เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2568

EP.44 จิตเวชหัวข้อ 4: โรคจิตเภท (Schizophrenia) -F20

Psych. Topic 3: Schizophrenia -F20

1. พยาธิสภาพ (เกิดอะไรขึ้นกับสมอง?)

โรคจิตเภทเป็นความผิดปกติของสมองที่ทำให้ ความคิด อารมณ์ และการรับรู้ผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยอาจหูแว่ว เห็นภาพหลอน หรือมีความคิดแปลกๆ ที่คนอื่นเข้าใจไม่ได้

🧩 เปรียบเหมือน “สมองทำงานผิดจังหวะ” ส่งสัญญาณผิดพลาด ทำให้แยกแยะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและจินตนาการได้ยากขึ้น

2. ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค

📌 พันธุกรรมถ้ามีคนในครอบครัวเป็น ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
📌 สารเคมีในสมองผิดปกติโดยเฉพาะสารโดพามีน (Dopamine)
📌 ความเครียดและสิ่งแวดล้อมเหตุการณ์สะเทือนใจ การใช้สารเสพติด

3. การรักษา (ควบคุมอาการได้ ถ้ารักษาต่อเนื่อง!)

💊 ยายาต้านโรคจิตช่วยควบคุมอาการ ห้ามหยุดยาเอง
🧠 จิตบำบัดฝึกจัดการอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม
🏥 การดูแลระยะยาวอาจต้องมีทีมแพทย์ช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง

4. การพยาบาล (ดูแลผู้ป่วยอย่างไร?)

👂 รับฟังด้วยความเข้าใจไม่ขัดแย้งหรือหักล้างความคิดของผู้ป่วยทันที
💊 กระตุ้นให้กินยาอย่างสม่ำเสมออาการจะดีขึ้นเมื่อได้รับยา
💙 ลดสิ่งกระตุ้นหลีกเลี่ยงความเครียดหรือสถานการณ์ที่อาจกระตุ้นอาการ

5. การดูแลสำหรับบุคคลทั่วไป (ถ้าเจออาการ ควรทำยังไง?)

หากสงสัยว่ามีอาการ ให้พบแพทย์เร็วที่สุด
ไม่ตัดสินหรือต่อว่า แต่ให้ความเข้าใจและช่วยเหลือ
ช่วยดูแลสภาพแวดล้อมให้อบอุ่น ลดความเครียด
ถ้าผู้ป่วยมีพฤติกรรมรุนแรง ควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์ทันที

........................................................

🧠 เข้าใจง่าย ดูแลได้ ไม่ต้องกลัว

🧠 "โรคจิตเภท... ไม่ใช่ความบ้า รักษาได้
💙เริ่มต้นจาก "ความเข้าใจ" และ "การช่วยเหลือที่ถูกต้อง"

📌 คลิกอ่านเลย! https://ampaiindee.blogspot.com/2025/03/ep44-4-schizophrenia-f20.html

📢 แชร์ไว้ เพื่อเข้าใจและช่วยกันดูแลคนรอบตัว! 💙

#เข้าใจโรคจิตเภท #Schizophrenia #ดูแลใจให้กัน #MentalHealthMatters #ให้ความเข้าใจแทนการตัดสิน #ดูแลใจไม่ตัดสิน

...................................................................

2. วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภท (Schizophrenia - F20) 

  1. F20F1 มีความเสี่ยงต่ออันตรายต่อตนเองและผู้อื่น (Risk for violence: self-directed or other-directed)
  2. F20F2 มีภาวะหลงผิด (Disturbed thought processes: Delusions)
  3. F20F3 มีภาวะประสาทหลอน (Disturbed sensory perception: Hallucinations)
  4. F20F4 มีความวิตกกังวลและกลัว (Severe anxiety and fear)
  5. F20F5 มีพฤติกรรมผิดปกติ/ไม่เหมาะสม (Impaired social interaction and inappropriate behavior)
  6. F20F6 ไม่สามารถดูแลตนเองได้ (Self-care deficit: dressing, eating, hygiene)
  7. F20F7 ขาดความร่วมมือในการใช้ยา (Ineffective adherence to medication regimen)
  8. F20F8 มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากยารักษาโรคจิต (Risk for adverse effects of antipsychotic medications)
  9. F20F9 ขาดทักษะในการใช้ชีวิตในสังคม (Impaired social functioning and role performance)
  10. F20F10 มีความเสี่ยงต่อการกำเริบของโรค (Risk for relapse)
  11. F20F11 ครอบครัวขาดความเข้าใจในการดูแลผู้ป่วย (Knowledge deficit: Family coping and care for schizophrenia patients)

...................................................................

