เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

EP. 40👉👉ตัวอย่าง : การพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภท (Schizophrenia) : F20.9 - Schizophrenia, unspecified

 

พยาธิสภาพของผู้ป่วยโรคจิตเภท

โรคจิตเภทเป็นความผิดปกติทางจิตเวชเรื้อรังที่มีสาเหตุมาจากการทำงานผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง โดยเฉพาะโดปามีนและกลูตาเมต ส่งผลต่อการคิด การรับรู้ อารมณ์ และพฤติกรรม ผู้ป่วยอาจมีอาการหลงผิด (delusions) ประสาทหลอน (hallucinations) ความคิดหรือการพูดที่ไม่เป็นระเบียบ และการแยกตัวจากสังคม พยาธิสภาพนี้มักมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก หากไม่ได้รับการรักษาและฟื้นฟูที่เหมาะสม

การรักษาผู้ป่วยโรคจิตเภท

การรักษาโรคจิตเภทเน้นการควบคุมอาการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ โดยใช้ยาในกลุ่มยาต้านโรคจิต (antipsychotics) เป็นหลัก เช่น กลุ่มยา atypical antipsychotics ซึ่งช่วยลดอาการหลงผิดและประสาทหลอน ควบคู่กับการทำจิตบำบัด การบำบัดพฤติกรรม และการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน นอกจากนี้ การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยผ่านการสร้างทักษะทางสังคมและการทำงานมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต

การพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภท

การพยาบาลมุ่งเน้นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีเพื่อสร้างความไว้วางใจแก่ผู้ป่วย การประเมินอาการทางจิต พฤติกรรม และความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคและการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาลยังมีบทบาทสำคัญในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้สงบ ลดความเครียด และส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมบำบัด เพื่อช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพและลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ

การวินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตเภท

  1. F20.9F1 เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น (Risk of Self-Harm or Harm to Others) (ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นเนื่องจากความไม่มั่นคงทางพฤติกรรมหรืออารมณ์)
  2. F20.9F2 ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและวิธีการดูแลตนเอง (Lack of Knowledge and Understanding of Disease and Self-Care) (ผู้ป่วยขาดความเข้าใจเกี่ยวกับโรคของตนและวิธีการดูแลตนเองอย่างเพียงพอ)
  3. F20.9F3 มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด รู้สึกวิตกกังวล (Mood Instability, Irritability, Anxiety)      (ผู้ป่วยมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงบ่อย หงุดหงิดและวิตกกังวล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต)
  4. F20.9F4 มีปัญหาในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Communication and Relationship Problems) (ผู้ป่วยมีปัญหาในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ ซึ่งอาจทำให้การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นมีความยากลำบาก)
  5. F20.9F5 ภาวะซึมเศร้ารุนแรง (Severe Depression) (ผู้ป่วยมีอาการของภาวะซึมเศร้ารุนแรง เช่น รู้สึกเศร้าอย่างต่อเนื่องและไม่สนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ)
  6. F20.9F6 ภาวะวิตกกังวลรุนแรง (Severe Anxiety) (ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลที่รุนแรงจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน)
  7. F20.9F7 มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือทำลายล้าง (Aggressive or Destructive Behavior) (ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหรือทำลายล้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายหรือตำหนิติเตียนจากผู้อื่น)
  8. F20.9F8 ภาวะขาดสารอาหารหรือการดูแลตนเองไม่เพียงพอ (Malnutrition or Inadequate Self-Care) (ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะขาดสารอาหารหรือไม่ดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ซึ่งอาจทำให้สุขภาพย่ำแย่ลง)
  9. F20.9F9 ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ (Difficulty Adjusting to Society) (ผู้ป่วยมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับสังคมหรือทำตามมาตรฐานทางสังคม)
  10. F20.9F10 มีปัญหาในการทำงานหรือศึกษาเล่าเรียน (Issues with Work or Education) (ผู้ป่วยมีปัญหาหรือไม่สามารถทำงานหรือศึกษาได้ตามปกติ)
  11. F20.9F11 ขาดการสนับสนุนจากครอบครัวหรือสังคม (Lack of Family or Social Support)         (ผู้ป่วยขาดการสนับสนุนจากครอบครัวหรือเครือข่ายสังคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟู)
  12. F20.9F12 มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยา (Risk of Medication Complications) (ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยา)
  13. F20.9F13 ขาดความมั่นใจในการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล (Lack of Confidence in Post-Hospital Self-Care) (ผู้ป่วยรู้สึกไม่มั่นใจในการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัว)
  14. F20.9F14 ผู้ป่วยยังขาดทักษะในการจัดการกับความเครียด (Lack of Stress Management Skills) (ผู้ป่วยยังไม่มีวิธีการหรือทักษะในการรับมือกับความเครียด ซึ่งอาจทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่ลง)
  15. F20.9F15 ยังขาดเครือข่ายสนับสนุนที่เพียงพอ (Insufficient Support Network) (ผู้ป่วยยังขาดเครือข่ายหรือกลุ่มคนที่สามารถช่วยเหลือในช่วงที่ต้องการการสนับสนุน)
  16. F20.9F16 มีความเสี่ยงที่จะหยุดยาหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ (Risk of Non-Adherence to Medication or Treatment Plans) (ผู้ป่วยอาจหยุดยาหรือไม่ทำตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งอาจทำให้เกิดการหวนกลับของโรค)
  17. F20.9F17 มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล (Risk of Developing Depression or Anxiety) (ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลที่อาจทำให้สภาพจิตใจแย่ลง)

หมายเหตุ: ตัวเลข F1, F2, F3 เป็นเพียงตัวเลขที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การจัดลำดับวินิจฉัยการพยาบาลเป็นไปอย่างมีระบบ อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม

.............................................................

F20.9F1 เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น (Risk of Self-Harm or Harm to Others)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกเครียด หวาดกลัว หรือได้ยินเสียงที่บอกให้ทำร้ายตนเอง/ผู้อื่น

O:

  • พฤติกรรมแสดงความวิตกกังวล เช่น กระสับกระส่าย เดินไปมา
  • มีคำพูดหรือการกระทำที่เป็นอันตราย เช่น พยายามทำร้ายตนเองหรือขว้างปาสิ่งของ
  • สีหน้าแสดงความสับสนหรือหวาดกลัว

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยมีความปลอดภัยและไม่ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมได้ดีขึ้น
  • ลดอาการหลงผิดและประสาทหลอนที่เป็นปัจจัยเสี่ยง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมหรือคำพูดที่แสดงถึงการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นภายใน 24-48 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสงบและสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถสื่อสารความคิดและความรู้สึกได้อย่างเหมาะสม

