พยาธิสภาพของโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) D56.9
ธาลัสซีเมียเป็นโรคโลหิตจางทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างฮีโมโกลบิน ส่งผลให้การผลิตฮีโมโกลบินผิดปกติหรือไม่เพียงพอ ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย เกิดภาวะซีดเรื้อรังและขาดออกซิเจน อาการรุนแรงขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของการกลายพันธุ์ โดยมักพบอาการซีด ตับม้ามโต ดีซ่าน และกระดูกผิดรูปหากมีการสร้างไขกระดูกมากผิดปกติในระยะยาว
การรักษาผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) D56.9
การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและอาการ เช่น การให้เลือด (Blood transfusion)
เพื่อเพิ่มฮีโมโกลบินและลดภาวะซีด การใช้ยาขับธาตุเหล็ก (Iron chelation
therapy) เพื่อลดการสะสมของธาตุเหล็กจากการให้เลือดในระยะยาว รวมถึงการรักษาเฉพาะทาง เช่น การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Stem cell
transplantation) สำหรับผู้ป่วยที่เหมาะสม การรักษาประคับประคอง เช่น การให้กรดโฟลิกและการป้องกันการติดเชื้อ ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน
การพยาบาลผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) D56.9
การพยาบาลเน้นการดูแลแบบองค์รวม โดยประเมินอาการซีด ภาวะแทรกซ้อน และการตอบสนองต่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง ให้ความรู้ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการจัดการโรค เช่น การปฏิบัติตัวหลังการให้เลือด การป้องกันการติดเชื้อ และการรับประทานอาหารที่เหมาะสม สนับสนุนด้านจิตใจเพื่อช่วยผู้ป่วยรับมือกับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงการประสานงานกับทีมสหวิชาชีพเพื่อดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
- D56.9F1: เสี่ยงต่อการขาดออกซิเจนเนื่องจากภาวะซีดเรื้อรังและการลดลงของฮีโมโกลบิน (ฮีโมโกลบินต่ำทำให้การขนส่งออกซิเจนไม่เพียงพอต่อเนื้อเยื่อ)
- D56.9F2: ความไม่สมดุลของสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์เนื่องจากภาวะเลือดจางหรือภาวะขาดน้ำ (โรคธาลัสซีเมียสามารถทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและรบกวนสมดุลสารน้ำในร่างกาย)
- D56.9F3: มีโอกาสเกิดความวิตกกังวลเนื่องจากการขาดความรู้เกี่ยวกับโรคและการรักษา (ผู้ป่วยและครอบครัวอาจขาดความเข้าใจเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย)
- D56.9F4: มีโอกาสเกิดภาวะเหล็กเกินจากการให้เลือดซ้ำบ่อยครั้ง (การให้เลือดบ่อยครั้งอาจนำไปสู่การสะสมธาตุเหล็กในเนื้อเยื่อ)
- D56.9F5: เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือการเจาะเส้นเลือดซ้ำๆ (โรคธาลัสซีเมียเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยเฉพาะหลังการรักษา)
- D56.9F6: มีโอกาสเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเนื่องจากการทำงานของหัวใจเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองภาวะซีด (ภาวะโลหิตจางเรื้อรังอาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นจนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว)
- D56.9F7: เสี่ยงต่อการสูญเสียพลังงานเนื่องจากภาวะซีดเรื้อรังและการลดลงของฮีโมโกลบิน (ผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อยง่ายและขาดพลังงานในชีวิตประจำวัน)
- D56.9F8: มีโอกาสเกิดความรู้สึกไร้ค่าในตัวเองเนื่องจากผลกระทบต่อรูปลักษณ์ภายนอก เช่น ตับม้ามโตหรือกระดูกผิดรูป (การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายจากโรคธาลัสซีเมียอาจกระทบความมั่นใจของผู้ป่วย)
- D56.9F9: เสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาการแพ้ (Allergic Reaction) (เนื่องจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนในเลือดที่ได้รับ อาการคัน ผื่นแดง หรือบวม)
- D56.9F10: เสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาการแพ้ในระบบภูมิคุ้มกัน (Febrile Non-Hemolytic Reaction) (เนื่องจากแอนติบอดีในผู้ป่วยตอบสนองต่อเม็ดเลือดขาวในเลือดที่ได้รับมีไข้ หนาวสั่น และปวดศีรษะ)
- D56.9F11: เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic Reaction) (เนื่องจากเลือดที่ได้รับไม่เข้ากันกับผู้ป่วย อาการไข้ ปัสสาวะสีเข้ม หรือภาวะช็อก)
- D56.9F12: เสี่ยงต่อภาวะเหล็กเกิน (Iron Overload) (เนื่องจากการได้รับเลือดซ้ำบ่อยครั้ง ธาตุเหล็กสะสมในตับ หัวใจ และต่อมไร้ท่อ)
- D56.9F13: เสี่ยงต่อการเกิดภาวะปอดบวมน้ำที่เกี่ยวข้องกับการให้เลือด (Transfusion-Associated Circulatory Overload, TACO) (การให้เลือดในปริมาณมากเกินไปหรือเร็วเกินไป อาจทำให้มีน้ำสะสมในปอด หายใจลำบาก ไอ)
- D56.9F14: เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ถ่ายทอดทางเลือด (Transfusion-Transmitted Infections) (ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ไวรัสตับอักเสบ B หรือ C)
- D56.9F15: เสี่ยงต่อปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อเม็ดเลือดแดงในอนาคต (Alloimmunization) (การพัฒนาของแอนติบอดีต่อโปรตีนบนเม็ดเลือดแดงที่ได้รับ)
- D56.9F16: เสี่ยงต่อปฏิกิริยารุนแรงที่เกี่ยวข้องกับปอด (Transfusion-Related Acute Lung Injury, TRALI) (พลาสมาในเลือดที่ได้รับอาจทำให้เกิดการอักเสบและน้ำท่วมปอด)
- D56.9F17: ขาดความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองและการป้องกันภาวะแทรกซ้อน (ผู้ป่วยอาจต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานยา การปฏิบัติตัว และการติดตามรักษา)
- D56.9F18: มีความพร้อมต่อการจัดการตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ (ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลและมีแหล่งสนับสนุนที่เพียงพอ)
หมายเหตุ: ตัวเลข F1, F2, F3 เป็นเพียงตัวเลขที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การจัดลำดับวินิจฉัยการพยาบาลเป็นไปอย่างมีระบบ อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
……………………………………..