F20F1 มีความเสี่ยงต่ออันตรายต่อตนเองและผู้อื่น (Risk for violence: self-directed or other-directed)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยพูดว่า "มีคนจะทำร้ายฉัน" หรือ "ฉันอยากหายไปจากโลกนี้"
  • ครอบครัวแจ้งว่าผู้ป่วยมีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือทำร้ายตนเอง

O:

  • ผู้ป่วยมีท่าทางระแวง หันมองรอบตัวบ่อย
  • พูดคนเดียว หรือเถียงกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
  • แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น กำมือแน่น กัดฟัน หรือลุกลี้ลุกลน
  • พยายามทำร้ายตนเอง เช่น ข่วนแขน กระแทกศีรษะ
  • ปฏิเสธการดูแล หรือไม่ยอมรับประทานอาหาร/ยา

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยปลอดภัยจากการทำร้ายตนเองและผู้อื่น
  • ลดความวิตกกังวลและพฤติกรรมก้าวร้าว
  • สามารถสื่อสารความต้องการได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง
  • มีการตอบสนองต่อการดูแลทางการแพทย์

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
  • ระดับความวิตกกังวลลดลง สงบลงมากขึ้น
  • สามารถสื่อสารความต้องการได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง
  • ให้ความร่วมมือในการรักษาและรับประทานยา

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F1I-1: ประเมินพฤติกรรมผู้ป่วยทุก 15-30 นาที โดยสังเกตท่าทาง สีหน้า และการตอบสนอง
  • F20F1I-2: จัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย (ไม่มีของมีคม/ของหนัก/สิ่งที่อาจใช้ทำร้ายตัวเอง)
  • F20F1I-3: อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยและพูดคุยด้วยน้ำเสียงสงบ มั่นคง (เพื่อสร้างความไว้วางใจและลดความวิตกกังวล)
  • F20F1I-4: หากผู้ป่วยเริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าว ให้ใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ (พูดคุยเรื่องอื่น หรือชวนทำกิจกรรมที่สงบ เช่น วาดภาพ ฟังเพลง)
  • F20F1I-5: หลีกเลี่ยงการเถียงหรือขัดแย้งกับความคิดหลงผิดของผู้ป่วย (เช่น "ฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกแบบนี้" แทนการปฏิเสธสิ่งที่เขาเชื่อ)
  • F20F1I-6: ให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างต่อเนื่อง และติดตามอาการข้างเคียงจากยา
  • F20F1I-7: หากผู้ป่วยเริ่มมีพฤติกรรมรุนแรง ให้ใช้การจำกัดพื้นที่ (Seclusion) หรือการจำกัดการเคลื่อนไหว (Restraint) ตามมาตรฐาน
  • F20F1I-8: ให้การสนับสนุนครอบครัว โดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับมือกับพฤติกรรมผู้ป่วย

Response (การตอบสนอง)

  • F20F1R-1: ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการดูแล
  • F20F1R-2: ผู้ป่วยสามารถสงบลงหลังได้รับการดูแลโดยไม่ต้องใช้วิธีจำกัดการเคลื่อนไหว
  • F20F1R-3: ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรับประทานยาและเข้าร่วมกิจกรรมบำบัด
  • F20F1R-4: ครอบครัวเข้าใจแนวทางการดูแลและสามารถจัดการกับพฤติกรรมของผู้ป่วยได้

..............................................................

F20F2 มีภาวะหลงผิด (Disturbed thought processes: Delusions)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยพูดว่า "มีคนแอบติดตามฉัน" หรือ "ฉันเป็นพระเจ้า"
  • ปฏิเสธข้อมูลที่ขัดแย้งกับความเชื่อของตนเอง
  • ครอบครัวแจ้งว่าผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมหวาดระแวง

O:

  • มีอารมณ์ตื่นกลัว หวาดระแวง หรือโกรธง่าย
  • แยกตัว ไม่ยอมพูดคุยกับผู้อื่น
  • แสดงพฤติกรรมป้องกันตัว เช่น ตรวจสอบรอบตัวบ่อยๆ
  • ปฏิเสธการรับประทานอาหารหรือยาเพราะคิดว่ามีคนวางยา

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมและลดความรุนแรงของความหลงผิดได้
  • สามารถแยกแยะความคิดที่ผิดปกติออกจากความเป็นจริง
  • มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างมากขึ้น
  • ให้ความร่วมมือในการรักษาและรับประทานยา