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F1I-1: สร้างความไว้วางใจผ่านการสื่อสารเชิงบวก เช่น การรับฟังและให้ความเข้าใจ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย
  • F20.9F1I-2: ประเมินสภาพจิตใจและพฤติกรรมของผู้ป่วยทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยง
  • F20.9F1I-3: แยกผู้ป่วยในห้องที่สงบ หากผู้ป่วยมีพฤติกรรมก้าวร้าว เพื่อป้องกันการทำร้ายผู้อื่น
  • F20.9F1I-4: ให้ยา antipsychotic ตามคำสั่งแพทย์ เช่น Haloperidol หรือ Risperidone เพื่อลดอาการหลงผิดและประสาทหลอน
  • F20.9F1I-5: สอนผู้ป่วยเทคนิคการควบคุมอารมณ์ เช่น การหายใจลึกๆ หรือการนับเลขเมื่อรู้สึกเครียด
  • F20.9F1I-6: สนับสนุนให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลและเฝ้าระวัง เพื่อสร้างความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F1R-1: ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมหรือคำพูดที่แสดงถึงการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นภายใน 48 ชั่วโมง
  • F20.9F1R-2: ผู้ป่วยสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมรวมได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้อื่น
  • F20.9F1R-3: ผู้ป่วยรายงานว่าอาการหลงผิดหรือประสาทหลอนลดลง
  • F20.9F1R-4: ครอบครัวสามารถช่วยเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
  • F20.9F1R-5: ผู้ป่วยสามารถสื่อสารความรู้สึกและความคิดได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง

………………………………..

F20.9F2 ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและวิธีการดูแลตนเอง (Lack of Knowledge and Understanding of Disease and Self-Care)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่เข้าใจว่าโรคจิตเภทคืออะไร และไม่ทราบว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร

O:

  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมไม่รับประทานยาตามคำสั่งแพทย์
  • ผู้ป่วยและครอบครัวไม่มีความรู้เกี่ยวกับสัญญาณเตือนของการกำเริบของโรค
  • ครอบครัวระบุว่าไม่ทราบวิธีจัดการกับอาการหลงผิดหรือประสาทหลอน

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้เกี่ยวกับโรคจิตเภท รวมถึงสาเหตุ อาการ และผลกระทบ
  • ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม เช่น รับประทานยาตามคำสั่งแพทย์
  • ครอบครัวสามารถสนับสนุนการดูแลและจัดการอาการของผู้ป่วยได้

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายลักษณะของโรคจิตเภท อาการ และวิธีดูแลตนเองได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์ต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วัน
  • ครอบครัวสามารถระบุวิธีจัดการสัญญาณเตือนของการกำเริบของโรคได้

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F2I-1: ประเมินความเข้าใจพื้นฐานของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับโรคจิตเภทและการดูแลตนเอง
  • F20.9F2I-2: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับธรรมชาติของโรคจิตเภท รวมถึงสาเหตุ อาการ และวิธีการจัดการ
  • F20.9F2I-3: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับความสำคัญของการรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์ และผลกระทบของการหยุดยา
  • F20.9F2I-4: จัดทำแผนการดูแลตนเองร่วมกับผู้ป่วย เช่น ตารางรับประทานยาและวิธีสังเกตอาการกำเริบ
  • F20.9F2I-5: ให้คำแนะนำแก่ครอบครัวเกี่ยวกับวิธีสนับสนุนผู้ป่วย เช่น การจัดสิ่งแวดล้อมที่สงบและปลอดภัย
  • F20.9F2I-6: แจกเอกสารความรู้เกี่ยวกับโรคจิตเภทและแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์
  • F20.9F2I-7: นัดติดตามประเมินผลความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวอย่างต่อเนื่อง

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F2R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายลักษณะของโรคจิตเภทและวิธีการดูแลตนเองได้
  • F20.9F2R-2: ผู้ป่วยรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์ต่อเนื่องและตรงเวลา
  • F20.9F2R-3: ครอบครัวระบุวิธีจัดการกับสัญญาณเตือนของการกำเริบของโรคและสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
  • F20.9F2R-4: ผู้ป่วยมีอาการคงที่และสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้
  • F20.9F2R-5: ผู้ป่วยและครอบครัวรายงานความพึงพอใจต่อความรู้และการสนับสนุนที่ได้รับ

……………………………………………

F20.9F3 มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด รู้สึกวิตกกังวล (Mood Instability, Irritability, Anxiety)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยระบุว่า "รู้สึกกังวลตลอดเวลาและหงุดหงิดง่าย"
  • ผู้ป่วยร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่สบายใจในสถานการณ์รอบตัว

O:

  • ผู้ป่วยแสดงอาการหงุดหงิด เช่น การพูดเสียงดัง ตอบโต้แรง
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเล็กน้อย เช่น การทุบโต๊ะ หรือเดินไปมา
  • อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตสูงกว่าปกติ
  • การนอนหลับไม่เพียงพอจากรายงานของผู้ป่วย

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมอารมณ์และลดความวิตกกังวลได้
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่สงบขึ้นในระหว่างการสนทนา
  • ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีการผ่อนคลายความเครียดด้วยตัวเอง
  • ผู้ป่วยมีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยรายงานว่ามีความรู้สึกสงบมากขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมตอบสนองที่สงบ เช่น น้ำเสียงที่ราบเรียบ
  • ผู้ป่วยระบุวิธีผ่อนคลายความเครียดได้อย่างน้อย 2 วิธี
  • ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อคืน

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F3I-1: ประเมินระดับความวิตกกังวลและปัจจัยกระตุ้นอารมณ์หงุดหงิดของผู้ป่วย
  • F20.9F3I-2: สร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจและสื่อสารด้วยน้ำเสียงที่สงบและสนับสนุน
  • F20.9F3I-3: จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบและลดสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้ผู้ป่วยวิตกกังวล
  • F20.9F3I-4: แนะนำและฝึกวิธีการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ (Deep Breathing) การฝึกสมาธิ หรือการฟังเพลงบำบัด
  • F20.9F3I-5: สนับสนุนผู้ป่วยให้ระบุและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นความเครียด
  • F20.9F3I-6: ให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีจัดการอารมณ์และฝึกการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
  • F20.9F3I-7: ประสานงานกับจิตแพทย์เพื่อพิจารณาการใช้ยา เช่น ยากล่อมประสาทหรือยาคลายกังวล หากจำเป็น
  • F20.9F3I-8: ติดตามและบันทึกพฤติกรรมและอารมณ์ของผู้ป่วยทุกวัน

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F3R-1: ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกสงบขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังได้รับการพยาบาล
  • F20.9F3R-2: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่สงบ เช่น การนั่งอยู่ในห้องโดยไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว
  • F20.9F3R-3: ผู้ป่วยสามารถระบุและฝึกใช้วิธีการผ่อนคลายความเครียดได้
  • F20.9F3R-4: ผู้ป่วยนอนหลับได้ต่อเนื่อง 6-8 ชั่วโมงใน 3 วันติดต่อกัน
  • F20.9F3R-5: ผู้ป่วยและครอบครัวรายงานว่ามีความพึงพอใจกับการดูแลและการสนับสนุน

………………………………………

F20.9F4 มีปัญหาในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Communication and Relationship Problems)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยระบุว่า "ไม่อยากพูดกับใคร" หรือ "ไม่มีใครเข้าใจฉัน"
  • ผู้ป่วยร้องเรียนว่าไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใครที่สามารถพูดคุยด้วย

O:

  • ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่หรือผู้ป่วยคนอื่น
  • ผู้ป่วยมีพฤติกรรมแยกตัว เช่น นั่งคนเดียวในมุมห้อง
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมปิดกั้นการสื่อสาร เช่น ไม่สบตาหรือพูดเสียงเบา
  • การประเมินโดยใช้แบบสอบถามด้านทักษะการสื่อสารพบว่าคะแนนอยู่ในระดับต่ำ

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถสื่อสารความต้องการของตนเองได้อย่างชัดเจน
  • ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับเจ้าหน้าที่หรือผู้ป่วยคนอื่นอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อวัน
  • ผู้ป่วยสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์ในเชิงบวกได้
  • ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกพึงพอใจกับการพูดคุยและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมสื่อสารอย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน เช่น พูดคุยหรือขอความช่วยเหลือ
  • ผู้ป่วยสามารถมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก เช่น การร่วมกิจกรรมกลุ่ม โดยไม่มีความรู้สึกอึดอัด
  • ผู้ป่วยแสดงความสามารถในการรักษาการสนทนาได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 5 นาที
  • ผู้ป่วยระบุว่ารู้สึกเชื่อมโยงและได้รับการสนับสนุนจากคนรอบตัว

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F4I-1: ประเมินทักษะการสื่อสารของผู้ป่วยและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความสัมพันธ์
  • F20.9F4I-2: สร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจด้วยการสื่อสารเชิงบวกและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยแสดงความรู้สึก
  • F20.9F4I-3: สนับสนุนผู้ป่วยให้เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มที่เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจ
  • F20.9F4I-4: ฝึกทักษะการสื่อสาร เช่น การใช้คำถามเปิด การฟังอย่างตั้งใจ และการแสดงออกทางอารมณ์
  • F20.9F4I-5: ใช้เทคนิค Role-Playing เพื่อให้ผู้ป่วยฝึกทักษะการสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ
  • F20.9F4I-6: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ เช่น การแสดงความเห็นอกเห็นใจและการตอบสนองต่อผู้อื่น
  • F20.9F4I-7: ประสานงานกับนักจิตวิทยาหรือที่ปรึกษาด้านพฤติกรรมเพื่อเสริมสร้างทักษะทางสังคม
  • F20.9F4I-8: จัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการสื่อสาร เช่น การจัดที่นั่งแบบกลุ่มในห้องประชุม

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F4R-1: ผู้ป่วยสามารถแสดงพฤติกรรมการสื่อสารเชิงบวกได้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน
  • F20.9F4R-2: ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกพึงพอใจกับการสนทนาและการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • F20.9F4R-3: ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มได้โดยไม่มีพฤติกรรมแยกตัวหรืออึดอัด
  • F20.9F4R-4: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมการตอบสนองเชิงบวก เช่น ยิ้ม หรือพยักหน้าเมื่อมีการสนทนา
  • F20.9F4R-5: ผู้ป่วยรายงานว่ามีความมั่นใจมากขึ้นในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น

……………………………………………

F20.9F5 ภาวะซึมเศร้ารุนแรง (Severe Depression)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยระบุว่า "รู้สึกเศร้าอยู่ตลอดเวลา" หรือ "ไม่อยากทำอะไรเลย"
  • ผู้ป่วยพูดถึงความรู้สึกไม่มีคุณค่า เช่น "ฉันไม่สำคัญกับใครเลย"

O:

  • ผู้ป่วยมีลักษณะใบหน้าหม่นหมอง ร้องไห้บ่อย หรือแสดงความรู้สึกเศร้าชัดเจน
  • ผู้ป่วยแยกตัวจากสังคมและไม่สนใจร่วมกิจกรรม
  • ผู้ป่วยนอนหลับยากหรือนอนมากผิดปกติ
  • ประเมินคะแนนภาวะซึมเศร้า (เช่น PHQ-9) พบว่าคะแนนสูงในระดับรุนแรง

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยมีอารมณ์ที่ดีขึ้นและสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้
  • ผู้ป่วยลดความรู้สึกเศร้าและสามารถพูดถึงความรู้สึกของตนเองได้
  • ผู้ป่วยมีการนอนหลับที่ดีขึ้นและสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้
  • ผู้ป่วยรายงานความสนใจในกิจกรรมหรือเป้าหมายชีวิตอย่างน้อย 1 กิจกรรม

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่แสดงถึงอารมณ์เชิงบวก เช่น ยิ้มหรือหัวเราะ
  • ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
  • ผู้ป่วยสามารถนอนหลับต่อเนื่องได้อย่างน้อย 6 ชั่วโมง/คืน
  • คะแนน PHQ-9 ลดลงอย่างน้อย 25% ภายใน 2 สัปดาห์

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F5I-1: ประเมินระดับภาวะซึมเศร้าโดยใช้แบบประเมินมาตรฐาน เช่น PHQ-9 หรือ  HAM-D
  • F20.9F5I-2: สร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้ป่วยเพื่อสร้างความไว้วางใจ
  • F20.9F5I-3: สนับสนุนให้ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
  • F20.9F5I-4: กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่มเล็กๆ ที่เหมาะสม
  • F20.9F5I-5: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเอง เช่น การออกกำลังกายเบาๆ และการจัดการอารมณ์
  • F20.9F5I-6: ประสานงานกับจิตแพทย์เพื่อพิจารณาการใช้ยาต้านเศร้าหรือปรับแผนการรักษา
  • F20.9F5I-7: สอนเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ หรือการทำสมาธิสั้น
  • F20.9F5I-8: สังเกตและบันทึกพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การพูดถึงความคิดฆ่าตัวตาย
  • F20.9F5I-9: ประสานงานกับครอบครัวเพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างการดูแล

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F5R-1: ผู้ป่วยสามารถรายงานว่ารู้สึกเศร้าน้อยลงหลังได้รับการสนับสนุน
  • F20.9F5R-2: ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มได้อย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน
  • F20.9F5R-3: ผู้ป่วยนอนหลับต่อเนื่องได้6 ชั่วโมง/คืน
  • F20.9F5R-4: คะแนน PHQ-9 ลดลง25% ภายใน 2 สัปดาห์
  • F20.9F5R-5: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมเชิงบวก เช่น ยิ้ม พูดคุย และแสดงความสนใจในกิจกรรม
  • F20.9F5R-6: ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การพูดถึงการฆ่าตัวตายหรือการทำร้ายตนเอง

……………………………………

F20.9F6 ภาวะวิตกกังวลรุนแรง (Severe Anxiety)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยระบุว่า "รู้สึกกังวลตลอดเวลา" หรือ "ควบคุมความคิดกังวลไม่ได้"
  • ผู้ป่วยบอกว่า "หัวใจเต้นแรงเหมือนจะหยุดหายใจ" หรือ "กลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดี"

O:

  • ผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย เดินไปมาหรือขยับตัวตลอดเวลา
  • มีอาการทางกาย เช่น เหงื่อออกมาก หายใจเร็ว หรือหัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
  • ผู้ป่วยไม่สามารถมีสมาธิในกิจกรรมหรือบทสนทนา
  • ประเมินระดับความวิตกกังวลโดยใช้เครื่องมือ เช่น GAD-7 พบว่าคะแนนอยู่ในระดับรุนแรง