D56.9F1:
เสี่ยงต่อการขาดออกซิเจนเนื่องจากภาวะซีดเรื้อรังและการลดลงของฮีโมโกลบิน
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่ามีอาการเหนื่อยง่ายเมื่อทำกิจกรรม
- รู้สึกเวียนศีรษะหรือหน้ามืด
- มีอาการใจสั่น
O:
- ผิวหนังซีดและเยื่อบุตาขาวซีด
- ค่าฮีโมโกลบินต่ำกว่า 7 g/dL
- มีอัตราการหายใจเร็ว (tachypnea) ≥ 24 ครั้ง/นาที
- ชีพจรเร็ว ≥ 100 ครั้ง/นาที
- ค่า SpO2 < 95%
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีค่าออกซิเจนในเลือด (SpO2) ≥ 95%
- ผู้ป่วยลดความเหนื่อยล้าจากการขาดออกซิเจน
- ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการขาดออกซิเจน
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ค่า SpO2 ≥ 95% ภายใน 24 ชั่วโมง
- อัตราการหายใจ ≤ 20 ครั้ง/นาที
- ผู้ป่วยรายงานว่าอาการเหนื่อยลดลง
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F1I-1: วัดค่า SpO2 ทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อประเมินระดับออกซิเจนในเลือด
- D56.9F1I-2: จัดท่านอนศีรษะสูง (High Fowler’s position) เพื่อเพิ่มการขยายตัวของปอดและลดการทำงานของหัวใจ
- D56.9F1I-3: ให้การพยาบาลในการรับเลือด (Blood transfusion) ตามคำสั่งแพทย์เพื่อลดภาวะซีด
- D56.9F1I-4: ประเมินสัญญาณชีพทุก 2 ชั่วโมงในกรณีผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยมาก
- D56.9F1I-5: แนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F1R-1: ค่า SpO2 เพิ่มขึ้น ≥ 95% ภายใน 24 ชั่วโมง
- D56.9F1R-2: ผู้ป่วยรายงานว่าความเหนื่อยลดลง และสามารถทำกิจกรรมเบาๆ ได้โดยไม่เหนื่อยมาก
- D56.9F1R-3: ไม่มีสัญญาณชีพผิดปกติ เช่น ชีพจรและการหายใจคงที่
- D56.9F1R-4: ผู้ป่วยไม่มีอาการแทรกซ้อนจากการรับเลือด
……………………………
D56.9F2: ความไม่สมดุลของสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์เนื่องจากภาวะเลือดจางหรือภาวะขาดน้ำ
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่ามีอาการอ่อนเพลียและกระหายน้ำ
- มีอาการเวียนศีรษะเมื่อลุกขึ้นยืน
O:
- อัตราการเต้นของหัวใจเร็ว (tachycardia) ≥ 100 ครั้ง/นาที
- ความดันโลหิตต่ำ (systolic BP < 90 mmHg)
- ผิวหนังแห้งและเยื่อเมือกในปากแห้ง
- ปริมาณปัสสาวะน้อยลง (< 0.5 mL/kg/h)
- ค่าอิเล็กโทรไลต์ในเลือดผิดปกติ เช่น โซเดียมต่ำ (< 135 mEq/L) หรือโพแทสเซียมต่ำ (< 3.5 mEq/L)
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีความสมดุลของสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์ภายใน 24-48 ชั่วโมง
- ผู้ป่วยไม่มีอาการแทรกซ้อนจากการขาดน้ำหรืออิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุล
- ผู้ป่วยมีปริมาณปัสสาวะปกติ ≥ 30 mL/h
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ความดันโลหิตกลับมาปกติ (systolic BP ≥ 90 mmHg)
- ปริมาณปัสสาวะ ≥ 30 mL/h
- ค่าอิเล็กโทรไลต์ในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F2I-1: ประเมินสัญญาณชีพและปริมาณปัสสาวะทุก 2 ชั่วโมงในช่วงแรก
- D56.9F2I-2: ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ (IV fluid) เช่น Normal Saline หรือ Lactated Ringer’s ตามคำสั่งแพทย์
- D56.9F2I-3: ตรวจค่าอิเล็กโทรไลต์ในเลือดทุก 6 ชั่วโมง หรือเมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลง
- D56.9F2I-4: สังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการบวมที่แขนขาหรือการสะสมของของเหลวในร่างกาย
- D56.9F2I-5: แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม หากไม่มีข้อห้ามทางการแพทย์
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F2R-1: สัญญาณชีพคงที่ ความดันโลหิต (systolic BP ≥ 90 mmHg)
- D56.9F2R-2: ค่าอิเล็กโทรไลต์กลับมาสู่เกณฑ์ปกติ เช่น โซเดียม ≥ 135 mEq/L
- D56.9F2R-3: ปริมาณปัสสาวะ ≥ 30 mL/h และสีปัสสาวะใสขึ้น
- D56.9F2R-4: ผู้ป่วยรายงานว่าความอ่อนเพลียและกระหายน้ำลดลง
……………………………..
D56.9F3:
มีโอกาสเกิดความวิตกกังวลเนื่องจากการขาดความรู้เกี่ยวกับโรคและการรักษา
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยหรือครอบครัวรายงานว่ารู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับโรค
- ผู้ป่วยถามคำถามเกี่ยวกับวิธีการรักษาและการป้องกันโรค
O:
- ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมวิตกกังวล เช่น มือสั่น พูดเร็ว
- ผู้ป่วยหรือครอบครัวไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการวินิจฉัยหรือกระบวนการรักษา
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมียและการรักษาภายใน 48 ชั่วโมง
- ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์ได้อย่างถูกต้อง
- ลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัวลง
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมียและการรักษาได้ถูกต้อง
- ผู้ป่วยและครอบครัวแสดงพฤติกรรมที่บ่งชี้ว่าความวิตกกังวลลดลง เช่น สีหน้าผ่อนคลาย
- ผู้ป่วยและครอบครัวมีความมั่นใจในการดูแลตัวเองหรือการดูแลผู้ป่วย
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F3I-1: ประเมินระดับความรู้ของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย
- D56.9F3I-2: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย เช่น สาเหตุ อาการ วิธีการรักษา และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- D56.9F3I-3: ให้เอกสารหรือสื่อการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น โปสเตอร์หรือวิดีโอ
- D56.9F3I-4: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและครอบครัวซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคและการรักษา
- D56.9F3I-5: สนับสนุนให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือชมรมผู้ป่วยธาลัสซีเมีย
- D56.9F3I-6: ให้ข้อมูลติดต่อของทีมแพทย์หรือพยาบาลเพื่อให้คำปรึกษาเพิ่มเติม
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F3R-1: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมียและการรักษาได้ถูกต้อง ≥ 80%
- D56.9F3R-2: ผู้ป่วยและครอบครัวแสดงพฤติกรรมที่แสดงถึงความเข้าใจ เช่น จัดการดูแลตนเองได้ตามคำแนะนำ
- D56.9F3R-3: ความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัวลดลง สังเกตได้จากการแสดงออกที่ผ่อนคลายและคำพูดที่เป็นบวก
- D56.9F3R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวมีทัศนคติที่ดีต่อการรักษาและสามารถวางแผนการดูแลในอนาคตได้
………………………………
D56.9F4 มีโอกาสเกิดภาวะเหล็กเกินจากการให้เลือดซ้ำบ่อยครั้ง
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่ารับการถ่ายเลือดทุก 3-4 สัปดาห์
- ผู้ป่วยหรือครอบครัวแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการถ่ายเลือด
O:
- ผลตรวจ Ferritin ในเลือดสูงกว่าค่าปกติ (>1,000 ng/mL)
- ผิวหนังของผู้ป่วยมีสีเข้มขึ้น (bronze discoloration)
- ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง
Goals
(เป้าหมาย)
- ลดความเสี่ยงในการสะสมธาตุเหล็กเกินในเนื้อเยื่อของผู้ป่วย
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาเพื่อควบคุมระดับธาตุเหล็กได้
- ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโดยการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากธาตุเหล็กเกิน
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ระดับ Ferritin ลดลงหรือคงที่ในค่าที่ปลอดภัย (<1,000 ng/mL)
- ผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงของภาวะเหล็กเกิน เช่น ผิวหนังคล้ำ อ่อนเพลีย หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
- ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น การรับยาขับธาตุเหล็ก (Chelation therapy) ได้อย่างถูกต้อง
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F4I-1: ประเมินระดับ Ferritin และผลการตรวจเลือดอื่น ๆ เป็นประจำเพื่อเฝ้าระวังภาวะเหล็กเกิน
- D56.9F4I-2: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับยาขับธาตุเหล็ก (Chelation therapy) เช่น Deferoxamine, Deferiprone หรือ Deferasirox พร้อมติดตามผลข้างเคียงของยา
- D56.9F4I-3: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบริโภคอาหารที่ช่วยลดการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น การลดปริมาณวิตามินซีในมื้ออาหาร
- D56.9F4I-4: สนับสนุนการรับการรักษาแบบเสริม เช่น การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (ในกรณีที่เหมาะสม)
- D56.9F4I-5: ติดตามอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนจากเหล็กเกิน เช่น โรคหัวใจ ตับแข็ง หรือเบาหวาน
- D56.9F4I-6: ส่งเสริมผู้ป่วยและครอบครัวเข้าร่วมกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมียและการจัดการภาวะเหล็กเกิน
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F4R-1: ระดับ Ferritin ของผู้ป่วยลดลง ≤ 1,000 ng/mL ภายใน 3-6 เดือน
- D56.9F4R-2: ผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงของภาวะเหล็กเกิน เช่น อ่อนเพลียหรือผิวคล้ำ
- D56.9F4R-3: ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น รับประทานยาขับธาตุเหล็กตามคำแนะนำ ≥ 90%
- D56.9F4R-4: ผู้ป่วยรายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับการรักษา
………………………………..