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสงบลงและตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น
  • ลดการพูดถึงความเชื่อหลงผิดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • ให้ความร่วมมือในการรักษาและรับประทานยา
  • มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างและสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F2I-1: ประเมินระดับความรุนแรงของภาวะหลงผิดและผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้ป่วย
  • F20F2I-2: หลีกเลี่ยงการโต้แย้งหรือพยายามเปลี่ยนแปลงความเชื่อของผู้ป่วยโดยตรง (เพื่อป้องกันความขัดแย้งและลดความวิตกกังวล)
  • F20F2I-3: ใช้วิธีตอบกลับที่เป็นกลาง เช่น "ฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกแบบนั้น" แทนการปฏิเสธสิ่งที่ผู้ป่วยเชื่อ
  • F20F2I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริงและให้ข้อมูลที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม
  • F20F2I-5: ส่งเสริมการทำกิจกรรมที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากความคิดหลงผิด (เช่น งานอดิเรก การออกกำลังกาย กิจกรรมกลุ่ม)
  • F20F2I-6: ติดตามและให้ยาตามแผนการรักษา (ยากลุ่มต้านโรคจิต เช่น Antipsychotics) พร้อมสังเกตอาการข้างเคียง
  • F20F2I-7: ให้การสนับสนุนทางอารมณ์แก่ครอบครัว โดยให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะหลงผิดและแนวทางการดูแลที่เหมาะสม
  • F20F2I-8: ประเมินระดับความเครียดและภาวะซึมเศร้าของผู้ป่วย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง

Response (การตอบสนอง)

  • F20F2R-1: ผู้ป่วยพูดถึงความหลงผิดลดลง และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
  • F20F2R-2: ผู้ป่วยสามารถแยกแยะระหว่างความคิดที่ผิดปกติและความเป็นจริงได้ในบางสถานการณ์
  • F20F2R-3: ให้ความร่วมมือในการรักษาและรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
  • F20F2R-4: ครอบครัวเข้าใจแนวทางการดูแลและสามารถช่วยลดภาวะเครียดของผู้ป่วยได้

..........................................................................

F20F3 มีภาวะประสาทหลอน (Disturbed sensory perception: Hallucinations)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยพูดว่า "ฉันได้ยินเสียงคนคุยกันเกี่ยวกับฉัน" หรือ "มีใครบางคนกำลังสั่งให้ฉันทำอะไรบางอย่าง"
  • แสดงความกลัว วิตกกังวล หรือปฏิเสธว่ามีสิ่งที่มองไม่เห็น
  • บางครั้งพูดคนเดียวหรือขานรับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

O:

  • มีพฤติกรรมหวาดระแวง มองซ้าย-ขวา เหมือนมองหาอะไรบางอย่าง
  • ขาดสมาธิ ไม่สามารถโฟกัสที่บทสนทนาหรือกิจกรรมตรงหน้า
  • อารมณ์แปรปรวน ตอบสนองต่อสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เช่น หัวเราะหรือโกรธโดยไม่มีเหตุผล
  • มีแนวโน้มแยกตัว ไม่พูดคุยหรือให้ความร่วมมือในการรักษา

Goals (เป้าหมาย)

ผู้ป่วยสามารถแยกแยะระหว่างภาพหลอนและความเป็นจริงได้ดีขึ้น

  • ลดความถี่และความรุนแรงของอาการประสาทหลอน
  • ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการได้อย่างเหมาะสมโดยไม่เป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
  • ให้ความร่วมมือในการรักษาและสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมินผล)

  • ผู้ป่วยพูดถึงอาการประสาทหลอนลดลง และสามารถเพิกเฉยได้บางครั้ง
  • ลดพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ไม่มีอยู่จริง
  • มีสมาธิและสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้มากขึ้น
  •  ให้ความร่วมมือในการรับประทานยาและการรักษา

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F3I-1: ประเมินลักษณะของประสาทหลอน (เช่น เสียง ภาพ หรือสัมผัส) ความถี่ ความรุนแรง และผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้ป่วย
  • F20F3I-2: หลีกเลี่ยงการโต้แย้งหรือสนับสนุนความเชื่อของผู้ป่วยเกี่ยวกับประสาทหลอน (เพื่อป้องกันความสับสนและเสริมสร้างความเป็นจริง)
  • F20F3I-3: ใช้วิธีตอบสนองที่เป็นกลาง เช่น "ฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกแบบนั้น แต่ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย"
  • F20F3I-4: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยใช้กลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจ (เช่น ฟังเพลง ออกกำลังกาย หรือเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม)
  • F20F3I-5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยแยกแยะระหว่างภาพหลอนกับความเป็นจริง โดยให้พูดคุยกับบุคคลจริงรอบตัวมากขึ้น
  • F20F3I-6: ติดตามและให้ยาตามแผนการรักษา (เช่น ยากลุ่ม Antipsychotics) พร้อมเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา
  • F20F3I-7: สร้างสภาพแวดล้อมที่สงบ ลดสิ่งเร้าที่อาจกระตุ้นอาการประสาทหลอน เช่น เสียงดังหรือแสงไฟที่รบกวน
  • F20F3I-8: ให้การสนับสนุนทางอารมณ์แก่ครอบครัว โดยให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะประสาทหลอนและแนวทางการดูแล

Response (การตอบสนอง)

  • F20F3R-1: ผู้ป่วยสามารถบอกได้ว่าอาการประสาทหลอนเป็นเพียงอาการของโรค และเริ่มเพิกเฉยได้บ้าง
  • F20F3R-2: ลดพฤติกรรมตอบสนองต่อภาพหลอน และสามารถเข้าร่วมกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น
  • F20F3R-3: มีสมาธิเพิ่มขึ้น และสามารถโต้ตอบกับบุคคลรอบข้างได้ดีขึ้น
  • F20F3R-4: ให้ความร่วมมือในการรับประทานยาและติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง

............................................................

