เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

EP. 39👉👉การพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS) P22.0 - Acute Respiratory distress syndrome of newborn

 


พยาธิสภาพของทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลัน

Acute Respiratory Distress Syndrome (ARDS) ในทารกคลอดก่อนกำหนดเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของการพัฒนาในปอด โดยเฉพาะการขาดสารซึ่งทำหน้าที่ลดแรงตึงผิวในถุงลม (surfactant) ซึ่งช่วยให้ถุงลมไม่ยุบตัวในขณะที่หายใจ ปัญหานี้ทำให้ทารกมีอาการหายใจลำบาก เนื่องจากปอดไม่สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลงและทารกต้องใช้แรงมากในการหายใจ อาการนี้มักเกิดในทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่มีอายุต่ำกว่า 28 สัปดาห์

การรักษาทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลัน

การรักษาภาวะหายใจลำบากเฉียบพลันในทารกคลอดก่อนกำหนดมักเริ่มต้นด้วยการให้การช่วยหายใจ เช่น การให้เครื่องช่วยหายใจหรือการใช้เครื่องช่วยหายใจแบบ Continuous Positive Airway Pressure (CPAP) เพื่อช่วยลดภาระในการหายใจและเพิ่มออกซิเจนให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังสามารถให้สารซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้าง surfactant เพิ่มเติมได้โดยการให้ผ่านการแทรกทางหลอดลม เพื่อเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของปอดและลดภาวะหายใจลำบาก

การพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลัน

การพยาบาลทารกที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลันในทารกคลอดก่อนกำหนดต้องเน้นการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยการตรวจสอบการหายใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินสัญญาณชีพ การให้สารน้ำและสารอาหารที่เพียงพอ รวมถึงการดูแลความสะอาดและความอบอุ่นของทารกเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และการดูแลด้านจิตใจของพ่อแม่เพื่อให้พวกเขาได้รับข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับสภาพของทารกและขั้นตอนการรักษาที่เกิดขึ้น

วินิจฉัยการพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบากเฉียบพลัน

  1. P22.0F1: การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่องเนื่องจากปอดเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์และขาดสารลดแรงตึงผิว (Impaired gas exchange related to immature lungs and surfactant deficiency) (ปัญหานี้ส่งผลโดยตรงต่อการอยู่รอดของทารก)
  2. P22.0F2: เสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนและปอดแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ, pneumothorax, หรือเลือดออกในปอด (Risk for hypoxia and pulmonary complications, such as pneumonia, pneumothorax, or pulmonary hemorrhage) (ภาวะแทรกซ้อนทางปอดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต)
  3. P22.0F3: เสี่ยงต่อการทำงานของหัวใจล้มเหลวระหว่างการ CPR (Risk for decreased cardiac output during CPR) (ส่งผลให้การส่งออกซิเจนและสารอาหารไปอวัยวะต่างๆ ลดลง)
  4. P22.0F4: เสี่ยงต่อสมองขาดเลือดระหว่างหรือหลัง CPR เนื่องจากหัวใจล้มเหลว (Risk of cerebral ischemia during or after CPR due to cardiac failure) (ส่งผลกระทบต่อสมองและอวัยวะสำคัญ)
  5. P22.0F5: เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากภูมิคุ้มกันต่ำและกระบวนการรักษา (Risk for respiratory and systemic infections due to low immunity and invasive procedures) (การติดเชื้ออาจทำให้ทารกอาการแย่ลง)
  6. P22.0F6: เสี่ยงต่อปอดแฟบหรือเลือดออกจากการใส่ท่อช่วยหายใจ (Risk for complications of mechanical ventilation, such as atelectasis or bleeding) (เกิดจากการตั้งค่าเครื่องช่วยหายใจไม่เหมาะสม)
  7. P22.0F7: เสี่ยงต่อเนื้อเยื่อบาดเจ็บจากการใส่ท่อช่วยหายใจหรือ CPR (Risk for impaired tissue integrity related to invasive procedures) (เนื้อเยื่ออาจเสียหายจากการกระทำที่รุกล้ำ)
  8. P22.0F8: เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารจากพลังงานสูงและการดูดซึมบกพร่อง (Risk for malnutrition due to high energy demands and impaired nutrient absorption) (ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและฟื้นตัวของทารก)
  9. P22.0F9: พ่อแม่วิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะวิกฤตของทารก (Parental anxiety related to infant’s critical condition) (ความวิตกกังวลอาจส่งผลต่อการดูแลทารก)
  10. P22.0F10: พ่อแม่ขาดความรู้ในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด (Knowledge deficit regarding infant care related to prematurity) (การขาดความรู้ทำให้การดูแลที่บ้านยุ่งยากขึ้น)
  11. P22.0F11: ครอบครัวเสี่ยงต่อการรับมือกับปัญหาได้ไม่ดีเนื่องจากภาวะเรื้อรังของทารก (Risk for impaired family coping related to the infant’s chronic condition) (ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของครอบครัว)

หมายเหตุ: ตัวเลข F1, F2, F3 เป็นเพียงตัวเลขที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การจัดลำดับวินิจฉัยการพยาบาลเป็นไปอย่างมีระบบ อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม

…………………………………………

P22.0F1: การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่องเนื่องจากปอดเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์และขาดสารลดแรงตึงผิว (Impaired gas exchange related to immature lungs and surfactant deficiency)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • มารดารายงานว่าทารกมีอาการหายใจลำบากหลังคลอดหายใจเร็ว
  • มารดารายงานว่าทารกมีอาการหายใจลำบากหลังคลอดมีเสียงหายใจครืดคราด

O:

