เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
เมือง, พิษณุโลก, Thailand

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2567

EP. 22👉👉ตัวอย่าง :กระบวนการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยฟอกไต

        การฟอกไตเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับภาวะทางคลินิกหลายประการที่ต้องจัดการอย่างเป็นระบบ โดยใช้รหัส ICD-10 ในการระบุภาวะเพื่อสนับสนุนการบันทึกข้อมูลและการดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ

การฟอกไตแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ได้แก่:
1.การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) ขั้นตอน:
     1.1 เตรียมอุปกรณ์และเครื่องฟอกไต
     1.2 ต่อสายเข้ากับหลอดเลือดผู้ป่วย
     1.3 เริ่มกระบวนการฟอกเลือด โดยเครื่องจะดึงเลือดออก กำจัดของเสีย และคืนเลือดที่ฟอกแล้วเข้าสู่ร่างกาย
     1.4 ตรวจสอบภาวะแทรกซ้อนตลอดกระบวนการ
     1.5 ยุติการฟอกไตและถอดสาย
2.การฟอกไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) ขั้นตอน:
     2.1 ใส่สายเข้าในช่องท้องผู้ป่วย
     2.2 เติมน้ำยาฟอกไตเข้าในช่องท้อง
     2.3 ของเสียในเลือดถูกกรองผ่านเยื่อบุช่องท้อง
     2.4 ระบายน้ำยาฟอกไตที่ใช้แล้วออก
     2.5 ทำความสะอาดอุปกรณ์และเตรียมพร้อมสำหรับครั้งถัดไป
ข้อวินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยฟอกไต
1. มีภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างการฟอกเลือด
 - CD-10: I10 (Interdialytic hypertension)
- เหตุผล: ภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างการฟอกเลือดเกิดจากการตอบสนองของระบบไหลเวียนโลหิตต่อการปรับสมดุลของเหลว
2. ผู้ป่วย ESRD ที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดช่องท้องและไม่สามารถล้างไตทางช่องท้อง (CAPD) ได้
- ICD-10: N18.6 (CAPD shift mode)
 - เหตุผล: ESRD เป็นภาวะที่ทำให้ไม่สามารถล้างไตทางช่องท้องได้เนื่องจากข้อจำกัดจากภาวะแทรกซ้อน
3. เสี่ยงต่อการติดเชื้อและสาย TK malfunction หลังผ่าตัดวางสาย TK ภายใน 24 ชั่วโมง
- ICD-10: T82.0 (Complication of TK insertion)
- เหตุผล: ความเสี่ยงนี้เกิดจากการใช้สาย TK หลังการผ่าตัดที่อาจเกิดปัญหาการทำงานผิดปกติ
4. ภาวะสาย TK/Transfer set/ข้อต่อเลื่อนหลุด/ขาด/รั่ว
- ICD-10: T82.8 (Other complications of TK catheter)
- เหตุผล: การหลุดหรือรั่วของสาย TK อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการล้างไตทางหน้าท้อง
5. เสี่ยงต่อการเกิดตัวกรองและสายส่งเลือดอุดตันระหว่างการทำ Hemodialysis
 - ICD-10: T82.1 (Blood clotting in the dialyzer and bloodline)
 - เหตุผล: การอุดตันของตัวกรองเลือดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ต้องการการเฝ้าระวัง
6. มีภาวะซีดเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
 - ICD-10: D63.1 (Anemia in chronic kidney disease)
 - เหตุผล: ภาวะซีดในผู้ป่วยไตวายเกิดจากการลดการผลิตฮอร์โมนอีริโทรพอยอิติน
7. มีความดันโลหิตต่ำระหว่างการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
 - ICD-10: I95.1 (Intradialytic hypotension)
 - เหตุผล: ความดันโลหิตต่ำระหว่างการฟอกเลือดเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสมดุลของเหลว
8. E21.0F1 เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด parathyroidectomy
 - ICD-10: E21.0 (S/P Parathyroidectomy complication)
 - เหตุผล: การผ่าตัดต่อมพาราไทรอยด์เพิ่มความเสี่ยงต่อความไม่สมดุลของแคลเซียม
9. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟอสเฟตในเลือดสูงในระดับรุนแรง
 - ICD-10: E83.52 (Hyperphosphatemia)
 - เหตุผล: การลดการทำงานของไตทำให้ระดับฟอสเฟตในเลือดสูง
10. เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการคาสายสวนหลอดเลือดเพื่อฟอกเลือด
 - ICD-10: T82.4 (Infection of vascular access device)
 - เหตุผล: การติดเชื้อจากสายสวนหลอดเลือดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย
11. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการล้างไตทางช่องท้อง (CAPD)
 - ICD-10: T83.89 (Other complications of peritoneal dialysis)