F20F4 มีความวิตกกังวลและกลัว (Severe anxiety and fear)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรู้สึกกังวล กลัว หรือหวาดระแวงมากผิดปกติ
  • บ่นว่า "รู้สึกเหมือนมีคนจะทำร้าย" หรือ "ไม่ปลอดภัย"
  • มีอาการทางร่างกาย เช่น ใจสั่น เหงื่อออก หายใจเร็ว

O:

  • แสดงสีหน้าหวาดกลัว หลีกเลี่ยงการสบตา
  • พฤติกรรมกระสับกระส่าย เดินไปมา หรือเกร็งตัว
  • ตอบสนองไวต่อสิ่งแวดล้อม เช่น สะดุ้งง่าย

Goals (เป้าหมาย)

  • ลดความวิตกกังวลและความกลัวของผู้ป่วย
  • ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอารมณ์และใช้เทคนิคผ่อนคลายได้
  • สนับสนุนให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในการดูแลตนเอง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถลดความวิตกกังวลได้
  • มีอารมณ์และพฤติกรรมสงบขึ้น
  • สามารถสื่อสารความต้องการได้ชัดเจน

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F4I-1: ประเมินระดับความวิตกกังวลและปัจจัยกระตุ้น
  • F20F4I-2: จัดสภาพแวดล้อมให้สงบ ลดเสียงดังและสิ่งเร้าที่กระตุ้นความกลัว
  • F20F4I-3: ใช้น้ำเสียงนุ่มนวล ให้การสัมผัสที่อ่อนโยน เพื่อสร้างความมั่นใจ
  • F20F4I-4: สอนเทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ หรือการใช้จินตภาพเชิงบวก
  • F20F4I-5: อยู่กับผู้ป่วยเมื่อลดความวิตกกังวล เพื่อให้รู้สึกปลอดภัย
  • F20F4I-6: หลีกเลี่ยงการบังคับหรือเร่งรัดให้ผู้ป่วยพูดถึงความกลัวทันที
  • F20F4I-7: กระตุ้นให้ทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น วาดภาพ ฟังเพลง
  • F20F4I-8: ให้ยาตามแผนการรักษา และติดตามผลข้างเคียงของยา

Response (การตอบสนอง)

  • F20F4R-1: ผู้ป่วยลดพฤติกรรมหวาดกลัว กระสับกระส่าย
  • F20F4R-2: แสดงออกถึงความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
  • F20F4R-3: ใช้เทคนิคผ่อนคลายได้ด้วยตัวเอง
  • F20F4R-4: ให้ความร่วมมือในการดูแลและติดตามอาการ

............................................................

F20F5 มีพฤติกรรมผิดปกติ/ไม่เหมาะสม (Impaired social interaction and inappropriate behavior)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น พูดจาไม่เข้ากับสถานการณ์ แสดงออกก้าวร้าว หรือไม่คำนึงถึงความเหมาะสม
  • บ่นว่า "ไม่มีใครเข้าใจฉัน" หรือ "ฉันไม่รู้จะคุยกับคนอื่นอย่างไร"
  • มีอาการทางอารมณ์ไม่คงที่ เช่น หัวเราะหรือร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล

O:

  • พูดคนเดียว หรือโต้ตอบกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
  • แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อสังคม เช่น ตะโกนเสียงดังในที่สาธารณะ หรือแสดงท่าทางแปลก ๆ
  • มีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้
  • ส่งเสริมการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีขึ้น
  • ลดความกังวลและเพิ่มความมั่นใจในการเข้าสังคม

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมลงได้
  • สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
  • มีความมั่นใจในการเข้าสังคมมากขึ้น

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F5I-1: ประเมินพฤติกรรมของผู้ป่วยและปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสม
  • F20F5I-2: จัดสภาพแวดล้อมให้สงบ ลดสิ่งเร้าที่อาจกระตุ้นพฤติกรรมผิดปกติ
  • F20F5I-3: ใช้การสื่อสารที่ชัดเจนและมั่นคง เมื่อพูดคุยกับผู้ป่วย
  • F20F5I-4: แนะนำเทคนิคควบคุมอารมณ์ เช่น หายใจลึก ๆ หรือฝึกสมาธิ
  • F20F5I-5: สนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม เพื่อฝึกการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • F20F5I-6: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เหมาะสมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
  • F20F5I-7: หลีกเลี่ยงการตำหนิ แต่ให้คำแนะนำด้วยท่าทีที่เข้าใจและให้กำลังใจ
  • F20F5I-8: ประเมินผลข้างเคียงของยาที่อาจส่งผลต่อพฤติกรรม และรายงานแพทย์หากจำเป็น