  • อัตราการหายใจ > 60 ครั้ง/นาที
  • การหายใจมีเสียงครืดคราดหรือ stridor
  • SpO₂ < 90% (วัดด้วย pulse oximeter)
  • สังเกตเห็นการพยายามหายใจ เช่น ปีกจมูกบานหรือการยุบตัวของหน้าอก (retractions)
  • ภาพถ่ายรังสีทรวงอกพบปอดเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ (Immature lungs)

Goals (เป้าหมาย)

  • ทารกมีการแลกเปลี่ยนก๊าซในปอดดีขึ้น (SpO₂ ≥ 90%)
  • อัตราการหายใจกลับสู่ค่าปกติ (30–60 ครั้ง/นาที)
  • ทารกมีอาการหายใจปกติ ไม่มีเสียงครืดคราดหรือการพยายามหายใจ
  • Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
  • SpO₂ อยู่ในช่วง90%
  • อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 30–60 ครั้ง/นาที
  • ทารกไม่มีอาการหายใจลำบาก เช่น ปีกจมูกบานหรือการยุบตัวของหน้าอก

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F1I-1: จัดให้ทารกได้รับออกซิเจนเสริมตามคำสั่งแพทย์ (เช่น CPAP หรือ high-flow oxygen) เพื่อช่วยการแลกเปลี่ยนก๊าซ
  • P22.0F1I-2: ติดตาม SpO₂ อย่างต่อเนื่องและบันทึกค่าเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการช่วยหายใจ
  • P22.0F1I-3: ให้สารลดแรงตึงผิว (Surfactant replacement therapy) ตามคำสั่งแพทย์ เพื่อลดแรงตึงผิวของถุงลมปอด
  • P22.0F1I-4: วัดสัญญาณชีพ (Vital signs) ทุก 1–2 ชั่วโมง เพื่อติดตามภาวะหายใจและการไหลเวียนโลหิต
  • P22.0F1I-5: จัดท่านอนศีรษะสูงเล็กน้อย (Head elevation 15–30 องศา) เพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อปอด
  • P22.0F1I-6: ให้การดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น ควบคุมอุณหภูมิในตู้อบ เพื่อช่วยรักษาความคงตัวของร่างกาย
  • P22.0F1I-7: ประเมินอาการแทรกซ้อน เช่น ภาวะโพรงเยื่อหุ้มปอดรั่ว (Pneumothorax)

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F1R-1: SpO₂ ของทารก90% หลังได้รับออกซิเจนเสริม
  • P22.0F1R-2: อัตราการหายใจลดลงและกลับสู่ช่วง 30–60 ครั้ง/นาที
  • P22.0F1R-3: ไม่มีอาการพยายามหายใจ เช่น ปีกจมูกบานหรือหน้าอกยุบ
  • P22.0F1R-4: การหายใจเป็นปกติ ไม่มีเสียงครืดคราดหรือ stridor
  • P22.0F1R-5: ภาพถ่ายรังสีทรวงอกแสดงการปรับปรุงในถุงลมปอดหลังการให้สารลดแรงตึงผิว
  • P22.0F1R-6: ทารกมีการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นดีขึ้นและการเคลื่อนไหวปกติ

…………………………………

P22.0F2: เสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนและปอดแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ, pneumothorax, หรือเลือดออกในปอด (Risk for hypoxia and pulmonary complications, such as pneumonia, pneumothorax, or pulmonary hemorrhage)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • มารดารายงานว่าทารกมีอาการหายใจลำบาก เช่น หายใจเร็วหรือเหนื่อยง่าย

O:

  • อัตราการหายใจ > 60 ครั้ง/นาที
  • SpO₂ < 90%
  • การพยายามหายใจ เช่น ปีกจมูกบานหรือหน้าอกยุบ (retractions)
  • ตรวจพบเสียงผิดปกติในปอด (เช่น crackles หรือ diminished breath sounds)
  • ภาพถ่ายรังสีทรวงอกพบลักษณะของภาวะ pneumothorax หรือปอดอักเสบ

Goals (เป้าหมาย)

  • ทารกไม่มีภาวะขาดออกซิเจน (SpO₂ ≥ 90%)
  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางปอด
  • ไม่มีอาการหรือสัญญาณของปอดอักเสบ, pneumothorax, หรือเลือดออกในปอด

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • SpO₂ ≥ 90% ตลอดเวลา
  • ไม่มีอาการหายใจลำบาก เช่น ปีกจมูกบานหรือหน้าอกยุบ
  • ทารกไม่มีสัญญาณของการติดเชื้อหรือภาวะปอดแทรกซ้อน
  • ภาพถ่ายรังสีทรวงอกไม่พบภาวะผิดปกติ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F2I-1: ติดตาม SpO₂ อย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินความเพียงพอของออกซิเจน
  • P22.0F2I-2: ให้การดูแลระบบทางเดินหายใจ เช่น การดูดเสมหะอย่างถูกวิธีและปลอดเชื้อ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • P22.0F2I-3: ให้การช่วยหายใจด้วยอุปกรณ์ เช่น CPAP หรือเครื่องช่วยหายใจตามคำสั่งแพทย์
  • P22.0F2I-4: ให้สารลดแรงตึงผิว (Surfactant) เพื่อลดความเสี่ยงต่อการยุบตัวของถุงลมปอด
  • P22.0F2I-5: เฝ้าระวังอาการของภาวะ pneumothorax เช่น การหายใจลำบากมากขึ้นอย่างฉับพลัน
  • P22.0F2I-6: ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 1–2 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบการทำงานของระบบทางเดินหายใจและการไหลเวียนโลหิต
  • P22.0F2I-7: ให้ยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์ หากสงสัยภาวะปอดอักเสบหรือการติดเชื้อ
  • P22.0F2I-8: จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น รักษาอุณหภูมิในตู้อบเพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะ hypothermia
  • P22.0F2I-9: สื่อสารกับครอบครัวเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F2R-1: SpO₂ ≥ 90% และไม่มีอาการขาดออกซิเจน
  • P22.0F2R-2: ไม่มีภาวะ pneumothorax, ปอดอักเสบ หรือเลือดออกในปอดจากการตรวจประเมินทางคลินิกและภาพถ่ายรังสี
  • P22.0F2R-3: ทารกไม่มีอาการหายใจลำบาก เช่น ปีกจมูกบานหรือหน้าอกยุบ
  • P22.0F2R-4: การติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนลดลงหรือไม่มี
  • P22.0F2R-5: ครอบครัวเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลทารกได้อย่างถูกต้อง