D56.9F5
เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือการเจาะเส้นเลือดซ้ำๆ
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่ามีประวัติป่วยบ่อยครั้ง เช่น มีไข้ เจ็บคอ หรือติดเชื้อที่ผิวหนัง
- ครอบครัวกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังการถ่ายเลือด
O:
- อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ (>37.8°C)
- พบรอยแดงหรืออาการบวมบริเวณที่เจาะเส้นเลือด
- ผลตรวจ CBC พบค่า WBC ต่ำกว่าปกติ
- สัญญาณชีพเปลี่ยนแปลง เช่น หัวใจเต้นเร็ว
Goals
(เป้าหมาย)
- ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อในผู้ป่วย
- ผู้ป่วยไม่มีอาการติดเชื้อ เช่น มีไข้ หนอง หรือรอยแดงที่แผล
- เสริมสร้างความเข้าใจแก่ผู้ป่วยและครอบครัวในการป้องกันการติดเชื้อ
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ไม่มีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิร่างกายเกิน 37.8°C ภายใน 48 ชั่วโมง
- บริเวณที่เจาะเส้นเลือดไม่มีรอยแดง บวม หรือหนอง
- ผู้ป่วยเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ ≥90%
- ไม่มีสัญญาณติดเชื้อในระบบอื่น ๆ เช่น ทางเดินปัสสาวะหรือทางเดินหายใจ
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F5I-1: เฝ้าระวังอุณหภูมิร่างกายและสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงเพื่อประเมินภาวะติดเชื้อ
- D56.9F5I-2: ตรวจสอบบริเวณที่เจาะเส้นเลือดทุกครั้งหลังการถ่ายเลือดหรือให้สารน้ำ พร้อมทำแผลด้วยวิธีปราศจากเชื้อ
- D56.9F5I-3: ส่งเสริมสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย
- D56.9F5I-4: ให้คำแนะนำผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับสัญญาณการติดเชื้อที่ควรรีบพบแพทย์
- D56.9F5I-5: สนับสนุนการรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม
- D56.9F5I-6: ประเมินและจัดการปัจจัยเสี่ยง เช่น การลดความถี่ในการเจาะเส้นเลือดโดยใช้เส้นกลาง (central line) เมื่อจำเป็น
- D56.9F5I-7: ให้ยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์ในกรณีที่สงสัยภาวะติดเชื้อ
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F5R-1: อุณหภูมิร่างกายของผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ปกติ (≤37.8°C) ภายใน 48 ชั่วโมง
- D56.9F5R-2: ไม่มีรอยแดง บวม หรือหนองบริเวณที่เจาะเส้นเลือด
- D56.9F5R-3: ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ ≥90%
- D56.9F5R-4: ไม่มีภาวะติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาเพิ่มเติม เช่น การรักษาใน ICU
......................................................
D56.9F6 มีโอกาสเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเนื่องจากการทำงานของหัวใจเพิ่มขึ้น
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบากเมื่อทำกิจกรรม
- ครอบครัวสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย
O:
- สัญญาณชีพ: ชีพจรเต้นเร็ว (>100 ครั้ง/นาที) หรือความดันโลหิตต่ำ
- การตรวจร่างกายพบอาการบวมที่ข้อเท้าและขา
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) พบภาวะหัวใจทำงานผิดปกติ
- ค่า Hemoglobin (Hb) ต่ำกว่าปกติ (<7 g/dL ในผู้ป่วยที่มีภาวะซีดเรื้อรัง)
Goals
(เป้าหมาย)
- ลดภาระการทำงานของหัวใจและป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเบา ๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยหรือหายใจลำบาก
- ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโดยลดอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลว
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ชีพจรลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติ (60–100 ครั้ง/นาที)
- ผู้ป่วยไม่มีอาการบวมที่ขาหรือข้อเท้า
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเบา ๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยหรือหายใจลำบาก
- ค่า Hemoglobin (Hb) เพิ่มขึ้นอย่างเพียงพอหลังการรักษา
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F6I-1: ประเมินสัญญาณชีพ (ชีพจร, ความดันโลหิต, การหายใจ) ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะหัวใจล้มเหลว
- D56.9F6I-2: เฝ้าระวังอาการบวมที่ขาและข้อเท้า พร้อมชั่งน้ำหนักผู้ป่วยทุกเช้าในเวลาเดียวกัน
- D56.9F6I-3: จัดท่านอนศีรษะสูง (High Fowler’s position) เพื่อช่วยลดแรงดันในระบบหัวใจและหลอดเลือด
- D56.9F6I-4: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจำกัดปริมาณเกลือในอาหาร เพื่อช่วยลดการคั่งน้ำ
- D56.9F6I-5: ประเมินอาการเหนื่อยง่ายหรือหายใจลำบากขณะทำกิจกรรม และแนะนำให้ผู้ป่วยพักเมื่อเริ่มรู้สึกเหนื่อย
- D56.9F6I-6: ติดตามค่า Hemoglobin (Hb) และจัดเตรียมการถ่ายเลือดตามคำสั่งแพทย์
- D56.9F6I-7: ให้ยาเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของหัวใจหรือยาขับปัสสาวะตามคำสั่งแพทย์
- D56.9F6I-8: ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวที่ต้องรีบพบแพทย์ เช่น หายใจหอบเหนื่อยเฉียบพลัน
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F6R-1: ชีพจรและความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- D56.9F6R-2: ผู้ป่วยไม่มีอาการบวมใหม่ และน้ำหนักตัวลดลง ≤1 กิโลกรัมใน 24 ชั่วโมง (ในกรณีมีภาวะคั่งน้ำ)
- D56.9F6R-3: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเบา ๆ ได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยหรือหายใจลำบาก
- D56.9F6R-4: ค่า Hemoglobin (Hb) เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามเป้าหมายการรักษา
- D56.9F6R-5: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถระบุอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวและวิธีปฏิบัติเบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง
.........................................................