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยลดระดับความวิตกกังวลลงอย่างน้อย 25% ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการทางกายที่สัมพันธ์กับความวิตกกังวลได้
  • ผู้ป่วยสามารถระบุสิ่งกระตุ้นความวิตกกังวลและจัดการได้อย่างเหมาะสม
  • ผู้ป่วยมีสมาธิในการทำกิจกรรมอย่างน้อย 15 นาทีต่อครั้ง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • คะแนน GAD-7 ลดลง25% ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยรายงานว่าสามารถจัดการอาการวิตกกังวลได้ดีขึ้น เช่น หายใจช้าลงและมีสมาธิ
  • อัตราการหายใจกลับมาอยู่ในช่วงปกติ (12-20 ครั้ง/นาที)
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มโดยไม่กระสับกระส่าย

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F6I-1: ประเมินระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยด้วยเครื่องมือมาตรฐาน เช่น GAD-7
  • F20.9F6I-2: ให้ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกและระบุสิ่งที่กังวลในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
  • F20.9F6I-3: สอนเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ และช้า (deep breathing)
  • F20.9F6I-4: สนับสนุนการใช้กิจกรรมที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น การระบายสี ฟังเพลง หรือทำสมาธิ
  • F20.9F6I-5: จัดสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและลดสิ่งกระตุ้นที่อาจเพิ่มความวิตกกังวล
  • F20.9F6I-6: ประเมินอาการทางกาย เช่น อัตราการหายใจ ชีพจร และความดันโลหิต
  • F20.9F6I-7: ประสานงานกับจิตแพทย์เพื่อพิจารณาการใช้ยาคลายความวิตกกังวล
  • F20.9F6I-8: จัดกิจกรรมกลุ่มเล็กๆ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วยฝึกการมีสมาธิและลดความกังวล
  • F20.9F6I-9: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการความเครียด เช่น การออกกำลังกายเบาๆ หรือโยคะ

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F6R-1: ผู้ป่วยรายงานว่าความวิตกกังวลลดลง25% ภายใน 1 สัปดาห์
  • F20.9F6R-2: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคการหายใจลึกๆ เพื่อควบคุมอาการทางกายได้
  • F20.9F6R-3: อัตราการหายใจของผู้ป่วยอยู่ในช่วง 12-20 ครั้ง/นาที
  • F20.9F6R-4: ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิได้15 นาทีต่อครั้ง
  • F20.9F6R-5: ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มโดยไม่มีพฤติกรรมกระสับกระส่าย
  • F20.9F6R-6: ผู้ป่วยแสดงอาการสงบขึ้นและสามารถพูดคุยได้โดยไม่กังวลมาก

…………………………………..

F20.9F7 มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือทำลายล้าง (Aggressive or Destructive Behavior)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกโกรธง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
  • ญาติหรือผู้ดูแลแจ้งว่า ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหรือทำลายข้าวของ

O:

  • ผู้ป่วยมีท่าทีข่มขู่ พยายามทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
  • ผู้ป่วยแสดงอาการกระสับกระส่าย มีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ไม่เหมาะสม เช่น กำหมัดแน่น ยกมือขู่
  • การประเมินระดับความก้าวร้าวด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม (เช่น OAS: Overt Aggression Scale) แสดงค่าระดับสูง

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวได้ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง
  • ลดความเสี่ยงการเกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
  • ผู้ป่วยสามารถแสดงออกทางอารมณ์ในเชิงบวกและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือทำลายล้างภายใน 24 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่น สื่อสารอย่างสุภาพหรือยอมรับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่
  • ญาติหรือผู้ดูแลรายงานว่า ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่เป็นอันตราย

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F7I-1: ประเมินระดับความก้าวร้าวของผู้ป่วยด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม (เช่น OAS) เพื่อกำหนดระดับการดูแลและจัดการ
  • F20.9F7I-2: จัดสถานที่ที่ปลอดภัยและเฝ้าระวังใกล้ชิด เช่น ให้ผู้ป่วยอยู่ในห้องสงบที่ไม่มีวัตถุอันตราย
  • F20.9F7I-3: พูดคุยกับผู้ป่วยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ชัดเจน และลดสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดความก้าวร้าว
  • F20.9F7I-4: หากพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ให้พิจารณาใช้ restraint (การจำกัดการเคลื่อนไหว) ตามข้อบ่งชี้และจริยธรรม
  • F20.9F7I-5: ให้ยาแก้ปวดหรือยาระงับประสาทตามคำสั่งแพทย์ (เช่น Haloperidol หรือ Lorazepam) เพื่อควบคุมอารมณ์
  • F20.9F7I-6: สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการจัดการอารมณ์ เช่น การฝึกหายใจลึก (Deep Breathing) หรือการทำกิจกรรมผ่อนคลาย

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F7R-1: ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวภายใน 24 ชั่วโมง
  • F20.9F7R-2: ผู้ป่วยสามารถตอบสนองต่อการสื่อสารได้อย่างเหมาะสมและไม่มีท่าทีคุกคาม
  • F20.9F7R-3: ญาติหรือผู้ดูแลรายงานว่า ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสงบขึ้นและไม่มีพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น
  • F20.9F7R-4: การประเมินซ้ำด้วย OAS แสดงค่าระดับความก้าวร้าวลดลงอยู่ในระดับปลอดภัย

……………………………………

F20.9F8 ภาวะขาดสารอาหารหรือการดูแลตนเองไม่เพียงพอ (Malnutrition or Inadequate Self-Care)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยรายงานว่าไม่มีความอยากอาหารหรือไม่สนใจเรื่องการรับประทานอาหาร
  • ญาติหรือผู้ดูแลแจ้งว่าผู้ป่วยไม่ดูแลตนเอง เช่น ไม่อาบน้ำหรือแต่งตัว

O:

  • ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวลดลง > 5% ภายใน 1 เดือน
  • การประเมิน BMI อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ (< 18.5 kg/m²)
  • ผิวหนังแห้ง ผมร่วง หรือเล็บเปราะซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะโภชนาการไม่เพียงพอ
  • ผู้ป่วยไม่สามารถดูแลกิจวัตรประจำวันได้ เช่น การรับประทานอาหาร อาบน้ำ และทำความสะอาด

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้เพียงพอและน้ำหนักตัวคงที่ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองในกิจวัตรประจำวันได้อย่างเหมาะสม
  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะขาดสารอาหาร

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • น้ำหนักตัวผู้ป่วยเพิ่มขึ้น0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์
  • ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหาร 3 มื้อ/วันได้อย่างเหมาะสม
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมดูแลตนเอง เช่น อาบน้ำ แต่งตัว และรักษาความสะอาด