………………………………………

P22.0F3: เสี่ยงต่อการทำงานของหัวใจล้มเหลวระหว่างการ CPR (Risk for decreased cardiac output during CPR)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • มารดาไม่สามารถให้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจของทารก แต่มีประวัติโรคทางพันธุกรรมเกี่ยวกับหัวใจในครอบครัว

O:

  • สังเกตการไหลเวียนโลหิต เช่น ชีพจรเต้นเบาหรือเร็วผิดปกติ (> 180 ครั้ง/นาที หรือ < 100 ครั้ง/นาที)
  • การตรวจ SpO₂ พบค่า < 90%
  • การตรวจวัดความดันโลหิตพบค่าไม่คงที่หรือต่ำผิดปกติ
  • สังเกตอาการที่บ่งบอกถึงการไหลเวียนโลหิตไม่เพียงพอ เช่น ผิวซีด เย็น หรือมีอาการบวม
  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) พบความผิดปกติ เช่น arrhythmia

Goals (เป้าหมาย)

  • เพิ่มการทำงานของหัวใจให้เพียงพอต่อการส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังอวัยวะต่างๆ
  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวระหว่างการ CPR
  • ทารกมีอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตในเกณฑ์ปกติ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ชีพจรของทารกอยู่ในช่วง 100–160 ครั้ง/นาที
  • ความดันโลหิตคงที่และเหมาะสมตามอายุและน้ำหนัก
  • ไม่มีอาการที่แสดงถึงการไหลเวียนโลหิตไม่เพียงพอ เช่น ผิวซีด เย็น หรือบวม
  • SpO₂ ≥ 90% ตลอดเวลา
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ไม่พบความผิดปกติ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F3I-1: ติดตามการทำงานของหัวใจโดยใช้ ECG monitor และบันทึกค่าความผิดปกติที่พบ
  • P22.0F3I-2: เฝ้าระวังอัตราการเต้นของหัวใจและชีพจรทุก 15 นาทีในกรณีฉุกเฉิน หรือทุก 1 ชั่วโมงในกรณีปกติ
  • P22.0F3I-3: ประเมิน SpO₂ และจัดให้ออกซิเจนเสริมอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาการไหลเวียนออกซิเจน
  • P22.0F3I-4: เตรียมอุปกรณ์สำหรับการช่วยฟื้นคืนชีพหัวใจ (CPR) ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา
  • P22.0F3I-5: ให้ยากระตุ้นการทำงานของหัวใจ (inotropes) ตามคำสั่งแพทย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานของหัวใจ
  • P22.0F3I-6: ประเมินและบันทึกความดันโลหิตทุก 15–30 นาทีในช่วงที่มีความเสี่ยงสูง
  • P22.0F3I-7: ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (IV fluids) อย่างเหมาะสมตามคำสั่งแพทย์ เพื่อรักษาปริมาณเลือดหมุนเวียน
  • P22.0F3I-8: สื่อสารกับครอบครัวเกี่ยวกับกระบวนการ CPR และการดูแลภาวะหัวใจล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F3R-1: ชีพจรของทารกอยู่ในช่วง 100–160 ครั้ง/นาที และความดันโลหิตคงที่
  • P22.0F3R-2: SpO₂ ≥ 90% อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้ออกซิเจนเสริมในปริมาณสูง
  • P22.0F3R-3: การไหลเวียนโลหิตเพียงพอ ไม่มีอาการผิวซีด เย็น หรือบวม
  • P22.0F3R-4: คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) แสดงการทำงานของหัวใจในเกณฑ์ปกติ
  • P22.0F3R-5: ครอบครัวมีความเข้าใจในกระบวนการดูแลและสามารถให้ความร่วมมือได้

………………………………….

P22.0F4: เสี่ยงต่อสมองขาดเลือดระหว่างหรือหลัง CPR เนื่องจากหัวใจล้มเหลว (Risk of cerebral ischemia during or after CPR due to cardiac failure)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • มารดาแจ้งว่าไม่มีภาวะผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท

O:

  • สังเกตระดับความรู้สึกตัวของทารก (alertness) ลดลง
  • การตรวจค่าการไหลเวียนโลหิต เช่น ความดันโลหิตต่ำหรือชีพจรอ่อน
  • การตอบสนองของทารกต่อสิ่งเร้าลดลง (เช่น การสะดุ้งหรือการตอบสนองต่อการจับสัมผัส)
  • ตรวจพบค่าออกซิเจนในสมองลดลงจากการประเมินโดยอุปกรณ์เฉพาะ
  • การตรวจภาพสมอง (เช่น Cranial Ultrasound หรือ MRI) พบลักษณะของสมองขาดเลือด

Goals (เป้าหมาย)

  • เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองให้เพียงพอ
  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดเลือดระหว่างหรือหลัง CPR
  • ทารกมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าตามปกติและไม่มีอาการของภาวะสมองขาดเลือด

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ระดับความรู้สึกตัวของทารกกลับมาเป็นปกติ
  • ทารกตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ตามช่วงวัย
  • การตรวจค่าออกซิเจนในสมองอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • การตรวจสมองไม่พบภาวะขาดเลือดหรือภาวะแทรกซ้อนทางสมอง
  • ระบบไหลเวียนโลหิตและความดันโลหิตคงที่