D56.9F7 เสี่ยงต่อการสูญเสียพลังงานเนื่องจากภาวะซีดเรื้อรังและการลดลงของฮีโมโกลบิน
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกอ่อนเพลีย และเหนื่อยง่ายแม้ทำกิจกรรมเบา ๆ
- ครอบครัวระบุว่าผู้ป่วยมีการลดลงของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมประจำวัน
O:
- ค่า Hemoglobin (Hb) ต่ำ (<7 g/dL)
- สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในกิจวัตรประจำวัน เช่น การนอนหลับมากขึ้น
- ผู้ป่วยมีผิวซีด อ่อนแรง และชีพจรเต้นเร็ว (>100 ครั้ง/นาที)
Goals
(เป้าหมาย)
- เพิ่มพลังงานให้เพียงพอสำหรับการดำเนินกิจวัตรประจำวัน
- ลดอาการเหนื่อยล้าและเสริมความแข็งแรงให้ร่างกาย
- ผู้ป่วยสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมประจำวันได้โดยไม่เหนื่อยเกินไป
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมเบา ๆ ได้โดยไม่เหนื่อยล้า
- ค่า Hemoglobin (Hb) เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับเหมาะสมตามเป้าหมายการรักษา
- ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกสดชื่นขึ้นและมีพลังงานเพิ่มขึ้น
- ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนเพียงพอและไม่มีอาการอ่อนเพลียระหว่างวัน
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F7I-1: ประเมินระดับพลังงานของผู้ป่วยทุกวัน โดยสังเกตจากกิจกรรมที่ทำและความสามารถในการสื่อสาร
- D56.9F7I-2: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพักผ่อนและการจัดสรรเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงการเหนื่อยล้าจากกิจกรรมมากเกินไป
- D56.9F7I-3: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโภชนาการที่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงร่วมกับวิตามินซี เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
- D56.9F7I-4: ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เพียงพอและรักษาสมดุลของสารน้ำในร่างกาย
- D56.9F7I-5: ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการวางแผนกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น การเดินระยะสั้น ๆ หรืองานอดิเรกเบา ๆ
- D56.9F7I-6: ติดตามค่า Hemoglobin (Hb) และให้การถ่ายเลือดตามคำสั่งแพทย์
- D56.9F7I-7: ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการจัดการพลังงานในชีวิตประจำวัน
- D56.9F7I-8: จัดให้มีการประเมินและบำบัดทางกายภาพบำบัด (Physical Therapy) หากผู้ป่วยมีการเสื่อมของสมรรถภาพร่างกาย
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F7R-1: ผู้ป่วยรายงานว่ามีพลังงานเพิ่มขึ้นและสามารถทำกิจกรรมได้โดยไม่เหนื่อยล้า
- D56.9F7R-2: ค่า Hemoglobin (Hb) อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม (>9 g/dL) หลังการรักษา
- D56.9F7R-3: ผู้ป่วยมีความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม
- D56.9F7R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจและสามารถปรับการดำเนินชีวิตเพื่อลดการสูญเสียพลังงานได้
- D56.9F7R-5: ผู้ป่วยไม่มีอาการเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียผิดปกติในระหว่างวัน
........................................................
D56.9F8 มีโอกาสเกิดความรู้สึกไร้ค่าในตัวเองเนื่องจากผลกระทบต่อรูปลักษณ์ภายนอก
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยระบุว่ารู้สึกไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ตนเอง เช่น การเปลี่ยนแปลงของรูปร่างหรือสีผิว
- ผู้ป่วยมีความกังวลเกี่ยวกับการถูกมองหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้าง
- ครอบครัวรายงานว่าผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมหรือกิจกรรมที่มีผู้คน
O:
- ผู้ป่วยมีลักษณะตับหรือม้ามโตที่เห็นชัดเจน
- มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่น กระดูกใบหน้าผิดรูป
- สังเกตเห็นว่าผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมเก็บตัว ไม่พูดคุย หรือหลีกเลี่ยงการพบปะผู้อื่น
Goals
(เป้าหมาย)
- ลดความรู้สึกไร้ค่าและเสริมสร้างความมั่นใจในตนเองให้ผู้ป่วย
- ส่งเสริมการยอมรับรูปลักษณ์ภายนอกและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสังคม
- เพิ่มการรับรู้ของครอบครัวในการสนับสนุนด้านจิตใจและสังคม
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ผู้ป่วยสามารถแสดงความพึงพอใจต่อรูปลักษณ์ของตนเอง
- ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมสังคมโดยไม่มีความลังเล
- ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกมั่นใจและมีคุณค่าในตัวเอง
- ครอบครัวสามารถให้การสนับสนุนทางจิตใจได้อย่างเหมาะสม
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F8I-1: ประเมินความรู้สึกและความคิดของผู้ป่วยเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตนเอง
- D56.9F8I-2: ให้ผู้ป่วยได้พูดคุยเกี่ยวกับความกังวลใจและความรู้สึกไม่มั่นใจ
- D56.9F8I-3: สนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มเพื่อส่งเสริมความมั่นใจ เช่น กลุ่มสนับสนุนสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
- D56.9F8I-4: ให้คำแนะนำแก่ครอบครัวในการสนับสนุนผู้ป่วยทางจิตใจและลดการวิจารณ์รูปลักษณ์
- D56.9F8I-5: ร่วมมือกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อสนับสนุนผู้ป่วย
- D56.9F8I-6: จัดให้มีการศึกษาหรือกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ
- D56.9F8I-7: สนับสนุนให้ผู้ป่วยดูแลตนเอง เช่น การแต่งกายหรือกิจกรรมที่ส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวก
- D56.9F8I-8: เฝ้าระวังอาการซึมเศร้าหรือความเสี่ยงต่อการคิดทำร้ายตัวเอง
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F8R-1: ผู้ป่วยระบุว่ามีความมั่นใจในรูปลักษณ์และสามารถยอมรับตนเองได้
- D56.9F8R-2: ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมสังคมโดยไม่มีอาการหลีกเลี่ยงหรือกังวล
- D56.9F8R-3: ผู้ป่วยสามารถแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสมและมีความสุขเพิ่มขึ้น
- D56.9F8R-4: ครอบครัวให้การสนับสนุนเชิงบวกและหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์
- D56.9F8R-5: ไม่มีอาการซึมเศร้าหรือความเสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเอง
.................................................................
D56.9F9 เสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาการแพ้ (Allergic Reaction)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกคันหรือรู้สึกไม่สบายตัวหลังการให้เลือด
- ผู้ป่วยแจ้งประวัติการแพ้โปรตีนในเลือดหรือสารแปลกปลอม
O:
- สังเกตพบผื่นแดงตามร่างกาย
- มีอาการบวมบริเวณริมฝีปาก ใบหน้า หรือตามร่างกาย
- มีสัญญาณชีพผิดปกติ เช่น หายใจเร็ว หรือความดันโลหิตลดลง
Goals
(เป้าหมาย)
- ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาการแพ้ในระหว่างและหลังการให้เลือด
- ลดความรุนแรงของปฏิกิริยาการแพ้หากเกิดขึ้น
- เพิ่มความรู้และความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวในการป้องกันและเฝ้าระวังปฏิกิริยาการแพ้
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ผู้ป่วยไม่มีอาการแพ้ระหว่างและหลังการให้เลือด
- สัญญาณชีพคงที่และอยู่ในช่วงปกติ
- ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถระบุอาการของการแพ้และแนวทางการปฏิบัติเมื่อเกิดปฏิกิริยาแพ้ได้
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F9I-1: ประเมินประวัติการแพ้ของผู้ป่วยและเอกสารเกี่ยวกับปฏิกิริยาการแพ้ที่ผ่านมา
- D56.9F9I-2: เฝ้าระวังอาการผิดปกติขณะให้เลือด เช่น ผื่นแดง หายใจลำบาก หรือความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง
- D56.9F9I-3: ให้เลือดอย่างช้า ๆ ในระยะแรก และตรวจสอบอาการผิดปกติทุก 15 นาที
- D56.9F9I-4: เตรียมอุปกรณ์และยาฉุกเฉิน เช่น อะดรีนาลีน แอนตี้ฮีสตามีน และออกซิเจน ให้พร้อมใช้งาน
- D56.9F9I-5: หยุดการให้เลือดทันทีหากพบอาการแพ้ และแจ้งแพทย์ผู้ดูแล
- D56.9F9I-6: จัดการให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนศีรษะสูงหรือตะแคงเพื่อลดความเสี่ยงต่อการหายใจลำบาก
- D56.9F9I-7: ให้คำแนะนำผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการเฝ้าระวังและการปฏิบัติตนหากเกิดอาการแพ้
- D56.9F9I-8: บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับปฏิกิริยาการแพ้ที่เกิดขึ้นในเวชระเบียนของผู้ป่วย
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F9R-1: ผู้ป่วยไม่มีอาการแพ้ระหว่างและหลังการให้เลือด
- D56.9F9R-2: สัญญาณชีพของผู้ป่วยคงที่ตลอดกระบวนการให้เลือด
- D56.9F9R-3: ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถบอกแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันปฏิกิริยาการแพ้ได้
- D56.9F9R-4: ไม่มีการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากปฏิกิริยาการแพ้
..........................................................