 - เหตุผล: การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนล้างไตอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
12. มีภาวะ Peritonitis จากการทำ CAPD
 - ICD-10: A41.9 (Sepsis due to peritonitis)
 - เหตุผล: การติดเชื้อที่เยื่อบุช่องท้องเป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับ CAPD
13. อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Plasmapheresis
 - ICD-10: Z79.9 (Long-term (current) drug therapy)
 - เหตุผล: การทำ Plasmapheresis เพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากการใช้ยา
14. ผู้ป่วยและญาติขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบำบัดทดแทนไต
 - ICD-10: Z71.3 (Dietary counseling and surveillance)
 - เหตุผล: ความเข้าใจที่จำกัดของผู้ป่วยอาจส่งผลต่อการปฏิบัติตามแผนการรักษา
15. อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจาก Hyperkalemia ในผู้ป่วย ESRD
 - ICD-10: E87.5 (Hyperkalemia)
 - เหตุผล: Hyperkalemia เป็นภาวะอันตรายที่พบบ่อยในผู้ป่วยฟอกเลือด
16. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากของเสียคั่งในร่างกาย
 - ICD-10: N18.6 (Uremia)
 - เหตุผล: ของเสียที่สะสมเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนใน ESRD
17. เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากน้ำเกินในร่างกาย
 - ICD-10: E87.2 (Fluid overload)
 - เหตุผล: การคั่งน้ำในร่างกายส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
...................................................................................................................
I10F01 มีภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างการฟอกเลือด  
Goals 
-ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยระหว่างและหลังการฟอกเลือด (BP <140/90 mmHg)
-ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง เช่น ปวดศีรษะ แน่นหน้าอก หรือการมองเห็นผิดปกติ
-ส่งเสริมให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำด้านการรับประทานอาหารและการจำกัดน้ำ
Evaluation Criteria:
-ความดันโลหิตหลังการฟอกเลือด <140/90 mmHg
-ไม่มีอาการแทรกซ้อน เช่น วิงเวียนหรือแน่นหน้าอก
-ผู้ป่วยเข้าใจวิธีการควบคุมน้ำหนักและความดันโลหิต
Data 
-ภาวะน้ำเกินในร่างกาย (Fluid Overload) เช่น น้ำหนักเพิ่มขึ้น >1 กก./วัน
-ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 mmHg
-อาการ: ปวดศีรษะ การมองเห็นผิดปกติ ปวดต้นคอ หรือท้ายทอย
-สมดุลอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ เช่น โซเดียมในน้ำยาฟอกเลือดสูงเกินไป
-ผู้ป่วยมีความเครียดหรือความวิตกกังวลขณะทำการฟอกเลือด
Intervention
-I10F01I01 วัดความดันโลหิตทุก 15–30 นาที หรือบ่อยขึ้นในกรณีที่มีอาการผิดปกติระหว่างการฟอกเลือด
-I10F01I02 ประเมินอาการทางคลินิกที่เกี่ยวข้อง เช่น ปวดศีรษะ ใจสั่น วิงเวียน หรือแน่นหน้าอก
-I10F01I03 บันทึกน้ำหนักก่อนและหลังฟอกเลือดเพื่อประเมินปริมาณน้ำที่ถูกดึงออก
-I10F01I04 ปรับอัตราการดึงน้ำ (Ultrafiltration rate) ให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยและเป้าหมายของน้ำหนักแห้ง
-I10F01I05 หลีกเลี่ยงการดึงน้ำออกในปริมาณมากเกินไปในเวลาสั้น เพื่อป้องกันความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต
-I10F01I06 ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการใช้ยาลดความดันโลหิตระหว่างการฟอกเลือด
-I10F01I07 แนะนำให้ผู้ป่วยงดการรับประทานยาลดความดันโลหิตก่อนการฟอกเลือดหากไม่จำเป็น
-I10F01I08 จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม เช่น ท่านอนราบหรือนอนยกศีรษะเล็กน้อย
-I10F01I09 ให้คำแนะนำในการจำกัดปริมาณโซเดียมและน้ำในอาหาร
-I10F01I10 อธิบายความสำคัญของการติดตามน้ำหนักตัวและการควบคุมความดันโลหิตในชีวิตประจำวัน
-I10F01I11 สอนให้ผู้ป่วยรับรู้สัญญาณเตือนที่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ เช่น ปวดศีรษะรุนแรงหรือแน่นหน้าอก
-I10F01I12 หากความดันโลหิตไม่สามารถควบคุมได้ระหว่างการฟอกเลือด ควรส่งต่อแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา
Response 
-เวลา # น.
-ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย (BP <140/90 mmHg)
-ไม่มีอาการเวียนศีรษะ หายใจลำบาก หรือแน่นหน้าอก
-น้ำหนักหลังการฟอกเลือดลดลงตามเป้าหมายโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
-ไม่พบอาการรุนแรง เช่น ปวดศีรษะรุนแรงหรือแน่นหน้าอก
-ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการจำกัดโซเดียมและน้ำได้อย่างเหมาะสม
-ผู้ป่วยเข้าใจวิธีจัดการตนเองเมื่อเกิดอาการผิดปกติ เช่น การแจ้งพยาบาลเมื่อมีอาการผิดปกติ
…………………………………………………………………………………
N18.6F01 ผู้ป่วย ESRD ที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดช่องท้องและไม่สามารถล้างไตทางช่องท้อง (CAPD) ได้  
Goals 
-ลดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนจาก CAPD เช่น UF Failure, Hernia, และ Refractory Peritonitis
-ฟื้นฟูสุขภาพหลังผ่าตัดช่องท้องและป้องกันการติดเชื้อ
-ส่งเสริมการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงการรักษา เช่น การฟอกเลือด (Hemodialysis)
-ฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำ CAPD ได้เมื่อเหมาะสม
-เฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อจากแผลผ่าตัดหรือท่อ CAPD
Evaluation Criteria
-ความดันโลหิตและชีพจรในเกณฑ์ปกติ
-อาการบวมและอาการปวดท้องลดลงหรือหายไป
-ไม่มีการติดเชื้อในช่องท้องหรือแผลผ่าตัด
-ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเอง เช่น การจัดการแผลและควบคุมอาหาร
-ผู้ป่วยปรับตัวและยอมรับการรักษาด้วย Hemodialysis
-ผู้ป่วยฟื้นตัวจากการผ่าตัดช่องท้องโดยไม่มีการติดเชื้อ
-การหยุด CAPD ชั่วคราวไม่มีภาวะแทรกซ้อน
-ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำ CAPD ได้หลังการฟื้นฟู
Data 
-เยื่อบุช่องท้องเสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้น้ำไม่ถูกระบายออกจากร่างกาย เกิดอาการบวม
-ไส้เลื่อนจากแรงดันของน้ำยาล้างไต พบก้อนนูนที่สะดือหรือขาหนีบ
-การอักเสบในช่องท้องที่ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ
-ผู้ป่วย ESRD ที่หยุด CAPD ชั่วคราวหลังผ่าตัดช่องท้อง มีความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือแผลไม่สมาน
Intervention
-N18.6F01I01 ประเมินอาการบวม ปวดท้อง น้ำยาล้างไตขุ่น หรือไข้
-N18.6F01I02 สังเกตอาการของไส้เลื่อน เช่น ก้อนนูนที่ผนังหน้าท้อง
-N18.6F01I03 เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ
-N18.6F01I04 ปรับสูตรน้ำยาล้างไตเป็น Hypertonic Solution สำหรับ UF Failure
-N18.6F01I05 หยุด CAPD ชั่วคราวและเตรียมการผ่าตัดแก้ไขไส้เลื่อน
-N18.6F01I06 ให้ยาปฏิชีวนะตามผลเพาะเชื้อในกรณี Refractory Peritonitis
-N18.6F01I07 หยุด CAPD ชั่วคราวจนกว่าผู้ป่วยจะฟื้นตัวและไม่มีการติดเชื้อ
-N18.6F01I08 สอนการดูแลแผลผ่าตัด การป้องกันการติดเชื้อ และควบคุมอาหาร
-N18.6F01I09 ประเมินสภาพผู้ป่วยและฟื้นฟูการทำงานของไต
-N18.6F01I010 ติดตามระดับสารอิเล็กโทรไลต์และการคั่งน้ำในร่างกาย
Response
-เวลา # น.
-ชีพจรและความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
-อาการบวมและปวดท้องลดลงหรือหายไป
-ไม่มีการติดเชื้อในช่องท้องหรือแผลผ่าตัด
-ผู้ป่วยมีความรู้และสามารถดูแลตัวเองได้
-ผู้ป่วยปรับตัวและยอมรับการรักษา Hemodialysis
-ผู้ป่วยฟื้นตัวจากการผ่าตัดช่องท้องโดยไม่มีการติดเชื้อ
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการหยุด CAPD ชั่วคราว
-ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำ CAPD ได้หลังการฟื้นฟู
-ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถดูแลแผลผ่าตัดและป้องกันการติดเชื้อได้
…………………………………………………………………………………
T82.0F01 เสี่ยงต่อการติดเชื้อและสาย TK malfunction หลังผ่าตัดวางสาย TK ภายใน 24 ชั่วโมง  
Goals
-ป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงของสาย TK malfunction หลังการผ่าตัด.
-รักษาความสะอาดและลดการอักเสบบริเวณสาย TK.
-ให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถดูแลแผลและสังเกตอาการผิดปกติได้อย่างเหมาะสม.
Evaluation Criteria
-ไม่มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ไข้, บวมแดง, หรือสารคัดหลั่งผิดปกติ
-การไหลเวียนของเลือดในสาย TK เป็นปกติ
-ผู้ป่วยและครอบครัวแสดงความเข้าใจในคำแนะนำการดูแลแผลและสังเกตอาการผิดปกติ
Data
-ผู้ป่วย ESRD มีภูมิคุ้มกันลดลงโดยธรรมชาติ.
-มีการเคลื่อนไหวที่มากเกินไปของผู้ป่วย.
-พบลิ่มเลือดหรือเศษวัสดุในสาย.
-ความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิตในสาย TK.
-ได้รับการผ่าตัดวางสาย TK เมื่อวันที่ #
Intervention
-T82.0F01I01 ใช้เทคนิคปลอดเชื้อ (Aseptic Technique) ในการดูแลสาย TK.
-T82.0F01I02 ทำความสะอาดบริเวณสาย TK ด้วย Chlorhexidine หรือ Antiseptic ตามแนวทาง.
-T82.0F01I03 เปลี่ยนผ้าปิดแผลด้วยเทคนิคปลอดเชื้อทุก 24 ชั่วโมงหรือเมื่อจำเป็น.
-T82.0F01I04 ตรวจสอบแผลผ่าตัดว่ามีรอยแดง บวม ร้อน หรือสารคัดหลั่งผิดปกติ.
-T82.0F01I05 ตรวจสอบตำแหน่งสาย TK อย่างสม่ำเสมอและลดการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยที่อาจทำให้สายเคลื่อน.
-T82.0F01I06 ตรวจสอบการไหลของเลือดในสาย TK ด้วยการสูบกลับ (aspiration) และการล้างด้วย Normal Saline ตามคำสั่งแพทย์.
-T82.0F01I07 ใช้ Heparin lock ตามคำสั่งแพทย์เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด.
-T82.0F01I08 สอนวิธีดูแลแผลบริเวณสาย TK และป้องกันการติดเชื้อ.
-T82.0F01I09 แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวบริเวณที่มีสาย TK.
-T82.0F01I10 เฝ้าระวังอาการผิดปกติ เช่น บวมแดง อักเสบ หรือเลือดออก และให้มาพบแพทย์ทันที.
-T82.0F01I11 ส่ง Film KUB เพื่อประเมินตำแหน่งสาย TK ตามแผนการรักษา.