Response (การตอบสนอง)

  • F20F5R-1: ผู้ป่วยลดพฤติกรรมไม่เหมาะสมลงอย่างเห็นได้ชัด
  • F20F5R-2: สามารถโต้ตอบและสื่อสารกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
  • F20F5R-3: มีความมั่นใจและเข้าร่วมกิจกรรมสังคมมากขึ้น
  • F20F5R-4: สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด

.....................................................................

F20F6 ไม่สามารถดูแลตนเองได้ (Self-care deficit: dressing, eating, hygiene)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยมีปัญหาในการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การแต่งตัว, การกิน, การอาบน้ำ
  • พูดว่า "ไม่มีแรงทำเอง" หรือ "ไม่รู้สึกอยากทำตัวเอง"
  • ปฏิเสธที่จะทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ไม่อาบน้ำหรือไม่แต่งตัว

O:

  • เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยหรือสกปรก
  • ผู้ป่วยมีกลิ่นตัวไม่พึงประสงค์
  • อาการเหนื่อยล้าและขาดความสนใจในการดูแลตัวเอง

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองได้มากขึ้น เช่น การแต่งตัวและการกิน
  • เพิ่มความสนใจในการทำกิจกรรมประจำวันและการดูแลสุขอนามัย
  • ลดความพึ่งพาผู้อื่นในการดูแลตนเอง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมประจำวันด้วยตนเองได้
  • ผู้ป่วยมีสุขอนามัยที่ดีและแต่งตัวเรียบร้อย
  • ผู้ป่วยสามารถทานอาหารได้อย่างอิสระมากขึ้น

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F6I-1: ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การแต่งตัว, การกิน, และการอาบน้ำ
  • F20F6I-2: สนับสนุนให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมเหล่านี้ทีละขั้นตอน เช่น แนะนำให้แต่งตัวเป็นชุดที่ง่ายต่อการสวมใส่
  • F20F6I-3: จัดให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือในการดูแลตัวเอง เช่น การจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการอาบน้ำ
  • F20F6I-4: แนะนำให้มีเวลาที่เหมาะสมในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น กำหนดเวลาในการทานอาหารและอาบน้ำ
  • F20F6I-5: สอนและให้คำแนะนำในการดูแลสุขอนามัยพื้นฐาน เช่น การล้างมือ การแปรงฟัน
  • F20F6I-6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมโดยตัวเองให้มากที่สุด แม้จะต้องการความช่วยเหลือเล็กน้อย
  • F20F6I-7: ให้กำลังใจผู้ป่วยเมื่อสามารถทำกิจกรรมได้สำเร็จ เช่น การแต่งตัวเองหรือทานอาหาร
  • F20F6I-8: ประเมินผลข้างเคียงของยาและผลกระทบต่อความสามารถในการดูแลตัวเอง

Response (การตอบสนอง)

  • F20F6R-1: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมพื้นฐานเช่นการแต่งตัวและทานอาหารได้เองมากขึ้น
  • F20F6R-2: สุขอนามัยของผู้ป่วยดีขึ้น และผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีขึ้นจากการดูแลตัวเอง
  • F20F6R-3: ผู้ป่วยรู้สึกภูมิใจในตัวเองเมื่อสามารถดูแลตัวเองได้
  • F20F6R-4: ผู้ป่วยสามารถทานอาหารและอาบน้ำได้โดยไม่มีความช่วยเหลือมากนัก

..........................................................................

F20F7 ขาดความร่วมมือในการใช้ยา (Ineffective adherence to medication regimen)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยบอกว่า "ไม่เห็นความสำคัญในการทานยา" หรือ "ยามีผลข้างเคียงที่ไม่ดี"
  • ผู้ป่วยลืมทานยาเป็นประจำ
  • ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงเมื่อไม่ได้ทานยา

O:

  • ผู้ป่วยมีอาการโรคจิตเพิ่มขึ้น เช่น มีความคิดหลงผิดหรือประสาทหลอน
  • ตรวจสอบประวัติการทานยาและพบว่าผู้ป่วยไม่ได้ทานยาอย่างสม่ำเสมอ
  • อาการทางจิตใจแย่ลงเมื่อไม่ได้รับยาตามกำหนด

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยรับรู้ความสำคัญของการทานยาอย่างสม่ำเสมอ
  • ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการใช้ยาตามแผนการรักษา
  • ลดการเกิดอาการทางจิตที่เกิดจากการไม่ทานยา