D56.9F10 เสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาการแพ้ในระบบภูมิคุ้มกัน (Febrile
Non-Hemolytic Reaction)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานว่ามีอาการหนาวสั่น ปวดศีรษะ และรู้สึกไม่สบายหลังได้รับเลือด
O:
- สังเกตพบไข้สูง (≥ 38°C)
- สัญญาณชีพผิดปกติ เช่น หัวใจเต้นเร็ว หรือหายใจเร็ว
- สังเกตเห็นอาการหนาวสั่น และอ่อนเพลียหลังการให้เลือด
Goals
(เป้าหมาย)
- ป้องกันการเกิดปฏิกิริยา Febrile Non-Hemolytic Reaction ระหว่างและหลังการให้เลือด
- ลดความรุนแรงของอาการไข้ หนาวสั่น และปวดศีรษะหากเกิดขึ้น
- เพิ่มความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับปฏิกิริยา Febrile Non-Hemolytic Reaction
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ผู้ป่วยไม่มีไข้ หรืออาการหนาวสั่นหลังการให้เลือด
- สัญญาณชีพคงที่และไม่มีภาวะแทรกซ้อน
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายอาการและการปฏิบัติตัวหากเกิดปฏิกิริยาได้
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F10I-1: ตรวจสอบและบันทึกประวัติการเกิดปฏิกิริยา Febrile Non-Hemolytic Reaction ในอดีต
- D56.9F10I-2: ตรวจสอบการเตรียมเลือดที่เหมาะสม เช่น ใช้เลือดที่ผ่านกระบวนการล้างเม็ดเลือดขาว (Leukoreduced Blood)
- D56.9F10I-3: เฝ้าระวังอาการไข้ หนาวสั่น และปวดศีรษะระหว่างการให้เลือด โดยตรวจสอบสัญญาณชีพทุก 15 นาทีในชั่วโมงแรก
- D56.9F10I-4: หยุดการให้เลือดทันทีหากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ และแจ้งแพทย์
- D56.9F10I-5: ให้ยาแก้ไข้หรือยาแอนตี้ฮีสตามีนตามคำสั่งแพทย์หากผู้ป่วยเริ่มมีอาการ
- D56.9F10I-6: จัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น ให้ผู้ป่วยพักในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
- D56.9F10I-7: ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับปฏิกิริยาการแพ้ในระบบภูมิคุ้มกัน และวิธีการแจ้งเจ้าหน้าที่หากเกิดอาการ
- D56.9F10I-8: บันทึกข้อมูลการเกิดปฏิกิริยาในเวชระเบียนของผู้ป่วยเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการดูแลในอนาคต
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F10R-1: ผู้ป่วยไม่มีไข้ หรืออาการหนาวสั่นหลังได้รับเลือด
- D56.9F10R-2: สัญญาณชีพของผู้ป่วยคงที่และไม่มีภาวะแทรกซ้อน
- D56.9F10R-3: ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกดีขึ้นและสามารถปฏิบัติตัวตามคำแนะนำได้
- D56.9F10R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจและสามารถอธิบายแนวทางป้องกันปฏิกิริยาได้อย่างถูกต้อง
............................................................
D56.9F11 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic
Reaction)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรายงานมีไข้ หนาวสั่น หรือรู้สึกไม่สบายหลังได้รับเลือด
- ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียหรือเจ็บปวดที่บริเวณหลังการให้เลือด
O:
- พบไข้สูง (≥ 38°C) หรืออาการหนาวสั่นหลังการให้เลือด
- ปัสสาวะเป็นสีเข้มหรือมีลักษณะคล้ายน้ำลายกาแฟ
- สัญญาณชีพผิดปกติ เช่น ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นเร็ว หรือหายใจเร็ว
- ตรวจพบภาวะช็อก เช่น เหงื่อออกมาก ผิวหนังเย็น หรือสับสน
Goals
(เป้าหมาย)
- ป้องกันหรือจัดการภาวะ Hemolytic Reaction หลังจากการให้เลือด
- ลดอาการไข้ ปัสสาวะสีเข้ม และภาวะช็อกให้หายไป
- เฝ้าระวังสัญญาณของภาวะ Hemolytic Reaction และจัดการได้ทันท่วงที
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ผู้ป่วยไม่มีไข้ ปัสสาวะเป็นสีปกติ และไม่มีภาวะช็อกหลังการให้เลือด
- สัญญาณชีพของผู้ป่วยคงที่และไม่มีภาวะแทรกซ้อน
- ไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น อาการบวม หรืออ่อนเพลีย
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F11I-1: ประเมินและตรวจสอบเลือดที่ให้ (ตรวจสอบกรุ๊ปเลือดและการทดสอบข้ามเลือด) เพื่อยืนยันว่าเลือดที่ให้มีความเข้ากันกับผู้ป่วย
- D56.9F11I-2: เฝ้าระวังอาการไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะสีเข้ม และการเกิดภาวะช็อกในระหว่างการให้เลือด และตรวจสอบสัญญาณชีพทุก 15 นาทีในชั่วโมงแรก
- D56.9F11I-3: หากพบอาการผิดปกติ เช่น ไข้ ปัสสาวะสีเข้ม หรือภาวะช็อก หยุดการให้เลือดทันทีและแจ้งแพทย์
- D56.9F11I-4: ให้การรักษาเบื้องต้น เช่น การให้ของเหลวทางหลอดเลือดดำ เพื่อป้องกันภาวะช็อก หรือการให้ยาแก้ไข้ตามคำแนะนำของแพทย์
- D56.9F11I-5: ตรวจสอบและบันทึกอาการและผลการรักษาทุกครั้งในเวชระเบียนของผู้ป่วย
- D56.9F11I-6: ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับอาการที่อาจเกิดขึ้นจากการให้เลือด และการแจ้งเจ้าหน้าที่หากเกิดอาการผิดปกติ
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F11R-1: ผู้ป่วยไม่มีอาการไข้หรือหนาวสั่นหลังการให้เลือด
- D56.9F11R-2: ปัสสาวะของผู้ป่วยกลับเป็นสีปกติ
- D56.9F11R-3: สัญญาณชีพของผู้ป่วยคงที่ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และไม่มีภาวะช็อก
- D56.9F11R-4: ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจวิธีการปฏิบัติตัวหากเกิดอาการผิดปกติ
...................................................................