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F8I-1: ประเมินสภาวะโภชนาการของผู้ป่วยโดยใช้เครื่องมือ เช่น MNA (Mini Nutritional Assessment)
  • F20.9F8I-2: วัดน้ำหนักและส่วนสูงของผู้ป่วยทุกเช้าในเวลาเดียวกันเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลง
  • F20.9F8I-3: จัดหาอาหารที่มีพลังงานและสารอาหารครบถ้วน รวมถึงให้คำแนะนำด้านโภชนาการที่เหมาะสมกับผู้ป่วย
  • F20.9F8I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารในสภาพแวดล้อมที่สงบและลดสิ่งรบกวน
  • F20.9F8I-5: สอนเทคนิคการดูแลตนเอง เช่น การล้างหน้า อาบน้ำ และการแต่งตัว
  • F20.9F8I-6: ส่งเสริมการทำกิจกรรมกลุ่มที่ช่วยเสริมสร้างพฤติกรรมการดูแลตนเอง เช่น การทำอาหารหรือกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์
  • F20.9F8I-7: หากผู้ป่วยมีปัญหาในการรับประทานอาหาร ให้พิจารณาอาหารทางสายยางตามคำสั่งแพทย์

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F8R-1: ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์
  • F20.9F8R-2: ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารครบ 3 มื้อ/วันและไม่มีอาการเบื่ออาหาร
  • F20.9F8R-3: ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองในกิจวัตรประจำวัน เช่น การอาบน้ำและแต่งตัว ได้อย่างเหมาะสม
  • F20.9F8R-4: ญาติหรือผู้ดูแลรายงานว่าผู้ป่วยมีพฤติกรรมดูแลสุขภาพและการรับประทานอาหารดีขึ้น

…………………………………

F20.9F9 ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ (Difficulty Adjusting to Society)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่ารู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจหรือไม่อยากเจอใครเลย
  • ญาติหรือผู้ดูแลแจ้งว่าผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมหรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในสถานการณ์ทางสังคม

O:

  • ผู้ป่วยมีปัญหาในการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ เช่น การพูดคุยกับผู้อื่น
  • ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจกรรมกลุ่มได้หรือแยกตัวจากสังคม
  • การสังเกตพบว่าผู้ป่วยมีท่าทีหวาดระแวงหรือแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่ออยู่ในสังคม

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคมได้อย่างเหมาะสม
  • ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มและปฏิบัติตามมาตรฐานทางสังคมได้
  • ลดความรู้สึกแยกตัวและเพิ่มความมั่นใจในการเข้าสังคม

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมในสถานการณ์ทางสังคม
  • ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มอย่างสม่ำเสมอและแสดงความร่วมมือ
  • ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการเข้าสังคม

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F9I-1: ประเมินพฤติกรรมและความรู้สึกของผู้ป่วยเกี่ยวกับการเข้าสังคม รวมถึงความกลัวหรือความวิตกกังวลที่เกี่ยวข้อง
  • F20.9F9I-2: สร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจกับผู้ป่วยเพื่อช่วยให้รู้สึกปลอดภัย
  • F20.9F9I-3: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเริ่มต้นการปฏิสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เช่น การพูดคุยแบบตัวต่อตัวกับผู้ดูแล
  • F20.9F9I-4: จัดกิจกรรมกลุ่มขนาดเล็กที่เหมาะสม เช่น การทำงานฝีมือหรือเกมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน
  • F20.9F9I-5: ให้คำแนะนำและฝึกทักษะการเข้าสังคม เช่น การเริ่มต้นบทสนทนาและการรับฟังผู้อื่น
  • F20.9F9I-6: ช่วยลดความวิตกกังวลด้วยการสอนเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกหรือการฝึกสติ
  • F20.9F9I-7: สนับสนุนให้ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมในสถานการณ์ต่าง พร้อมให้คำชื่นชมเมื่อผู้ป่วยทำได้ดี
  • F20.9F9I-8: ประสานงานกับทีมสหวิชาชีพ เช่น นักจิตวิทยาหรือเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ เพื่อช่วยสนับสนุนการปรับตัว

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F9R-1: ผู้ป่วยสามารถพูดคุยและแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับผู้อื่นได้ในระดับพื้นฐาน
  • F20.9F9R-2: ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มได้อย่างสม่ำเสมอและแสดงความร่วมมือ
  • F20.9F9R-3: ผู้ป่วยรายงานว่ามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นในการเข้าสังคม
  • F20.9F9R-4: ญาติหรือผู้ดูแลสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมเหมาะสมในสถานการณ์ทางสังคม

…………………………………….

F20.9F10 มีปัญหาในการทำงานหรือศึกษาเล่าเรียน (Issues with Work or Education)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยระบุว่ารู้สึกว่างาน/การเรียนยากเกินไปหรือไม่สามารถมีสมาธิทำงาน/เรียนได้เลย
  • ญาติหรือผู้ดูแลแจ้งว่าผู้ป่วยหยุดทำงาน/หยุดเรียนหรือแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมในสถานที่ทำงานหรือโรงเรียน

O:

  • ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานหรือการเรียนให้เสร็จตามกำหนด
  • การสังเกตพบว่าผู้ป่วยมีสมาธิสั้น สูญเสียแรงจูงใจ หรือมีอารมณ์แปรปรวน
  • การตรวจประเมินแสดงว่าผู้ป่วยมีปัญหาในการวางแผนหรือการแก้ปัญหา

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานหรือเรียนต่อได้ในระดับที่เหมาะสมกับศักยภาพ
  • ผู้ป่วยสามารถจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานหรือการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจและความพึงพอใจในการทำงานหรือเรียน

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานหรือการเรียนได้อย่างเหมาะสม
  • ผู้ป่วยรายงานว่ามีสมาธิและแรงจูงใจเพิ่มขึ้น
  • ญาติหรือผู้ดูแลสังเกตว่าผู้ป่วยกลับมาทำงานหรือเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F10I-1: ประเมินปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำงานหรือเรียนได้ เช่น การขาดแรงจูงใจ ความวิตกกังวล หรือปัญหาด้านสมาธิ
  • F20.9F10I-2: สร้างความไว้วางใจกับผู้ป่วยเพื่อสนับสนุนให้พูดถึงปัญหาและความต้องการของตนเอง
  • F20.9F10I-3: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ฝึกสมาธิและการแก้ปัญหา เช่น การเล่นเกมฝึกสมอง
  • F20.9F10I-4: วางแผนร่วมกับผู้ป่วยเพื่อกำหนดเป้าหมายเล็ก ที่เกี่ยวข้องกับงานหรือการเรียน เพื่อสร้างความสำเร็จในระยะสั้น
  • F20.9F10I-5: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการเวลาที่เหมาะสม เช่น การแบ่งเวลาเรียนหรือทำงานกับการพักผ่อน
  • F20.9F10I-6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม เช่น การทำเวิร์กช็อปพัฒนาทักษะการทำงานหรือเรียนรู้
  • F20.9F10I-7: ประสานงานกับสถานที่ทำงานหรือโรงเรียนเพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น การจัดที่นั่งที่สงบหรือการลดความซับซ้อนของงาน
  • F20.9F10I-8: ติดตามผลการดำเนินการร่วมกับทีมสหวิชาชีพ เช่น นักจิตวิทยาหรือครูที่ปรึกษา

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F10R-1: ผู้ป่วยสามารถตั้งเป้าหมายและทำตามแผนงานหรือการเรียนได้สำเร็จในระดับพื้นฐาน
  • F20.9F10R-2: ผู้ป่วยรายงานว่ามีสมาธิและแรงจูงใจเพิ่มขึ้นเมื่อทำงานหรือเรียน
  • F20.9F10R-3: ญาติหรือผู้ดูแลสังเกตว่าผู้ป่วยสามารถจัดการกับปัญหาในงานหรือการเรียนได้ดีขึ้น
  • F20.9F10R-4: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจและความพึงพอใจต่อผลการทำงานหรือการเรียน

………………………………….