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยทานยาตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ
  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงความสำคัญของการทานยา
  • ผู้ป่วยมีอาการทางจิตลดลงจากการทานยา

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F7I-1: สอบถามและประเมินปัญหาที่ผู้ป่วยพบเกี่ยวกับการทานยา เช่น ผลข้างเคียงหรือความไม่สะดวกในการทานยา
  • F20F7I-2: อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงผลดีของการทานยาและความเสี่ยงจากการไม่ทานยาอย่างสม่ำเสมอ
  • F20F7I-3: จัดตารางการทานยาให้ผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อเพิ่มความสะดวกในการทานยา
  • F20F7I-4: ให้การสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น การเตือนการทานยา หรือการใช้แอพพลิเคชันเพื่อติดตามการทานยา
  • F20F7I-5: สร้างแรงจูงใจให้ผู้ป่วยทานยาผ่านการเสริมพลังจิตใจ เช่น การให้รางวัลเมื่อทานยา
  • F20F7I-6: ตรวจสอบประสิทธิภาพของการทานยา และปรับแผนการรักษาเมื่อจำเป็น
  • F20F7I-7: พูดคุยกับครอบครัวเพื่อเพิ่มการสนับสนุนในการใช้ยา
  • F20F7I-8: จัดให้มีการติดตามผลการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการหยุดทานยาโดยไม่ได้รับการแจ้ง

Response (การตอบสนอง)

  • F20F7R-1: ผู้ป่วยเริ่มทานยาอย่างสม่ำเสมอและไม่มีปัญหาจากการลืมทานยา
  • F20F7R-2: ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงผลดีของการทานยาและการไม่ทานยา
  • F20F7R-3: ผู้ป่วยมีอาการทางจิตลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากการทานยา
  • F20F7R-4: ครอบครัวให้การสนับสนุนและช่วยติดตามการทานยา

..........................................................

F20F8 ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากยารักษาโรคจิต (Risk for adverse effects of antipsychotic medications)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานอาการเช่น เวียนศีรษะหรือมึนงงหลังจากทานยา
  • ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย หรือเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ
  • ผู้ป่วยมีปัญหาทางการมองเห็นหรือการพูดหลังจากทานยา

O:

  • ผู้ป่วยแสดงอาการที่เกี่ยวข้องกับยาประเภทยาแอนติโพไซโคติก เช่น กล้ามเนื้อแข็ง, เคลื่อนไหวช้า, ความดันโลหิตต่ำ
  • ผลการตรวจพบการเพิ่มน้ำหนักหรืออาการทางเดินอาหารผิดปกติ

Goals (เป้าหมาย)

  • ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการใช้ยา
  • ป้องกันอาการข้างเคียงจากยารักษาโรคจิต
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าใจและรับมือกับภาวะแทรกซ้อนจากยาที่ใช้รักษาโรคจิต

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไม่มีอาการข้างเคียงรุนแรงจากการใช้ยา
  • ผลการตรวจเลือดหรือการตรวจสุขภาพอื่น ๆ แสดงการทำงานปกติของอวัยวะ
  • ผู้ป่วยสามารถบอกอาการข้างเคียงที่เกิดจากยาได้อย่างชัดเจน

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F8I-1: สังเกตและบันทึกอาการข้างเคียงของยาอย่างสม่ำเสมอ เช่น กล้ามเนื้อแข็ง, เวียนศีรษะ, น้ำหนักเพิ่ม
  • F20F8I-2: ให้คำแนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับการลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนของยา เช่น การหลีกเลี่ยงการขับขี่หรือลดการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยง
  • F20F8I-3: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการข้างเคียง เช่น การหยุดใช้ยาและติดต่อแพทย์ทันที
  • F20F8I-4: ตรวจสอบน้ำหนักตัวและค่าเลือดเป็นประจำ เช่น การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือด
  • F20F8I-5: จัดให้มีการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามผลกระทบจากการใช้ยา เช่น การตรวจประสิทธิภาพของตับและไต
  • F20F8I-6: แจ้งให้ผู้ป่วยทราบถึงอาการข้างเคียงที่พบบ่อย และวิธีการดูแลเมื่อเกิดอาการดังกล่าว
  • F20F8I-7: ประสานงานกับทีมแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนยาหรือกำหนดการใช้ยาให้เหมาะสมหากพบภาวะแทรกซ้อน
  • F20F8I-8: สนับสนุนผู้ป่วยให้มีการพูดคุยเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากยาและยินดีรับคำแนะนำจากแพทย์

Response (การตอบสนอง)

  • F20F8R-1: ผู้ป่วยรายงานอาการข้างเคียงลดลงหรือไม่เกิดอาการข้างเคียงจากยา
  • F20F8R-2: ผลการตรวจสุขภาพแสดงว่าผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากยาหรือมีการปรับระดับการใช้ยา
  • F20F8R-3: ผู้ป่วยสามารถรายงานอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่พยาบาลและแพทย์
  • F20F8R-4: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนจากยารักษาโรคจิต

.....................................................................