D56.9F12 เสี่ยงต่อภาวะเหล็กเกิน (Iron Overload) เนื่องจากการได้รับเลือดซ้ำบ่อยครั้ง
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยอาจรายงานอาการเหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น หรือการรับรู้ว่ามีอาการแปลก ๆ เช่น หายใจลำบากในบางครั้ง หรือปวดข้อตามร่างกาย
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการสะสมของธาตุเหล็กและผลกระทบในระยะยาว
O:
- ประวัติการรับเลือดบ่อยครั้ง
- ตรวจพบระดับเหล็กในเลือดสูง หรือค่า ferritin สูง
- พบการเปลี่ยนแปลงที่ตับ หัวใจ หรือการตรวจทางอัลตราซาวด์ที่บ่งชี้การสะสมเหล็กในอวัยวะต่าง ๆ
- อาการคลื่นไส้ ท้องอืด หรือปวดที่ข้อต่อ
Goals
(เป้าหมาย)
- ป้องกันการสะสมของธาตุเหล็กในตับ หัวใจ และต่อมไร้ท่อ
- ลดอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะเหล็กเกิน เช่น อาการเหนื่อยง่ายและปวดข้อต่อ
- ควบคุมระดับเหล็กในร่างกายให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
- ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการสะสมเหล็กในอวัยวะต่าง ๆ
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ระดับเหล็กในเลือดลดลงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
- ไม่มีอาการเหนื่อยง่าย หรืออาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะเหล็กเกิน
- ผู้ป่วยมีผลการตรวจทางการแพทย์ที่แสดงว่าไม่มีการสะสมของธาตุเหล็กในอวัยวะสำคัญ
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F12I-1: ประเมินระดับเหล็กในเลือด (serum ferritin) และผลการตรวจอื่น ๆ เช่น MRI หรือการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อตรวจสอบการสะสมของธาตุเหล็กในอวัยวะ
- D56.9F12I-2: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการสะสมของเหล็ก เช่น การติดตามการให้เลือดอย่างเหมาะสม และการใช้ยา chelating agent ตามคำแนะนำของแพทย์
- D56.9F12I-3: การให้ยา chelating agent (เช่น Desferrioxamine, Deferasirox) ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อขับเหล็กออกจากร่างกาย
- D56.9F12I-4: ติดตามและบันทึกระดับเหล็กในเลือดและการตอบสนองต่อการใช้ยา chelating agent อย่างสม่ำเสมอ
- D56.9F12I-5: ประสานงานกับทีมแพทย์เพื่อประเมินและปรับการรักษาให้เหมาะสมตามระดับเหล็กในร่างกายและสภาพสุขภาพของผู้ป่วย
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F12R-1: ระดับเหล็กในเลือดลดลงอยู่ในระดับที่ปลอดภัย (ferritin ≤ 1000 ng/mL)
- D56.9F12R-2: ผู้ป่วยไม่มีอาการเหนื่อยง่าย หรือปวดข้อต่อที่สัมพันธ์กับภาวะเหล็กเกิน
- D56.9F12R-3: ผู้ป่วยได้รับการควบคุมการให้เลือดและใช้ยา chelating agent อย่างสม่ำเสมอ
- D56.9F12R-4: ผลการตรวจอัลตราซาวด์ หรือ MRI แสดงว่าไม่มีการสะสมของเหล็กในอวัยวะสำคัญ เช่น ตับและหัวใจ
........................................................
D56.9F13 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะปอดบวมน้ำที่เกี่ยวข้องกับการให้เลือด (Transfusion-Associated
Circulatory Overload, TACO)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยอาจรายงานอาการหายใจลำบากหรือเหนื่อยง่ายหลังการให้เลือด
- อาจมีอาการไอหรือรู้สึกแห้งในคอ
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดที่หน้าอกหรือรู้สึกไม่สบายเนื่องจากการคั่งของน้ำในปอด
O:
- การตรวจพบอาการบวมที่แขน ขา หรือหน้าท้อง
- พบเสียงหายใจที่ผิดปกติ เช่น เสียงกรอบหรือเสียงหายใจที่มีการหอบเหนื่อย
- ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำหรือพบการเปลี่ยนแปลงในค่าการตรวจทางการหายใจ เช่น PaO2 หรือการตรวจ X-ray ที่แสดงถึงการคั่งของน้ำในปอด
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้จากปัจจัยอื่น
Goals
(เป้าหมาย)
- ป้องกันการเกิดภาวะปอดบวมน้ำที่เกี่ยวข้องกับการให้เลือด (TACO)
- ควบคุมการหายใจให้เป็นปกติ และลดอาการเหนื่อยหรือหายใจลำบาก
- ลดการคั่งน้ำในร่างกายและป้องกันอาการบวม
- ปรับปรุงการให้เลือดในปริมาณและความเร็วที่เหมาะสม
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ไม่มีอาการหายใจลำบากหรือเหนื่อยง่ายหลังการให้เลือด
- ระดับออกซิเจนในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ (SpO2 ≥ 95%)
- ไม่มีอาการบวมใหม่ และอาการบวมที่ขาลดลง
- ไม่มีการคั่งของน้ำในปอดในผลการตรวจ X-ray หรือการตรวจทางการแพทย์อื่นๆ
- น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F13I-1: ประเมินน้ำหนักตัวผู้ป่วยทุกเช้าในเวลาเดียวกันเพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักในช่วงที่ให้เลือด
- D56.9F13I-2: ประเมินอาการหายใจทุก 1 ชั่วโมงหลังการให้เลือดและระหว่างการให้เลือด เพื่อตรวจจับสัญญาณของการหายใจลำบากหรือการคั่งน้ำในปอด
- D56.9F13I-3: จัดท่านอนศีรษะสูง (High Fowler’s position) เพื่อช่วยลดการคั่งน้ำในปอดและทำให้หายใจสะดวก
- D56.9F13I-4: ลดปริมาณการให้เลือดหรือการให้เลือดในเวลาเร็วเกินไปตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันการเกิด TACO
- D56.9F13I-5: ให้ยาขับปัสสาวะตามคำแนะนำของแพทย์ในกรณีที่พบอาการบวมหรือการคั่งน้ำที่เกิดจาก TACO
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F13R-1: น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1 กิโลกรัมต่อวันหลังการให้เลือด
- D56.9F13R-2: ผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจลำบากหรือเหนื่อยง่าย และการหายใจกลับสู่ภาวะปกติ
- D56.9F13R-3: ไม่มีการคั่งน้ำในปอดในผลการตรวจ X-ray หรือการตรวจการหายใจอื่นๆ
- D56.9F13R-4: ไม่มีอาการบวมใหม่ และอาการบวมที่ขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- D56.9F13R-5: ผู้ป่วยสามารถหายใจได้สะดวกและอาการไอลดลงหรือหายไป
.............................................................