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F4I-1: ประเมินระดับความรู้สึกตัว (level of consciousness) และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของทารกทุก 1–2 ชั่วโมง
  • P22.0F4I-2: เฝ้าระวังสัญญาณชีพ (ชีพจร, ความดันโลหิต, และ SpO₂) ทุก 15 นาทีในกรณีฉุกเฉิน
  • P22.0F4I-3: จัดให้ทารกอยู่ในท่านอนศีรษะสูงเล็กน้อย (elevated head position) เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง
  • P22.0F4I-4: ให้การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ตามหลักมาตรฐานและหลีกเลี่ยงการกดหน้าอกที่แรงเกินไปเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
  • P22.0F4I-5: ให้ยาสารน้ำและยากระตุ้นการไหลเวียนโลหิต (inotropes) ตามคำสั่งแพทย์เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง
  • P22.0F4I-6: ใช้อุปกรณ์ประเมินค่าการไหลเวียนของออกซิเจนในสมอง (Near-Infrared Spectroscopy, NIRS) เพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
  • P22.0F4I-7: ลดปัจจัยที่ทำให้การไหลเวียนโลหิตแย่ลง เช่น การสูญเสียความร้อน โดยควบคุมอุณหภูมิในตู้อบให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • P22.0F4I-8: สื่อสารและอธิบายสถานการณ์ให้ครอบครัวเข้าใจ รวมถึงให้คำแนะนำในการดูแลต่อเนื่อง

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F4R-1: ทารกตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ตามปกติ เช่น การสะดุ้งหรือมองตามวัตถุ
  • P22.0F4R-2: ค่าออกซิเจนในสมอง (NIRS) อยู่ในเกณฑ์ปกติ (> 70%)
  • P22.0F4R-3: ไม่พบอาการที่บ่งบอกถึงภาวะสมองขาดเลือด เช่น อาการชัก หรือการสูญเสียการตอบสนอง
  • P22.0F4R-4: ระดับความรู้สึกตัวของทารกกลับมาเป็นปกติ
  • P22.0F4R-5: ครอบครัวเข้าใจและสามารถดูแลทารกได้อย่างเหมาะสม

…………………………………..

P22.0F5: เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากภูมิคุ้มกันต่ำและกระบวนการรักษา (Risk for respiratory and systemic infections due to low immunity and invasive procedures)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • มารดาแจ้งว่าทารกเกิดก่อนกำหนดและมีน้ำหนักตัวน้อย
  • ประวัติการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่รุกราน เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ

O:

  • ทารกมีการใส่ท่อช่วยหายใจหรือสายสวนหลอดเลือด
  • การตรวจค่าภูมิคุ้มกัน เช่น IgG ต่ำกว่าค่าปกติ
  • มีการแสดงอาการเริ่มต้นของการติดเชื้อ เช่น ไข้ หายใจลำบากเพิ่มขึ้น หรือสีผิวซีด
  • ค่าเม็ดเลือดขาว (WBC) หรือ C-reactive protein (CRP) เพิ่มขึ้น
  • บริเวณที่ใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์มีอาการบวม แดง หรือรอยช้ำ

Goals (เป้าหมาย)

  • ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและระบบอื่นๆ
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น
  • สนับสนุนการฟื้นฟูภูมิคุ้มกันของทารก
  • ทารกมีอาการปกติและไม่มีสัญญาณของการติดเชื้อ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ไม่มีอาการหรือสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ไข้ หรือหายใจลำบากเพิ่มขึ้น
  • ผลตรวจเลือดแสดงค่าการอักเสบในเกณฑ์ปกติ เช่น WBC และ CRP
  • สภาพแผลบริเวณที่ใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่มีรอยแดง บวม หรือหนอง
  • ทารกมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมและไม่มีภาวะทรุดหนัก

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F5I-1: ล้างมือก่อนและหลังสัมผัสทารกหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกครั้ง
  • P22.0F5I-2: เฝ้าระวังสัญญาณชีพ (ไข้ ชีพจร อัตราการหายใจ) ทุก 2–4 ชั่วโมง หรือบ่อยขึ้นหากมีอาการผิดปกติ
  • P22.0F5I-3: ประเมินบริเวณที่ใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ท่อช่วยหายใจหรือสายสวนหลอดเลือด ทุก 8 ชั่วโมง เพื่อตรวจหาการติดเชื้อ
  • P22.0F5I-4: เปลี่ยนพลาสเตอร์หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องตามมาตรฐานการป้องกันการติดเชื้อ
  • P22.0F5I-5: ให้ยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์หากพบอาการหรือผลตรวจบ่งชี้การติดเชื้อ
  • P22.0F5I-6: ควบคุมสภาพแวดล้อมให้สะอาดและปราศจากเชื้อ รวมถึงการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและการฆ่าเชื้ออุปกรณ์
  • P22.0F5I-7: ส่งเสริมการให้นมมารดา (หากเป็นไปได้) เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ
  • P22.0F5I-8: สื่อสารและให้คำแนะนำครอบครัวในการดูแลและป้องกันการติดเชื้อในทารก

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F5R-1: ทารกไม่มีอาการหรือสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ไข้ หายใจลำบาก หรือผิวซีด
  • P22.0F5R-2: ผลตรวจค่าการอักเสบ เช่น WBC และ CRP อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • P22.0F5R-3: บริเวณที่ใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่มีรอยแดง บวม หรือหนอง
  • P22.0F5R-4: ทารกมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมและอาการคงที่
  • P22.0F5R-5: ครอบครัวมีความรู้และสามารถดูแลทารกเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้อย่างเหมาะสม