F20F9 ขาดทักษะในการใช้ชีวิตในสังคม (Impaired social functioning and role performance)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยมีความยากลำบากในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการพูดคุยหรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสังคม
  • ผู้ป่วยรายงานรู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น

O:

  • ผู้ป่วยไม่สามารถทำงานหรือเรียนได้ตามปกติ
  • ผู้ป่วยมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการติดต่อกับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน
  • ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะการสื่อสารหรือร่วมงานกับผู้อื่นได้

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมได้ดีขึ้น
  • ผู้ป่วยมีทักษะในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นในชีวิตประจำวัน
  • ผู้ป่วยสามารถปรับปรุงการทำงานหรือการเรียนในสภาพแวดล้อมสังคม

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยมีการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสังคมมากขึ้น เช่น การพูดคุยกับคนอื่นหรือเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม
  • ผู้ป่วยสามารถปรับปรุงทักษะในการทำงานหรือการเรียน
  • ผู้ป่วยมีการทำงานร่วมกับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้น

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F9I-1: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมสังคมที่ไม่ต้องใช้ความซับซ้อนในการติดต่อ เช่น การพูดคุยกับเพื่อนหรือการเข้าร่วมกลุ่มสนทนา
  • F20F9I-2: ให้การสนับสนุนในเรื่องการฝึกทักษะการสื่อสารเพื่อพัฒนาความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์
  • F20F9I-3: ช่วยแนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาทักษะทางสังคม เช่น การมีการพูดคุยหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม
  • F20F9I-4: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาชีพหรือการศึกษา เช่น การเข้าร่วมการสัมมนา
  • F20F9I-5: ใช้การสนทนาแบบโค้ชชิ่งเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยค้นหาทักษะทางสังคมที่สามารถปรับปรุงได้
  • F20F9I-6: แนะนำผู้ป่วยให้มีการฝึกทักษะการจัดการเวลาในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
  • F20F9I-7: จัดการประชุมกลุ่มสนับสนุนสำหรับผู้ป่วยที่มีความยากลำบากในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • F20F9I-8: ประเมินและปรับการวางแผนการฝึกทักษะทางสังคมให้เหมาะสมตามความสามารถของผู้ป่วย

Response (การตอบสนอง)

  • F20F9R-1: ผู้ป่วยเริ่มมีการพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในกิจกรรมทางสังคม
  • F20F9R-2: ผู้ป่วยมีทักษะการสื่อสารที่ดีขึ้น เช่น การแสดงความคิดเห็นหรือการตอบสนองในกิจกรรมร่วมกลุ่ม
  • F20F9R-3: ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำงานหรือการศึกษา
  • F20F9R-4: ผู้ป่วยสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้น
  • ............................................................

F20F10 มีความเสี่ยงต่อการกำเริบของโรค (Risk for relapse)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยแสดงอาการซึมเศร้า, เครียด, หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ
  • ผู้ป่วยมีประวัติการขาดการติดตามการรักษา หรือหยุดยาด้วยตนเอง
  • ผู้ป่วยมีอาการที่มักทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเผชิญกับความเครียด
  • ผู้ป่วยไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาอย่างถูกต้อง

O:

  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมผิดปกติ เช่น พูดไม่ชัด, ทำกิจกรรมไม่ต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยมีสัญญาณของการขาดการดูแลตนเอง เช่น การนอนไม่พอ, การทานอาหารไม่เพียงพอ
  • ผู้ป่วยมีอาการของโรคซ้ำหรือแย่ลงเมื่อไม่มีการรักษาต่อเนื่อง

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาและเข้ารับการติดตามรักษาตามคำแนะนำ
  • ผู้ป่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลที่สามารถกระตุ้นการกำเริบของโรค
  • ผู้ป่วยไม่แสดงอาการของการกำเริบของโรคในช่วงเวลาที่กำหนด

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาอย่างถูกต้อง
  • ผู้ป่วยสามารถรับมือกับสถานการณ์เครียดได้ดีกว่าเดิม
  • ผู้ป่วยไม่มีอาการของการกำเริบของโรคในระยะเวลาที่กำหนด
  • ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมที่แสดงถึงการขาดการดูแลตนเองหรือการหยุดยา

