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟู
  • F12F9I-6 จัดให้มีการประชุมหรือการสื่อสารระหว่างผู้ป่วยกับครอบครัวเพื่อสร้างความเข้าใจและสนับสนุนกัน
  • F12F9I-7 จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
  • F12F9I-8 ติดตามความคืบหน้าในการสนับสนุนจากครอบครัวและเครือข่ายสังคมเพื่อช่วยในการฟื้นฟู

Response (การตอบสนอง)

  • F12F9R-1 ผู้ป่วยสามารถระบุแหล่งการสนับสนุนจากครอบครัวและสังคมได้
  • F12F9R-2 ผู้ป่วยเริ่มแสดงความเต็มใจในการขอรับการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน
  • F12F9R-3 ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มหรือกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างการฟื้นฟูในระยะยาว
  • F12F9R-4 ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีบทบาทในการสนับสนุนการฟื้นฟูของผู้ป่วย
  • F12F9R-5 ผู้ป่วยสามารถพัฒนาทักษะในการสร้างเครือข่ายการสนับสนุนในระยะยาวได้

............................................................................

F12F10 เสี่ยงต่อการกลับไปใช้สารเสพติดเมื่อกลับสู่สังคม (Risk of relapse upon reintegration into society)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกังวลเกี่ยวกับการกลับไปใช้สารเสพติดหลังออกจากการรักษา
  • ผู้ป่วยมีความวิตกเกี่ยวกับแรงกดดันจากสังคมและสิ่งแวดล้อมที่อาจกระตุ้นให้กลับไปใช้กัญชา
  • ผู้ป่วยยังคงมีความสัมพันธ์กับบุคคลหรือสถานการณ์ที่มีการใช้สารเสพติด
  • ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นในการจัดการกับความเครียดหรือปัญหาชีวิต

O:

  • ผู้ป่วยแสดงอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับการใช้สารเสพติดหลังกลับสู่สังคม
  • ผู้ป่วยยังไม่สามารถสร้างกลยุทธ์ในการป้องกันการกลับไปใช้สารเสพติดในสังคมภายนอก
  • สังคมและสิ่งแวดล้อมอาจมีการกระตุ้นให้ผู้ป่วยกลับไปใช้สารเสพติด

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถระบุสัญญาณเตือนของการกลับไปใช้สารเสพติดและเรียนรู้วิธีป้องกัน
  • ผู้ป่วยสามารถสร้างกลยุทธ์ในการป้องกันการกลับไปใช้สารเสพติดเมื่อกลับสู่สังคม
  • ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวหรือกลุ่มสังคมในการรักษาความสะอาดจากสารเสพติด
  • ผู้ป่วยมีทักษะในการจัดการกับสถานการณ์ที่อาจกระตุ้นให้กลับไปใช้สารเสพติด
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนและบำบัดเพื่อเสริมสร้างการฟื้นฟูในระยะยาว

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายกลยุทธ์ในการหลีกเลี่ยงการกลับไปใช้สารเสพติดในสถานการณ์ต่างๆ
  • ผู้ป่วยแสดงความพร้อมในการยึดติดกับแผนการฟื้นฟูระยะยาวและมีทักษะในการรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทาย
  • ผู้ป่วยมีการติดตามหรือเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือการบำบัดอย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยสามารถรับรู้สัญญาณเตือนการกลับไปใช้สารเสพติดและรายงานสภาพจิตใจอย่างตรงไปตรงมา

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F12F10I-1: สอนและสนับสนุนผู้ป่วยให้ระบุสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่อาจกระตุ้นให้กลับไปใช้สารเสพติด
  • F12F10I-2: ช่วยผู้ป่วยวางแผนและพัฒนากลยุทธ์ในการหลีกเลี่ยงการกลับไปใช้สารเสพติดเมื่อกลับสู่สังคม
  • F12F10I-3: แนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือโปรแกรมบำบัดเพื่อการฟื้นฟูระยะยาว
  • F12F10I-4: ให้การสนับสนุนทางจิตใจในการจัดการกับแรงกดดันจากสังคมและปัญหาชีวิต
  • F12F10I-5: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยสร้างเครือข่ายการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารเสพติด
  • F12F10I-6: จัดการเรียนรู้ทักษะการจัดการความเครียดและอารมณ์ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
  • F12F10I-7: กระตุ้นให้ผู้ป่วยติดตามผลและทบทวนแผนการฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ
  • F12F10I-8: สอนทักษะในการรับมือกับความกดดันจากสังคมและสัญญาณกระตุ้นต่างๆ

Response (การตอบสนอง)

  • F12F10R-1: ผู้ป่วยสามารถระบุสัญญาณเตือนการกลับไปใช้สารเสพติดได้
  • F12F10R-2: ผู้ป่วยเริ่มใช้กลยุทธ์ในการหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดในสังคม
  • F12F10R-3: ผู้ป่วยมีการเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือโปรแกรมบำบัดอย่างต่อเนื่อง
  • F12F10R-4: ผู้ป่วยสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่กระตุ้นให้กลับไปใช้สารเสพติดได้
  • F12F10R-5: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจในการฟื้นฟูและไม่กลับไปใช้สารเสพติดในระยะยาว

.................................................................................