F20.9F11 ขาดการสนับสนุนจากครอบครัวหรือสังคม (Lack of Family or Social Support)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยระบุว่าไม่มีใครเข้าใจหรือไม่มีใครให้กำลังใจฉันเลย
  • ญาติหรือผู้ดูแลแจ้งว่าพวกเขาไม่สามารถให้การสนับสนุนได้เพราะภาระงานหรือปัญหาภายในครอบครัว

O:

  • ผู้ป่วยแสดงอาการโดดเดี่ยว เช่น การถอนตัวจากสังคม
  • ผู้ป่วยไม่มีผู้มาเยี่ยมหรือให้กำลังใจในระหว่างการรักษา
  • การตรวจสอบพบว่าผู้ป่วยไม่มีเครือข่ายสนับสนุนทางสังคม

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวหรือเครือข่ายทางสังคมที่เหมาะสม
  • ผู้ป่วยมีความมั่นใจและรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับในสังคม
  • ผู้ป่วยสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับครอบครัวหรือบุคคลในสังคม

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยมีผู้สนับสนุนในครอบครัวหรือสังคมที่เข้ามาช่วยเหลือ
  • ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจและพูดถึงประสบการณ์เชิงบวกจากการสนับสนุน
  • ญาติหรือเครือข่ายสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูผู้ป่วย

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F11I-1: ประเมินความต้องการของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนจากครอบครัวหรือสังคม เช่น การสนับสนุนด้านอารมณ์ การเงิน หรือการดูแล
  • F20.9F11I-2: สร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมดูแลสุขภาพ
  • F20.9F11I-3: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของครอบครัวและสังคมในการฟื้นฟูผู้ป่วย เช่น การให้กำลังใจหรือช่วยเหลือกิจกรรมประจำวัน
  • F20.9F11I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน (Support Group) หรือกิจกรรมชุมชนที่เหมาะสม
  • F20.9F11I-5: ประสานงานกับหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ (Social Services) เพื่อช่วยหาทรัพยากรสนับสนุน เช่น การเยี่ยมบ้าน การจัดการเงิน หรือการให้คำปรึกษา
  • F20.9F11I-6: สอนทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพให้กับผู้ป่วยเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับครอบครัวหรือบุคคลในสังคม
  • F20.9F11I-7: จัดกิจกรรมครอบครัวบำบัด (Family Therapy) เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้งในครอบครัว
  • F20.9F11I-8: ติดตามผลการสนับสนุนจากครอบครัวหรือเครือข่ายทางสังคมอย่างต่อเนื่อง

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F11R-1: ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวหรือเครือข่ายทางสังคมที่ช่วยให้ฟื้นตัว
  • F20.9F11R-2: ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกได้รับการสนับสนุนและมีความหวังต่ออนาคต
  • F20.9F11R-3: ญาติหรือเครือข่ายทางสังคมเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้ป่วย
  • F20.9F11R-4: ผู้ป่วยมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับครอบครัวหรือเครือข่ายสังคม

………………………………………

F20.9F12 มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยา (Risk of Medication Complications)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยระบุว่ารู้สึกมึนศีรษะหลังจากกินยาหรือใจสั่นมากเมื่อใช้ยา
  • ผู้ป่วยแจ้งประวัติการแพ้ยา หรือเคยมีผลข้างเคียงจากยารักษาจิตเภทในอดีต

O:

  • ผู้ป่วยแสดงอาการที่อาจเกิดจากผลข้างเคียงของยา เช่น การสั่น กล้ามเนื้อแข็ง หรืออาการทางเดินอาหารผิดปกติ
  • ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการแสดงความผิดปกติ เช่น ค่าเอนไซม์ตับสูง

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยไม่มีอาการภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา
  • ผู้ป่วยและญาติมีความรู้และสามารถจัดการผลข้างเคียงเบื้องต้นจากการใช้ยาได้
  • ทีมสุขภาพสามารถเฝ้าระวังและจัดการภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา เช่น กล้ามเนื้อแข็งเกร็งหรือน้ำหนักเพิ่มผิดปกติ
  • ผู้ป่วยและญาติสามารถระบุและแจ้งเตือนเกี่ยวกับผลข้างเคียงได้อย่างถูกต้อง
  • การตรวจติดตามผลทางห้องปฏิบัติการปกติ

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F12I-1: ประเมินอาการของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงของยา เช่น การสั่น กล้ามเนื้อแข็ง หรืออาการระบบทางเดินอาหาร
  • F20.9F12I-2: ตรวจสอบและติดตามค่าผลทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าเอนไซม์ตับ การทำงานของไต และระดับยาในเลือด
  • F20.9F12I-3: สอนผู้ป่วยและญาติให้สังเกตอาการผิดปกติและวิธีการจัดการผลข้างเคียงเบื้องต้น เช่น การดื่มน้ำมากขึ้นหรือนอนพักเมื่อเวียนศีรษะ
  • F20.9F12I-4: แนะนำให้ผู้ป่วยกินยาตามเวลาอย่างเคร่งครัดและไม่หยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • F20.9F12I-5: ประสานงานกับแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนขนาดยาหรือเปลี่ยนชนิดยาเมื่อพบผลข้างเคียงรุนแรง
  • F20.9F12I-6: จัดทำแผนการเยี่ยมบ้านสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถมาติดตามการรักษาในโรงพยาบาล
  • F20.9F12I-7: สนับสนุนการใช้กลไกสนับสนุนเช่นการให้คำปรึกษาทางเภสัชกรรม (Medication Counseling)
  • F20.9F12I-8: บันทึกและรายงานผลการใช้ยาของผู้ป่วยอย่างละเอียดเพื่อให้ทีมสุขภาพทราบ

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F12R-1: ผู้ป่วยไม่มีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อแข็ง น้ำหนักตัวเพิ่มผิดปกติ หรืออาการเวียนศีรษะ
  • F20.9F12R-2: ผู้ป่วยและญาติสามารถแจ้งเตือนเมื่อพบอาการผิดปกติได้อย่างถูกต้อง
  • F20.9F12R-3: ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการปกติและไม่มีค่าที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
  • F20.9F12R-4: ทีมสุขภาพสามารถปรับแผนการดูแลตามสถานการณ์ได้ทันเวลา

………………………………..