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F10I-1: ประเมินการใช้ยาของผู้ป่วยทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าได้รับยาตามแผนการรักษา
  • F20F10I-2: สอนผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับความสำคัญของการใช้ยาตามคำแนะนำและการติดตามรักษา
  • F20F10I-3: ช่วยจัดการกับความเครียดของผู้ป่วยด้วยเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ หรือการฝึกสมาธิ
  • F20F10I-4: จัดการการติดตามการรักษาให้ต่อเนื่อง โดยการนัดหมายให้ผู้ป่วยกลับมาตรวจหรือพบแพทย์ตามกำหนด
  • F20F10I-5: ให้การสนับสนุนทางสังคมแก่ผู้ป่วย เช่น การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนสำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภท
  • F20F10I-6: กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิต เช่น การออกกำลังกาย
  • F20F10I-7: แจ้งเตือนผู้ป่วยเกี่ยวกับสัญญาณที่อาจทำให้โรคกำเริบ เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอหรือการขาดอาหาร
  • F20F10I-8: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรักษาตารางเวลาการทานอาหารและการพักผ่อนให้เหมาะสม

Response (การตอบสนอง)

  • F20F10R-1: ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษาและการใช้ยาตามคำแนะนำ
  • F20F10R-2: ผู้ป่วยสามารถลดระดับความเครียดและจัดการกับความวิตกกังวลได้ดีขึ้น
  • F20F10R-3: ผู้ป่วยไม่แสดงอาการของการกำเริบของโรคในช่วงระยะเวลาที่กำหนด
  • F20F10R-4: ผู้ป่วยมีการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยาเอง
  • F20F10R-5: ผู้ป่วยแสดงการพัฒนาในทักษะการดูแลตนเองและมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

....................................................................

F20F11 ครอบครัวขาดความเข้าใจในการดูแลผู้ป่วย (Knowledge deficit: Family coping and care for schizophrenia patients)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ครอบครัวแสดงความกังวลเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยและไม่มั่นใจในการจัดการกับอาการของผู้ป่วย
  • ครอบครัวมีความรู้เกี่ยวกับโรคจิตเภทและการดูแลผู้ป่วยไม่เพียงพอ
  • ครอบครัวอาจไม่ทราบวิธีจัดการกับสถานการณ์ที่ผู้ป่วยมีอาการกำเริบหรือประสบปัญหา
  • ครอบครัวแสดงอาการเครียดหรือวิตกกังวลในการดูแลผู้ป่วย

O:

  • ครอบครัวไม่สามารถให้การสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ครอบครัวไม่สามารถแยกแยะอาการที่ต้องการการดูแลพิเศษจากอาการปกติของโรค
  • ครอบครัวแสดงอาการวิตกกังวลเมื่อผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลง

Goals (เป้าหมาย)

  • ครอบครัวมีความรู้และความเข้าใจในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภท
  • ครอบครัวสามารถจัดการกับอาการของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ครอบครัวสามารถลดความเครียดและความวิตกกังวลในการดูแลผู้ป่วย
  • ครอบครัวสามารถใช้เทคนิคในการดูแลและให้การสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ครอบครัวสามารถให้การดูแลและสนับสนุนผู้ป่วยได้ตามแผนการรักษา
  • ครอบครัวสามารถจัดการกับอาการของผู้ป่วยในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
  • ครอบครัวสามารถแยกแยะอาการปกติจากอาการที่ต้องการการดูแลพิเศษ
  • ครอบครัวลดความเครียดในการดูแลผู้ป่วย

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20F11I-1: จัดการประชุมให้ความรู้เกี่ยวกับโรคจิตเภทและการดูแลผู้ป่วยให้กับครอบครัว
  • F20F11I-2: สอนครอบครัวเกี่ยวกับอาการและสัญญาณที่ต้องระวังในผู้ป่วย
  • F20F11I-3: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับมือกับความเครียดและการจัดการกับอารมณ์ของผู้ป่วย
  • F20F11I-4: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาและการติดตามการรักษาของผู้ป่วย
  • F20F11I-5: ช่วยพัฒนาทักษะในการสื่อสารและการตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้ป่วย
  • F20F11I-6: แนะนำกลุ่มสนับสนุนสำหรับครอบครัวของผู้ป่วยโรคจิตเภท
  • F20F11I-7: สอนเทคนิคการดูแลในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การจัดการกับความเครียดที่เกิดจากการกำเริบของโรค
  • F20F11I-8: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างความเข้าใจระหว่างสมาชิกในครอบครัว

Response (การตอบสนอง)

  • F20F11R-1: ครอบครัวสามารถให้การดูแลและสนับสนุนผู้ป่วยได้ดีขึ้น
  • F20F11R-2: ครอบครัวสามารถจัดการกับอาการและความเครียดของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • F20F11R-3: ครอบครัวเข้าใจและสามารถแยกแยะอาการของผู้ป่วยได้ถูกต้อง
  • F20F11R-4: ครอบครัวลดความวิตกกังวลในการดูแลผู้ป่วย
  • F20F11R-5: ครอบครัวแสดงความมั่นใจในการดูแลและให้การสนับสนุนผู้ป่วย

..............................................................................