D56.9F14 เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ถ่ายทอดทางเลือด (Transfusion-Transmitted Infections)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยอาจมีประวัติการได้รับการถ่ายเลือดหลายครั้ง
- ผู้ป่วยอาจมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการได้รับเลือด
- อาจมีอาการเจ็บปวดหรือไม่สบายตามร่างกายหลังการรับเลือด
O:
- ผลการตรวจเลือดอาจพบระดับเอนไซม์ตับสูง (SGOT, SGPT) ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อในตับ
- ตรวจพบอาการที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ เช่น ไข้ หรือผื่น
- ผลการตรวจไวรัสตับอักเสบ B หรือ C อาจบ่งชี้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อ
- ประวัติการรับการถ่ายเลือดจากแหล่งที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ปลอดภัย
Goals
(เป้าหมาย)
- ป้องกันการติดเชื้อจากการถ่ายทอดทางเลือด
- ลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยเกี่ยวกับการติดเชื้อจากการถ่ายเลือด
- ติดตามสัญญาณของการติดเชื้อและให้การรักษาตามขั้นตอนที่เหมาะสม
- เฝ้าระวังและตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B หรือ C อย่างสม่ำเสมอ
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ไม่มีการติดเชื้อจากการถ่ายเลือดที่ตรวจพบ
- ผู้ป่วยไม่แสดงอาการของการติดเชื้อ (ไข้, ผื่น, หรืออาการผิดปกติอื่นๆ)
- ผลการตรวจเลือดแสดงว่าระดับเอนไซม์ตับอยู่ในเกณฑ์ปกติ (SGOT, SGPT)
- ผู้ป่วยได้รับการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F14I-1: ประเมินประวัติการถ่ายเลือดของผู้ป่วยและตรวจสอบว่าผู้ป่วยได้รับเลือดจากแหล่งที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
- D56.9F14I-2: ตรวจสอบผลการตรวจเลือดในผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B หรือ C
- D56.9F14I-3: ให้การศึกษาแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการถ่ายเลือดและการป้องกันการติดเชื้อจากเลือด
- D56.9F14I-4: หากพบผลตรวจเลือดที่บ่งชี้การติดเชื้อ ให้เริ่มการรักษาโดยทันทีตามคำแนะนำของแพทย์
- D56.9F14I-5: เฝ้าระวังอาการติดเชื้อในผู้ป่วยหลังการรับเลือด เช่น อาการไข้ ปวดกล้ามเนื้อ หรือผื่น
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F14R-1: ผลการตรวจเลือดไม่พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B หรือ C
- D56.9F14R-2: ผู้ป่วยไม่มีอาการไข้ หรืออาการที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อจากการถ่ายเลือด
- D56.9F14R-3: ผู้ป่วยสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการถ่ายเลือดได้ดี
- D56.9F14R-4: ระดับเอนไซม์ตับ (SGOT, SGPT) อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- D56.9F14R-5: ผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติหลังจากการถ่ายเลือด เช่น ปวดศีรษะ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อ
...........................................................
D56.9F15 เสี่ยงต่อปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อเม็ดเลือดแดงในอนาคต (Alloimmunization)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยมีประวัติการได้รับการถ่ายเลือดหลายครั้ง
- ผู้ป่วยอาจมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่อาจเกิดขึ้นหลังการรับเลือด
- อาจมีอาการไม่สบายตามร่างกายหรือรู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่ได้รับการถ่ายเลือด
O:
- ผลการตรวจเลือดอาจพบการเพิ่มขึ้นของแอนติบอดีที่สร้างขึ้นจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน
- ผู้ป่วยอาจมีอาการแทรกซ้อนจากการเกิดการตอบสนองภูมิคุ้มกัน เช่น ไข้หรือปวดตามร่างกาย
- ประวัติการถ่ายเลือดจากแหล่งที่มีความเสี่ยงสูงหรือได้รับเลือดจากกลุ่มผู้บริจาคที่มีปัญหา
Goals
(เป้าหมาย)
- ลดความเสี่ยงต่อการเกิดการตอบสนองภูมิคุ้มกัน (Alloimmunization) ในผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อยๆ
- ติดตามและประเมินการพัฒนาของแอนติบอดีในผู้ป่วยที่ได้รับการถ่ายเลือด
- ให้การศึกษาแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการป้องกันและลดความเสี่ยงจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน
- ให้การรักษาที่เหมาะสมหากพบการพัฒนาของแอนติบอดี
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ไม่มีการพัฒนาของแอนติบอดีที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน (Alloimmunization)
- ผู้ป่วยไม่แสดงอาการของการตอบสนองภูมิคุ้มกัน เช่น ไข้ หรืออาการบวม
- ผลการตรวจเลือดไม่พบแอนติบอดีที่มีความเสี่ยงในการตอบสนองต่อเม็ดเลือดแดง
- ผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและเฝ้าระวังปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F15I-1: ตรวจสอบประวัติการถ่ายเลือดของผู้ป่วยและบันทึกจำนวนครั้งและชนิดของเลือดที่ได้รับ
- D56.9F15I-2: ประเมินผลการตรวจเลือดที่เกี่ยวข้องกับแอนติบอดี (antibody screening) อย่างสม่ำเสมอ
- D56.9F15I-3: แนะนำให้ผู้ป่วยทำการตรวจหาการตอบสนองภูมิคุ้มกัน (Alloimmunization) หลังการรับเลือดบ่อยๆ
- D56.9F15I-4: จัดให้มีการทดสอบการจับตัวของแอนติบอดีในเลือด (Antibody identification) หากพบแอนติบอดีที่น่าสงสัย
- D56.9F15I-5: ให้การศึกษาแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการพัฒนาของแอนติบอดีและการตอบสนองภูมิคุ้มกัน
- D56.9F15I-6: หากพบการตอบสนองภูมิคุ้มกัน ให้เริ่มการรักษาหรือแผนการถ่ายเลือดที่เหมาะสมกับการตอบสนองภูมิคุ้มกันนั้น
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F15R-1: ผลการตรวจพบว่าไม่มีแอนติบอดีในเลือดหรือมีระดับแอนติบอดีต่ำ
- D56.9F15R-2: ผู้ป่วยไม่มีอาการไข้หรืออาการผิดปกติที่เกิดจากการตอบสนองภูมิคุ้มกัน
- D56.9F15R-3: ผลการตรวจเลือดแสดงว่าไม่มีการพัฒนาของแอนติบอดีที่อาจทำให้เกิดการตอบสนองต่อเม็ดเลือดแดง
- D56.9F15R-4: ผู้ป่วยเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการลดความเสี่ยงของการตอบสนองภูมิคุ้มกันได้ดี
- D56.9F15R-5: ผู้ป่วยไม่มีอาการหรือปัญหาผลข้างเคียงจากการรับเลือดหลังจากได้รับการรักษาหรือการปรับเปลี่ยนแผนการรักษา
..................................................................