F20.9F13 ขาดความมั่นใจในการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล (Lack of Confidence in Post-Hospital Self-Care)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่าไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีเมื่อกลับบ้านหรือกลัวว่าจะทำผิดถ้าไม่มีคนช่วย
  • ผู้ป่วยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติตน เช่น การรับประทานยา การนัดหมายติดตามผล หรือการจัดการอารมณ์

O:

  • ผู้ป่วยสอบถามซ้ำเกี่ยวกับขั้นตอนการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล
  • ผู้ป่วยดูมีอาการวิตกกังวลในระหว่างการสอนสุขศึกษา
  • ผู้ป่วยหรือครอบครัวไม่มีแผนการดูแลที่ชัดเจน

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการปฏิบัติตนหลังออกจากโรงพยาบาล
  • ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจแผนการดูแลและสามารถปฏิบัติตามได้อย่างเหมาะสม
  • ลดโอกาสการกลับมารักษาซ้ำเนื่องจากความล้มเหลวในการดูแลตนเอง

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายขั้นตอนการดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง เช่น การรับประทานยา การจัดการอารมณ์
  • ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป
  • ครอบครัวและผู้ป่วยสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่สุขภาพเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F13I-1: ประเมินความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถของผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล
  • F20.9F13I-2: ให้ข้อมูลและแนะนำขั้นตอนการดูแลตนเองที่เข้าใจง่าย เช่น การรับประทานยา การจัดการความเครียด และการดูแลสุขภาพจิต
  • F20.9F13I-3: จัดทำแผนการดูแลรายบุคคลร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัว โดยเน้นสิ่งที่ผู้ป่วยต้องทำประจำวัน
  • F20.9F13I-4: ฝึกผู้ป่วยในการจัดการสถานการณ์จำลอง เช่น การจัดเตรียมยาด้วยตนเองหรือการจัดการอารมณ์ในสถานการณ์ที่เครียด
  • F20.9F13I-5: จัดการประชุมร่วมกับครอบครัวเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนผู้ป่วยหลังออกจากโรงพยาบาล
  • F20.9F13I-6: แนะนำแหล่งสนับสนุนในชุมชน เช่น กลุ่มช่วยเหลือสำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภท หรือศูนย์ให้คำปรึกษาทางจิตเวช
  • F20.9F13I-7: ตรวจสอบการปฏิบัติของผู้ป่วยผ่านการนัดหมายติดตามผลทางโทรศัพท์หรือการเยี่ยมบ้าน
  • F20.9F13I-8: ส่งต่อผู้ป่วยไปยังทีมสุขภาพหรือศูนย์ชุมชนในกรณีที่ผู้ป่วยต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F13R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายขั้นตอนการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาลได้อย่างถูกต้อง
  • F20.9F13R-2: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจในการปฏิบัติตน เช่น การจัดการยาด้วยตนเองหรือการจัดการอารมณ์
  • F20.9F13R-3: ครอบครัวสามารถสนับสนุนผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม และสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่สุขภาพเมื่อมีความจำเป็น
  • F20.9F13R-4: ผู้ป่วยไม่มีการกลับมารักษาซ้ำเนื่องจากการดูแลตนเองผิดพลาดภายใน 30 วันหลังออกจากโรงพยาบาล

………………………………

F20.9F14 ผู้ป่วยยังขาดทักษะในการจัดการกับความเครียด (Lack of Stress Management Skills)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่าผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับความเครียดอย่างไรหรือรู้สึกเครียดมากและทำอะไรไม่ได้เลย
  • ผู้ป่วยเล่าว่าเมื่อเผชิญความเครียดจะมีอาการนอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย หรือหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม

O:

  • ผู้ป่วยมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการพูดคุยหรือการเผชิญหน้ากับปัญหา
  • ผู้ป่วยดูเศร้าหรือวิตกกังวลเมื่อพูดถึงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียด
  • ผู้ป่วยมีประวัติการจัดการความเครียดที่ไม่เหมาะสม เช่น การระบายออกด้วยความรุนแรง

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถระบุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดในชีวิตประจำวันได้
  • ผู้ป่วยสามารถเรียนรู้และใช้เทคนิคการจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ลดผลกระทบทางจิตใจและพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถอธิบายปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดได้อย่างถูกต้อง
  • ผู้ป่วยสามารถเลือกและใช้วิธีการจัดการความเครียดที่เหมาะสม เช่น การผ่อนคลายหรือการหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น
  • ผู้ป่วยมีอารมณ์และพฤติกรรมที่ดีขึ้นหลังจากเผชิญกับความเครียด

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F14I-1: ประเมินปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดและรูปแบบการจัดการความเครียดในปัจจุบันของผู้ป่วย
  • F20.9F14I-2: ให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของความเครียดต่อสุขภาพจิตและร่างกาย
  • F20.9F14I-3: สอนเทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ หรือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  • F20.9F14I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึกหรือปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียดกับบุคคลที่ไว้วางใจ
  • F20.9F14I-5: ฝึกผู้ป่วยในการตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และการจัดการเวลาเพื่อช่วยลดความเครียด
  • F20.9F14I-6: แนะนำกิจกรรมสร้างสรรค์หรือการออกกำลังกายที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น วาดภาพ ฟังเพลง หรือการเดินเล่น
  • F20.9F14I-7: สร้างเครือข่ายสนับสนุนในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนที่ช่วยรับฟังและสนับสนุนผู้ป่วย
  • F20.9F14I-8: ประสานงานกับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เพื่อให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมหากผู้ป่วยต้องการ

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F14R-1: ผู้ป่วยสามารถระบุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดได้อย่างชัดเจน
  • F20.9F14R-2: ผู้ป่วยแสดงให้เห็นถึงการใช้เทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การหายใจลึกหรือการทำสมาธิ
  • F20.9F14R-3: ผู้ป่วยมีอารมณ์ที่มั่นคงขึ้นและสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดได้อย่างเหมาะสม
  • F20.9F14R-4: ครอบครัวหรือกลุ่มสนับสนุนรายงานว่าผู้ป่วยมีการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

………………………………

F20.9F15 ยังขาดเครือข่ายสนับสนุนที่เพียงพอ (Insufficient Support Network)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยกล่าวว่าไม่มีใครที่สามารถช่วยเหลือผมได้เวลามีปัญหา
  • ผู้ป่วยระบุว่าไม่มีคนในครอบครัวหรือเพื่อนที่สามารถพึ่งพาได้

O:

  • ผู้ป่วยไม่มีบุคคลที่มาดูแลหรือเยี่ยมเยียนในระหว่างการเข้ารับการรักษา
  • ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่สื่อถึงการแยกตัวจากสังคม
  • ประวัติผู้ป่วยไม่มีการติดต่อกับครอบครัวหรือชุมชน

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถระบุเครือข่ายสนับสนุนที่เหมาะสมในครอบครัวหรือชุมชน
  • ผู้ป่วยมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับบุคคลในเครือข่ายสนับสนุน
  • ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการเข้าถึงความช่วยเหลือจากเครือข่ายสนับสนุน

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยสามารถระบุบุคคลหรือกลุ่มในชุมชนที่พร้อมช่วยเหลือในยามจำเป็น
  • ผู้ป่วยรายงานว่ามีการสื่อสารและติดต่อกับบุคคลที่สำคัญในเครือข่ายสนับสนุน
  • ผู้ป่วยมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับครอบครัวหรือกลุ่มช่วยเหลือในชุมชน