………………………………

P22.0F6: เสี่ยงต่อปอดแฟบหรือเลือดออกจากการใส่ท่อช่วยหายใจ (Risk for complications of mechanical ventilation, such as atelectasis or bleeding)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • มารดารายงานว่าทารกคลอดก่อนกำหนดและต้องใส่ท่อช่วยหายใจ
  • ประวัติการตั้งค่าความดันเครื่องช่วยหายใจที่มีการปรับเปลี่ยนบ่อย

O:

  • การประเมินค่าพารามิเตอร์เครื่องช่วยหายใจ เช่น ความดันทางเดินหายใจสูงสุด (Peak Inspiratory Pressure; PIP) และปริมาตรลมหายใจ (Tidal Volume; Vt)
  • ตรวจพบอาการหายใจลำบากเพิ่มขึ้น เช่น การหดตัวของหน้าอกหรือการหายใจไม่สม่ำเสมอ
  • การถ่ายภาพรังสีทรวงอกพบสัญญาณของปอดแฟบหรือเลือดออกในปอด
  • สัญญาณชีพ เช่น อัตราการหายใจและออกซิเจนในเลือด (SpO2) ลดลง

Goals (เป้าหมาย)

  • ลดความเสี่ยงต่อภาวะปอดแฟบหรือเลือดออกจากการใส่ท่อช่วยหายใจ
  • ควบคุมและตั้งค่าพารามิเตอร์เครื่องช่วยหายใจอย่างเหมาะสม
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ
  • ส่งเสริมการฟื้นตัวของระบบทางเดินหายใจของทารก

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ไม่มีอาการของปอดแฟบหรือเลือดออกในปอด เช่น การหายใจลำบากเพิ่มขึ้น
  • การถ่ายภาพรังสีทรวงอกไม่พบสัญญาณของปอดแฟบหรือเลือดออก
  • ค่าพารามิเตอร์เครื่องช่วยหายใจ เช่น PIP และ Vt อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  • สัญญาณชีพของทารกคงที่ เช่น SpO2 ≥ 92%

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F6I-1: ประเมินค่าพารามิเตอร์ของเครื่องช่วยหายใจทุก 2–4 ชั่วโมง โดยเฉพาะ PIP และ Vt เพื่อหลีกเลี่ยงแรงดันที่มากเกินไป
  • P22.0F6I-2: เฝ้าระวังสัญญาณของปอดแฟบ เช่น การลดลงของ SpO2 หรือการหายใจลำบาก
  • P22.0F6I-3: ปรับตำแหน่งของทารกให้เหมาะสม เช่น การจัดท่านอนศีรษะสูงเล็กน้อย เพื่อลดแรงดันในปอด
  • P22.0F6I-4: ตรวจสอบการยึดติดของท่อช่วยหายใจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเคลื่อนหลุดหรือความเสียหายต่อเนื้อเยื่อ
  • P22.0F6I-5: ร่วมมือกับทีมแพทย์ในการตั้งค่าหรือปรับเปลี่ยนเครื่องช่วยหายใจให้เหมาะสมกับสภาพของทารก
  • P22.0F6I-6: เฝ้าระวังการเกิดเลือดออก เช่น สัญญาณของเลือดในสารคัดหลั่งที่ออกจากท่อช่วยหายใจ
  • P22.0F6I-7: ส่งเสริมการดูดเสมหะอย่างนุ่มนวลและจำกัดความถี่ตามความจำเป็น เพื่อลดการบาดเจ็บของทางเดินหายใจ
  • P22.0F6I-8: ตรวจสอบผลการถ่ายภาพรังสีทรวงอกเป็นระยะ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของปอด

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F6R-1: ทารกไม่มีอาการหรือสัญญาณของปอดแฟบ เช่น การหายใจลำบากหรือ SpO2 ลดลง
  • P22.0F6R-2: การถ่ายภาพรังสีทรวงอกไม่พบสัญญาณของปอดแฟบหรือเลือดออกในปอด
  • P22.0F6R-3: ค่าพารามิเตอร์เครื่องช่วยหายใจ เช่น PIP และ Vt อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยและเหมาะสม
  • P22.0F6R-4: ทารกมีอัตราการหายใจและ SpO2 คงที่ในระดับปกติ
  • P22.0F6R-5: ไม่มีเลือดในสารคัดหลั่งจากท่อช่วยหายใจ

……………………………….

P22.0F7: เสี่ยงต่อเนื้อเยื่อบาดเจ็บจากการใส่ท่อช่วยหายใจหรือ CPR (Risk for impaired tissue integrity related to invasive procedures)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • มารดารายงานว่าทารกได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจและดูดเสมหะบ่อยครั้ง
  • ทารกได้รับการทำ CPR ในช่วงที่ผ่านมา

O:

  • พบรอยแดงหรือบวมบริเวณที่ใส่ท่อช่วยหายใจ
  • การตรวจผิวหนังพบรอยถลอกหรือการอักเสบที่บริเวณที่ใส่ท่อหรือบริเวณรอบปาก
  • พบการติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจหรือผิวหนัง
  • สังเกตว่าทารกร้องไห้หรือมีการเคลื่อนไหวผิดปกติระหว่างการดูดเสมหะ

Goals (เป้าหมาย)

  • ป้องกันการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อจากการใส่ท่อช่วยหายใจหรือการทำ CPR
  • รักษาสภาพเนื้อเยื่อให้อยู่ในสภาพปกติ
  • ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการอักเสบจากการใส่ท่อช่วยหายใจ
  • ส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหาย

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ไม่มีรอยแดง บวม หรือการอักเสบบริเวณที่ใส่ท่อช่วยหายใจ
  • ทารกไม่มีสัญญาณของการติดเชื้อหรือการอักเสบของเนื้อเยื่อ
  • ทารกตอบสนองต่อการดูแลโดยไม่มีอาการร้องไห้ผิดปกติหรือความไม่สบาย
  • สภาพผิวหนังบริเวณที่ใส่ท่อช่วยหายใจและบริเวณรอบๆ อยู่ในเกณฑ์ปกติ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F7I-1: ประเมินสภาพผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณที่ใส่ท่อช่วยหายใจทุก 4 ชั่วโมง เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น รอยแดงหรือการอักเสบ
  • P22.0F7I-2: ใช้เทคนิคปราศจากเชื้อในการดูดเสมหะหรือเปลี่ยนตำแหน่งของท่อช่วยหายใจ
  • P22.0F7I-3: ปรับตำแหน่งท่อช่วยหายใจทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการกดทับหรือการเสียดสีของเนื้อเยื่อ
  • P22.0F7I-4: ให้ความชุ่มชื้นบริเวณรอบปากและริมฝีปากเพื่อลดความแห้งกร้านหรือการระคายเคือง
  • P22.0F7I-5: ใช้วัสดุป้องกันเช่น แผ่นรองซิลิโคนบริเวณที่สัมผัสกับท่อช่วยหายใจเพื่อลดการกดทับ
  • P22.0F7I-6: เฝ้าระวังอาการติดเชื้อ เช่น มีหนองหรือกลิ่นผิดปกติจากบริเวณที่ใส่ท่อช่วยหายใจ
  • P22.0F7I-7: สอนและให้คำแนะนำแก่ผู้ดูแลเกี่ยวกับการดูแลท่อช่วยหายใจและการป้องกันการบาดเจ็บ
  • P22.0F7I-8: ร่วมมือกับทีมแพทย์ในการลดการรุกล้ำที่ไม่จำเป็น เช่น การดูดเสมหะเฉพาะเมื่อจำเป็น

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F7R-1: ไม่มีรอยแดง บวม หรือการอักเสบบริเวณที่ใส่ท่อช่วยหายใจ
  • P22.0F7R-2: ผิวหนังรอบๆ ท่อช่วยหายใจอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีการถลอกหรืออักเสบ
  • P22.0F7R-3: ทารกไม่มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ หรือการเปลี่ยนแปลงของสารคัดหลั่ง
  • P22.0F7R-4: การดูแลทารกสามารถทำได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีอาการแสดงความเจ็บปวดหรือร้องไห้ผิดปกติ
  • P22.0F7R-5: ทีมพยาบาลและผู้ดูแลสามารถปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการบาดเจ็บได้อย่างเหมาะสม

…………………………………..

P22.0F8: เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารจากพลังงานสูงและการดูดซึมบกพร่อง (Risk for malnutrition due to high energy demands and impaired nutrient absorption)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • มารดารายงานว่าทารกไม่สามารถกินนมได้เพียงพอหรือมีปัญหาในการกลืน
  • มารดากังวลเกี่ยวกับน้ำหนักตัวที่ไม่เพิ่มขึ้นของทารก

O:

  • น้ำหนักตัวของทารกไม่เพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ปกติ
  • พบอาการแสดงของภาวะขาดสารอาหาร เช่น ผิวหนังแห้งหรือซีด
  • ทารกมีการดูดซึมผิดปกติ เช่น อุจจาระเหลวหรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
  • สังเกตว่าทารกมีการเคลื่อนไหวลดลงหรือไม่มีแรง

Goals (เป้าหมาย)

  • ให้ทารกได้รับสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการพลังงานและการเจริญเติบโต
  • ส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารของระบบทางเดินอาหารให้เป็นปกติ
  • ป้องกันภาวะขาดสารอาหารที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวและพัฒนาการ
  • เพิ่มน้ำหนักตัวทารกให้เหมาะสมตามเกณฑ์อายุ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • น้ำหนักตัวทารกเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10-20 กรัมต่อวัน
  • ไม่มีอาการแสดงของภาวะขาดสารอาหาร
  • ทารกสามารถกินนมหรืออาหารเสริมตามที่กำหนดได้โดยไม่มีอาการผิดปกติ
  • การขับถ่ายปกติ ไม่มีอุจจาระผิดปกติหรือบ่งชี้ถึงการดูดซึมบกพร่อง

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F8I-1: ประเมินน้ำหนักตัวทุกวันในเวลาเดียวกัน เพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก
  • P22.0F8I-2: ตรวจสอบการดูดซึมสารอาหารผ่านการสังเกตลักษณะอุจจาระ เช่น ความถี่และสี
  • P22.0F8I-3: ให้สารอาหารทางหลอดเลือดหรือทางสายให้อาหารในกรณีที่ทารกไม่สามารถดูดนมได้เพียงพอ
  • P22.0F8I-4: จัดเตรียมสารอาหารสูตรพิเศษที่เหมาะสมกับความต้องการของทารกคลอดก่อนกำหนด เช่น นมสูตรพลังงานสูง
  • P22.0F8I-5: กระตุ้นการดูดนมของทารกด้วยการลูบสัมผัสบริเวณแก้มและปาก
  • P22.0F8I-6: ร่วมมือกับทีมแพทย์ในการประเมินและปรับปริมาณพลังงานหรือสารอาหารที่ให้ตามความเหมาะสม
  • P22.0F8I-7: สอนและให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีการให้นมและการดูแลเรื่องโภชนาการของทารก
  • P22.0F8I-8: เฝ้าระวังอาการแสดงของภาวะขาดสารอาหารหรือภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการบวมจากโปรตีนต่ำ

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F8R-1: น้ำหนักตัวทารกเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์10 กรัม/วัน
  • P22.0F8R-2: ทารกไม่มีอาการแสดงของภาวะขาดสารอาหาร เช่น ผิวหนังแห้งหรือซีด
  • P22.0F8R-3: ทารกสามารถกินนมหรืออาหารเสริมได้โดยไม่มีอาการแสดงของความผิดปกติ
  • P22.0F8R-4: อุจจาระของทารกมีลักษณะปกติ บ่งชี้ถึงการดูดซึมที่ดี
  • P22.0F8R-5: ผู้ปกครองสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับโภชนาการและการดูแลทารกได้อย่างเหมาะสม

............................