D56.9F16 เสี่ยงต่อปฏิกิริยารุนแรงที่เกี่ยวข้องกับปอด (Transfusion-Related Acute Lung Injury, TRALI)
Assessment (การประเมิน)
S:
ผู้ป่วยมีประวัติการถ่ายเลือดหลายครั้ง
ผู้ป่วยอาจรู้สึกหายใจลำบากหรือมีอาการไอหลังการถ่ายเลือด
อาจมีอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมปอดหลังการรับเลือด
O:
- อาการหายใจลำบาก หรือหายใจเร็ว
- พบอาการเหนื่อยหรือไอร่วมกับการได้รับเลือด
- อาการบวมที่ขาหรือปอดจากการสะสมน้ำในปอด
- ผลการตรวจ X-ray ปอดอาจแสดงความผิดปกติ เช่น อาการบวมของปอด
- ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติ (SpO2 < 90%)
Goals
(เป้าหมาย)
- ลดความเสี่ยงจากภาวะน้ำท่วมปอดที่เกิดจากการถ่ายเลือด
- สังเกตและประเมินอาการของ TRALI ในระยะเวลาใกล้เคียงกับการถ่ายเลือด
- รักษาผู้ป่วยที่มีอาการ TRALI ให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสม
- ป้องกันและให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการติดตามภาวะน้ำท่วมปอดในอนาคต
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ไม่มีอาการหายใจลำบากหรือไอหลังการรับเลือด
- ค่าออกซิเจนในเลือดอยู่ในระดับปกติ (SpO2 ≥ 90%)
- ผลการ X-ray ปอดไม่พบความผิดปกติของน้ำท่วมปอด
- ผู้ป่วยไม่มีอาการบวมใหม่ในขาหรืออวัยวะส่วนอื่นๆ
- ผู้ป่วยเข้าใจและสามารถติดตามอาการจากการถ่ายเลือดได้อย่างเหมาะสม
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F16I-1: ประเมินอาการหายใจลำบาก หรืออาการไอหลังการถ่ายเลือดทุกครั้ง
- D56.9F16I-2: วัดค่า SpO2 ทุกชั่วโมงระหว่างและหลังการถ่ายเลือด
- D56.9F16I-3: สังเกตอาการบวมที่ขาหรือปอด และบันทึกการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก
- D56.9F16I-4: จัดท่านอนศีรษะสูง (High Fowler’s position) เพื่อลดการคั่งน้ำในปอดและช่วยให้หายใจสะดวก
- D56.9F16I-5: จัดการให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนหากมีอาการหายใจลำบากหรือค่า SpO2 ต่ำ
- D56.9F16I-6: ติดต่อแพทย์หากพบอาการแสดงของ TRALI เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม
- D56.9F16I-7: ให้การศึกษาแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการถ่ายเลือดและวิธีการป้องกันการเกิด TRALI
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F16R-1: ผู้ป่วยไม่แสดงอาการหายใจลำบากหรือไอหลังการรับเลือด
- D56.9F16R-2: ค่า SpO2 ของผู้ป่วยอยู่ในระดับปกติ (≥ 90%)
- D56.9F16R-3: ผู้ป่วยไม่มีอาการบวมใหม่ในขาหรืออวัยวะอื่นๆ
- D56.9F16R-4: ผลการ X-ray ปอดไม่พบการสะสมน้ำหรือปัญหาการอักเสบในปอด
- D56.9F16R-5: ผู้ป่วยเข้าใจวิธีการป้องกันและติดตามอาการจากการถ่ายเลือด และสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำได้ดี
........................................................
D56.9F17 ขาดความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองและการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยไม่เข้าใจวิธีการดูแลตนเองที่เหมาะสมเกี่ยวกับโรคธาลาสซีเมีย
- ผู้ป่วยมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับประทานยาและการรักษาตัว
- ผู้ป่วยไม่ทราบถึงการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคธาลาสซีเมีย
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการรักษาและการติดตามผลในอนาคต
O:
- ไม่มีการติดตามหรือปฏิบัติตามแผนการรักษาและการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
- ผลการตรวจร่างกายหรือห้องปฏิบัติการไม่ปกติจากภาวะแทรกซ้อนของโรค
- ไม่มีการจัดทำบันทึกการติดตามผลการรักษาในระยะยาว
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองที่เหมาะสม
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานยา การปฏิบัติตัว และการติดตามรักษา
- ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคธาลาสซีเมียผ่านการดูแลและการป้องกันที่ถูกต้อง
- เพิ่มความมั่นใจในความสามารถของผู้ป่วยในการติดตามผลและการดูแลสุขภาพในอนาคต
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีการดูแลตนเองได้อย่างชัดเจน
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับยาและการติดตามรักษาได้
- ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษา
- ผู้ป่วยสามารถจัดการภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ด้วยตนเองหรือได้รับการสนับสนุนจากทีมดูแล
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F17I-1: สอนวิธีการรับประทานยาอย่างถูกต้อง และให้คำแนะนำเกี่ยวกับเวลาการรับประทานยาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- D56.9F17I-2: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการติดตามผลการรักษา เช่น การตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ
- D56.9F17I-3: ให้คำแนะนำในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การหลีกเลี่ยงการติดเชื้อและการรับเลือดในปริมาณที่เหมาะสม
- D56.9F17I-4: จัดให้มีการศึกษาผ่านสื่อ เช่น โปสเตอร์ วิดีโอ หรือเอกสาร เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในการดูแลตนเอง
- D56.9F17I-5: สนับสนุนการตั้งเป้าหมายในการติดตามผล เช่น การนัดหมายการตรวจเลือดและการประเมินสุขภาพประจำปี
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F17R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีการรับประทานยาและการติดตามรักษาได้อย่างชัดเจน
- D56.9F17R-2: ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการรับประทานยาและการติดตามผลได้สม่ำเสมอ
- D56.9F17R-3: ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษา
- D56.9F17R-4: ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจในการดูแลตนเองและมีความเข้าใจในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคธาลาสซีเมีย
..............................................................................
D56.9F18 มีความพร้อมต่อการจัดการตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยยินยอมและเข้าใจในกระบวนการรักษาและการดูแลตนเอง
- ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจในการปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลสุขภาพ
- ผู้ป่วยมีความเข้าใจในภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคธาลาสซีเมีย
- ผู้ป่วยอาจมีคำถามเกี่ยวกับวิธีการติดตามผลการรักษาและการป้องกันภาวะแทรกซ้อน
O:
- ผู้ป่วยสามารถแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามแผนการรักษา เช่น การรับประทานยาและการติดตามผลการรักษา
- ผู้ป่วยมีการติดต่อกับแหล่งสนับสนุน เช่น การพบแพทย์หรือการเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วย
- ไม่มีสัญญาณของการละเลยการรักษาหรือการดูแลตนเอง
Goals
(เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีความสามารถในการจัดการตนเองในการรักษาและดูแลสุขภาพ
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานยาและการติดตามผลการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ป่วยมีแหล่งสนับสนุนที่เพียงพอและสามารถเข้าถึงการสนับสนุนได้เมื่อจำเป็น
- ผู้ป่วยไม่ประสบปัญหาจากการละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเอง
Evaluation
Criteria (เกณฑ์ประเมินผล)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายแผนการรักษาและการติดตามผลได้
- ผู้ป่วยสามารถจัดการการดูแลตนเองได้ตามคำแนะนำที่ได้รับ
- ผู้ป่วยแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับการสนับสนุนจากทีมการแพทย์และแหล่งอื่นๆ
- ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษา
Intervention
(การปฏิบัติการพยาบาล)
- D56.9F18I-1: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การรับประทานยาและการติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
- D56.9F18I-2: จัดให้มีการเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยโรคธาลาสซีเมียหรือการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ
- D56.9F18I-3: ให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับการจัดการภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ หรือการขาดสารอาหาร
- D56.9F18I-4: แนะนำแหล่งสนับสนุนที่ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้ เช่น สายด่วนหรือบริการสุขภาพออนไลน์
- D56.9F18I-5: ประเมินความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำแนะนำและสนับสนุนการปรับตัว
Response
(การตอบสนอง)
- D56.9F18R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายการดูแลตนเองและแผนการรักษาได้อย่างชัดเจน
- D56.9F18R-2: ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาและการติดตามผลได้อย่างสม่ำเสมอ
- D56.9F18R-3: ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการดูแลตนเองและสามารถเข้าถึงแหล่งสนับสนุนได้เมื่อจำเป็น
- D56.9F18R-4: ผู้ป่วยไม่ประสบปัญหาจากการละเลยการรักษาหรือการดูแลตนเอง
……………………………..
อำภัย
อินดี