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F15I-1: ประเมินสถานภาพของเครือข่ายสนับสนุนในปัจจุบันของผู้ป่วย รวมถึงครอบครัว เพื่อน หรือกลุ่มชุมชน
  • F20.9F15I-2: กระตุ้นให้ผู้ป่วยระบุบุคคลหรือกลุ่มที่เคยให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน
  • F20.9F15I-3: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับความสำคัญของการมีเครือข่ายสนับสนุนในชีวิตประจำวัน
  • F20.9F15I-4: ประสานงานกับครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิดเพื่อสร้างความเข้าใจในบทบาทของการสนับสนุนผู้ป่วย
  • F20.9F15I-5: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่มหรือองค์กรในชุมชน เช่น กลุ่มช่วยเหลือผู้ป่วยทางจิต หรือกลุ่มบำบัดร่วม
  • F20.9F15I-6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง
  • F20.9F15I-7: แนะนำผู้ป่วยให้เข้าถึงบริการสังคมสงเคราะห์หรือผู้ให้คำปรึกษาในชุมชน
  • F20.9F15I-8: ติดตามความคืบหน้าในการสร้างเครือข่ายสนับสนุนของผู้ป่วย และประเมินปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F15R-1: ผู้ป่วยสามารถระบุบุคคลหรือกลุ่มในเครือข่ายสนับสนุนได้ชัดเจน
  • F20.9F15R-2: ผู้ป่วยรายงานว่ามีการพูดคุยและติดต่อกับบุคคลที่มีบทบาทสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอ
  • F20.9F15R-3: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมการเปิดรับและการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มในชุมชน
  • F20.9F15R-4: ครอบครัวหรือเครือข่ายสนับสนุนรายงานว่าผู้ป่วยมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

…………………………………

F20.9F16 มีความเสี่ยงที่จะหยุดยาหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์  (Risk of Non-Adherence to Medication or Treatment Plans)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยระบุว่าผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องกินยาตลอด
  • ผู้ป่วยแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยา
  • ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าตนเองหายจากโรคแล้ว

O:

  • ผู้ป่วยมีประวัติหยุดยาโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  • ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเข้ารับการตรวจติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยมีความเข้าใจไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับแผนการรักษา

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการใช้ยาและแผนการรักษา
  • ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยลดความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาและสามารถรับมือได้

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยรายงานว่าสามารถใช้ยาตามแพทย์สั่งได้อย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจติดตามผลตามที่แพทย์แนะนำ
  • ผู้ป่วยแสดงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของการหยุดยา

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F16I-1: ประเมินความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับความสำคัญของการใช้ยาและการปฏิบัติตามแผนการรักษา
  • F20.9F16I-2: ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมเกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้ยาและความเสี่ยงจากการหยุดยา
  • F20.9F16I-3: ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา และแนะนำวิธีจัดการอย่างเหมาะสม
  • F20.9F16I-4: กระตุ้นให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายการรักษาร่วมกับทีมสุขภาพ
  • F20.9F16I-5: จัดทำแผนการเตือนผู้ป่วยเกี่ยวกับการรับประทานยา เช่น การใช้แอปพลิเคชันหรือการเตือนผ่านครอบครัว
  • F20.9F16I-6: ประสานงานกับครอบครัวหรือผู้ดูแลเพื่อสนับสนุนการติดตามการใช้ยา
  • F20.9F16I-7: ส่งเสริมการเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยที่มีปัญหาคล้ายกัน
  • F20.9F16I-8: ติดตามพฤติกรรมการใช้ยาของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F16R-1: ผู้ป่วยรายงานว่าใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ได้อย่างต่อเนื่อง
  • F20.9F16R-2: ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจติดตามผลตามที่แพทย์กำหนดโดยไม่มีการขาดนัด
  • F20.9F16R-3: ผู้ป่วยสามารถอธิบายถึงประโยชน์ของการใช้ยาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง
  • F20.9F16R-4: ครอบครัวหรือผู้ดูแลรายงานว่าผู้ป่วยสามารถจัดการกับการใช้ยาได้ด้วยตนเอง

…………………………………..

F20.9F17 มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล (Risk of Developing Depression or Anxiety)

Assessment (การประเมิน)

S:

  • ผู้ป่วยแสดงอาการซึมเศร้า เช่น ไม่พูดคุย ไม่ยิ้ม หรือสนใจสิ่งรอบตัว
  • ผู้ป่วยบ่นว่ารู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต
  • ผู้ป่วยมีการหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมและกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ

O:

  • ผู้ป่วยแสดงท่าทีเศร้าหมองหรือรู้สึกกดดันทางอารมณ์
  • ผู้ป่วยมีการพูดถึงความรู้สึกว่า "ไม่มีประโยชน์" หรือ "ไม่สามารถจัดการชีวิตได้"
  • ผู้ป่วยมีอาการนอนไม่หลับหรือความผิดปกติในการรับประทานอาหาร

Goals (เป้าหมาย)

  • ผู้ป่วยสามารถรับรู้และแสดงออกถึงความรู้สึกเชิงบวกมากขึ้น
  • ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอารมณ์และความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดีขึ้น

Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)

  • ผู้ป่วยแสดงท่าทีบวกต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิต เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมหรือการพูดคุย
  • ผู้ป่วยสามารถพูดถึงวิธีจัดการกับความเครียดที่มีประสิทธิภาพได้
  • ผู้ป่วยสามารถนอนหลับและรับประทานอาหารได้ดีขึ้น

Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)

  • F20.9F17I-1: ประเมินอาการของซึมเศร้าหรือวิตกกังวลจากการสัมภาษณ์หรือการใช้เครื่องมือประเมิน เช่น PHQ-9 หรือ GAD-7
  • F20.9F17I-2: สนับสนุนให้ผู้ป่วยใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ หรือการฝึกสมาธิ
  • F20.9F17I-3: จัดกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้ป่วย เช่น การฟังเพลงที่ชอบ หรือการทำกิจกรรมทางกายภาพ
  • F20.9F17I-4: แนะนำการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชหากมีความจำเป็น
  • F20.9F17I-5: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าร่วมการสนับสนุนทางสังคม เช่น กลุ่มสนับสนุนหรือกลุ่มบำบัด
  • F20.9F17I-6: ประเมินการใช้ยาและความเหมาะสมของยาในการจัดการกับอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล

Response (การตอบสนอง)

  • F20.9F17R-1: ผู้ป่วยแสดงความสนใจในการทำกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ และเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากขึ้น
  • F20.9F17R-2: ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกผ่อนคลายและมีอารมณ์ที่ดีขึ้นหลังจากการใช้เทคนิคการผ่อนคลาย
  • F20.9F17R-3: ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นและมีอาการทางร่างกายที่ดีขึ้น เช่น น้ำหนักตัวคงที่
  • F20.9F17R-4: ผู้ป่วยสามารถพูดถึงวิธีการจัดการกับความเครียดที่เหมาะสมได้
  • F20.9F17R-5: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจในการจัดการกับอารมณ์และความเครียดในชีวิตประจำวัน

……………………………….

อำภัย  อินดี