P22.0F9: พ่อแม่วิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะวิกฤตของทารก (Parental anxiety related to infant’s critical condition)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • พ่อแม่หรือผู้ดูแลอาจแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาการของทารก เช่น การหายใจลำบาก, ความอ่อนแรง หรือการปรากฏอาการหายใจเร็ว
  • พ่อแม่อาจแสดงอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะวิกฤตของทารกที่มีผลกระทบต่ออารมณ์และการตัดสินใจในการดูแล

O:

  • การหายใจเร็วมากกว่า 60 ครั้ง/นาที
  • การขยายตัวของทรวงอกไม่สมดุล
  • การปรากฏของอาการหอบเหนื่อย เช่น การหายใจดัง หรือการขยายของช่องท้องขณะหายใจ
  • การลดลงของอิ่มตัวออกซิเจนในเลือด (< 90%)
  • ทารกอาจมีการคั่งน้ำในปอด

Goals (เป้าหมาย)

  • ทารกจะมีการหายใจที่ดีขึ้นโดยมีอัตราการหายใจในช่วง 40-60 ครั้ง/นาที ภายใน 24 ชั่วโมง
  • พ่อแม่สามารถรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะของทารกและสามารถจัดการกับความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • อิ่มตัวออกซิเจนในเลือดจะเพิ่มขึ้นเป็น90% ภายใน 12 ชั่วโมง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • การปรับปรุงอัตราการหายใจของทารก
  • อิ่มตัวออกซิเจนในเลือด90%
  • ลดอาการหอบเหนื่อย
  • พ่อแม่สามารถแสดงความเข้าใจและปรับตัวในการดูแลทารกได้
  • ความวิตกกังวลของพ่อแม่ลดลง

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F9I-1: ประเมินสัญญาณชีพ (อัตราการหายใจ, ความอิ่มตัวออกซิเจน, การขยายตัวของทรวงอก) ทุกชั่วโมงเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะหายใจลำบาก
  • P22.0F9I-2: จัดท่านอนศีรษะสูง (High Fowler’s position) เพื่อลดการคั่งน้ำในปอดและช่วยให้หายใจสะดวก
  • P22.0F9I-3: ให้การสนับสนุนจิตใจและคำแนะนำแก่พ่อแม่เกี่ยวกับวิธีการรับมือกับความวิตกกังวลและการดูแลทารกในช่วงที่ทารกอยู่ในภาวะวิกฤต
  • P22.0F9I-4: จัดการให้ทารกได้รับออกซิเจนตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อรักษาระดับอิ่มตัวออกซิเจนในเลือด
  • P22.0F9I-5: จัดการให้การดูแลทางโภชนาการของทารกอย่างใกล้ชิด (เช่น การให้น้ำนมแม่หรือการให้อาหารทางหลอดเลือด) เพื่อเสริมสร้างพลังงานและการเติบโต

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F9R-1: ทารกมีการหายใจในช่วง 40-60 ครั้ง/นาทีภายใน 24 ชั่วโมง
  • P22.0F9R-2: การอิ่มตัวออกซิเจนในเลือดเพิ่มขึ้น90% ภายใน 12 ชั่วโมง
  • P22.0F9R-3: พ่อแม่สามารถลดความวิตกกังวลและมีความเข้าใจในการดูแลทารกมากขึ้น
  • P22.0F9R-4: ทารกไม่มีอาการหอบเหนื่อยหรืออาการแสดงการหายใจลำบาก

………………………………………………..

P22.0F10: พ่อแม่ขาดความรู้ในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด (Knowledge deficit regarding infant care related to prematurity)

S:

  • พ่อแม่อาจแสดงความวิตกกังวลและไม่มั่นใจเกี่ยวกับการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด
  • พ่อแม่อาจไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการดูแลทารกในช่วงแรกหลังคลอด เช่น การให้อาหาร, การติดตามอาการหายใจ, และการดูแลทารกในช่วงที่มีภาวะวิกฤต

O:

  • พ่อแม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีการดูแลทารก เช่น วิธีการให้นม, วิธีการดูแลการหายใจ, การดูแลผิวหนังทารก, และการใช้เครื่องมือช่วยหายใจ
  • พ่อแม่ขาดทักษะในการให้การดูแลที่เหมาะสม เช่น การจัดท่านอนที่ถูกต้อง, การให้ยาหรือการติดตามสัญญาณชีพของทารก

Goals (เป้าหมาย)

  • พ่อแม่สามารถแสดงความเข้าใจในหลักการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด และรู้จักวิธีการจัดการกับอาการหายใจลำบาก
  • พ่อแม่สามารถดูแลทารกได้อย่างเหมาะสมในเรื่องของการให้อาหาร, การรักษาความสะอาด, และการเฝ้าระวังสัญญาณอันตราย
  • พ่อแม่สามารถใช้เครื่องมือที่จำเป็นในการดูแลทารกที่มีภาวะหายใจลำบากได้อย่างมั่นใจ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • พ่อแม่สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลทารก
  • พ่อแม่สามารถแสดงทักษะในการจัดการกับการดูแลทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • พ่อแม่มีความมั่นใจในการดูแลทารก และสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F10I-1: ให้การศึกษาผู้ปกครองเกี่ยวกับสัญญาณของการหายใจลำบาก เช่น การหายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย, การจัดท่านอนที่ถูกต้อง, และการดูแลทางโภชนาการสำหรับทารกคลอดก่อนกำหนด
  • P22.0F10I-2: แนะนำวิธีการติดตามอัตราการหายใจและสัญญาณชีพอื่น เช่น การวัดอุณหภูมิ, การดูแลผิวหนังของทารก, และการติดตามความชุ่มชื้นในร่างกายของทารก
  • P22.0F10I-3: แนะนำการใช้เครื่องมือช่วยหายใจที่บ้าน (ถ้ามี) เช่น การใช้เครื่องวัดอิ่มตัวออกซิเจน หรือการใช้เครื่องดูดเสมหะให้พ่อแม่ทำการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
  • P22.0F10I-4: จัดการประชุมหรือการสนทนาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลทารกอย่างใกล้ชิด เช่น การให้นม, การทำความสะอาด, และการดูแลทารกในระยะหลังคลอด
  • P22.0F10I-5: ให้พ่อแม่มีโอกาสถามคำถามและรับคำอธิบายอย่างละเอียดเพื่อให้พวกเขามีความมั่นใจในการดูแลทารกที่บ้าน

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F10R-1: พ่อแม่สามารถอธิบายวิธีการดูแลทารกที่คลอดก่อนกำหนดได้อย่างชัดเจน และสามารถปฏิบัติการดูแลที่บ้านได้อย่างเหมาะสม
  • P22.0F10R-2: พ่อแม่แสดงความมั่นใจในการใช้เครื่องมือช่วยหายใจหรือการติดตามสัญญาณชีพของทารก
  • P22.0F10R-3: พ่อแม่สามารถจัดการกับสถานการณ์หายใจลำบากหรือการดูแลที่บ้านได้โดยไม่รู้สึกวิตกกังวล
  • P22.0F10R-4: ทารกได้รับการดูแลที่ถูกต้องตามคำแนะนำ และพ่อแม่รู้สึกพร้อมสำหรับการดูแลทารกที่บ้านอย่างปลอดภัย

………………………………….

P22.0F11: ครอบครัวเสี่ยงต่อการรับมือกับปัญหาได้ไม่ดีเนื่องจากภาวะเรื้อรังของทารก (Risk for impaired family coping related to the infant’s chronic condition)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ครอบครัวอาจแสดงอาการเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะของทารกที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยเรื้อรัง
  • พ่อแม่หรือผู้ดูแลอาจรู้สึกไม่สามารถรับมือกับความต้องการการดูแลที่ซับซ้อนและใช้เวลานานของทารกที่คลอดก่อนกำหนด

O:

  • ความวิตกกังวลของครอบครัวเกี่ยวกับการดูแลทารกในระยะยาว
  • พ่อแม่หรือผู้ดูแลแสดงอาการเครียดจากการขาดการสนับสนุนหรือความรู้ในการจัดการกับภาวะของทารก
  • สัญญาณของการขาดการปรับตัวในครอบครัว เช่น การขัดแย้งภายในครอบครัว, ความเหนื่อยล้า หรือการขาดเวลาในการดูแลตนเอง

Goals (เป้าหมาย)

  • ครอบครัวสามารถรับมือกับภาวะการดูแลทารกที่มีภาวะหายใจลำบากและภาวะเรื้อรังได้ดีขึ้น
  • พ่อแม่และผู้ดูแลสามารถสร้างกลยุทธ์ในการปรับตัวเพื่อให้การดูแลทารกและการดำเนินชีวิตประจำวันมีความสมดุล
  • ครอบครัวสามารถเข้าถึงการสนับสนุนที่จำเป็น เช่น การแนะนำการดูแลทารก, การสนับสนุนทางจิตใจ และการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ครอบครัวแสดงความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
  • พ่อแม่และผู้ดูแลสามารถจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลได้
  • ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวไม่เกิดปัญหาจากการดูแลทารก
  • ครอบครัวสามารถเข้าถึงทรัพยากรในการสนับสนุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • P22.0F11I-1: ประเมินระดับความเครียดและความวิตกกังวลของครอบครัวเกี่ยวกับการดูแลทารกทุกครั้งที่ทำการประเมิน
  • P22.0F11I-2: จัดให้มีการพบปะหรือพูดคุยกับพ่อแม่หรือผู้ดูแลเพื่อให้คำแนะนำในการปรับตัวและการจัดการความเครียด
  • P22.0F11I-3: แนะนำแหล่งข้อมูลและบริการสนับสนุนทางจิตใจหรือกลุ่มสนับสนุนสำหรับครอบครัวเพื่อช่วยลดความเครียด
  • P22.0F11I-4: ให้การศึกษาครอบครัวเกี่ยวกับการจัดการกับภาวะของทารกและวิธีการดูแลที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การติดตามอาการหายใจ, การให้อาหาร และการดูแลทั่วไป
  • P22.0F11I-5: สนับสนุนให้ครอบครัวสร้างกิจวัตรประจำวันที่สมดุล และให้คำแนะนำในการหาทางเลือกในการดูแลตัวเองและการจัดการเวลาร่วมกับการดูแลทารก

Response (การตอบสนอง)

  • P22.0F11R-1: ครอบครัวสามารถจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้น โดยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลทารกและการจัดการเวลา
  • P22.0F11R-2: ความวิตกกังวลและความเครียดของครอบครัวลดลง และมีการปรับตัวในการดูแลทารกที่คลอดก่อนกำหนดได้อย่างเหมาะสม
  • P22.0F11R-3: ครอบครัวสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น เช่น การสนับสนุนทางจิตใจ, การให้คำปรึกษา หรือกลุ่มสนับสนุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • P22.0F11R-4: ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวมีความมั่นคงและไม่มีปัญหาจากการดูแลทารก

………………………………………

อำภัย  อินดี