Response
-เวลา # น.
-V/S ปกติ, BT # °C, 
-HR # /min, 
-BP # mmHg.
-แผลบริเวณสาย TK แห้ง สะอาด ไม่มีรอยแดง บวม หรือสารคัดหลั่งผิดปกติ
-ไม่มีไข้หรืออาการบ่งชี้การติดเชื้อ
-การไหลเวียนของเลือดในสาย TK เป็นปกติ ไม่มีการอุดตันหรือปัญหาในการใช้งาน
-ตำแหน่งสาย TK อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
-ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเข้าใจในการดูแลแผลและการป้องกันการติดเชื้อ
-ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงจากสาย TK malfunction
……………………………………………………………………
T82.8F01 ภาวะสาย TK/Transfer set/ข้อต่อเลื่อนหลุด/ขาด/รั่ว 
Goals
-แก้ไขปัญหาสาย TK/Transfer set/ข้อต่อเลื่อนหลุด/ขาด/รั่วให้กลับสู่สภาพปกติ.
-ป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากสาย TK/Transfer set.
-ให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้และความสามารถในการดูแลอุปกรณ์และป้องกันการเกิดซ้ำ.
Evaluation Criteria
-สาย TK/Transfer set/ข้อต่ออยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและไม่มีรอยรั่วหรือน้ำรั่ว.
-ไม่มีอาการแสดงถึงการติดเชื้อ เช่น ไข้, ปวดท้อง, หรือถ่ายเหลว.
-ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลอุปกรณ์ได้อย่างถูกต้อง.
Data
-สาย TK/Transfer set/ข้อต่อเลื่อนหลุด/ขาด/รั่ว # ชม. ก่อนมาถึงโรงพยาบาล
-มีน้ำเปียกบริเวณกระเป๋าหน้าท้อง, แผล exit site, สาย TK/Transfer set หรือผ้าปูที่นอน
-ผู้ป่วยใช้กรรไกรตัดสายขาด #  ชม. ก่อนมาถึงโรงพยาบาล
Intervention
-T82.8F01I01 ตรวจสอบตำแหน่งสาย TK/Transfer set/ข้อต่อว่ามีเลือดออก น้ำรั่ว หรือหลุดจากตำแหน่งหรือไม่.
-T82.8F01I02 สังเกตอาการผู้ป่วย เช่น เวียนศีรษะ ซีด หรือความดันโลหิตต่ำ.
-T82.8F01I03 ประเมินอาการปวดหรือความไม่สบายในบริเวณสายหรือข้อต่อ.
-T82.8F01I04 วัดความดันโลหิต, อัตราการเต้นของหัวใจ และวัดไข้เพื่อตรวจสอบภาวะติดเชื้อ.
-T82.8F01I05 ใช้เทคนิคปลอดเชื้อเพื่อแก้ไขตำแหน่งสายหรือข้อต่อให้กลับเข้าที่.
-T82.8F01I06 ในกรณีรอยรั่วหรือขาด ปิดจุดที่รั่วด้วยวัสดุปิดกันซึม (Waterproof Dressing).
-T82.8F01I07 หยุดกระบวนการล้างไตชั่วคราว และแจ้งแพทย์หากไม่สามารถแก้ไขได้ทันที.
-T82.8F01I08 ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในกรณีความดันโลหิตต่ำหรืออ่อนเพลีย.
-T82.8F01I09 เก็บน้ำยาล้างไต (หลังจากใส่ค้างท้องเกิน 2 ชั่วโมง) ส่งตรวจ Cell count/diff, G/S, และเพาะเชื้อ.
-T82.8F01I10 ให้ยา ATB และติดตามผลเพาะเชื้อ, สีของน้ำยาล้างไต, และอาการของผู้ป่วย.
-T82.8F01I11 สอนผู้ป่วยและครอบครัวหลีกเลี่ยงการดึงหรือเคลื่อนย้ายสายที่ไม่เหมาะสม.
Response
-เวลา # น.
-V/S ปกติ, BP คงที่, ไม่มีอาการเวียนศีรษะหรืออ่อนเพลียจากการเสียเลือด
-สาย TK/Transfer set/ข้อต่อกลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติและยึดติดมั่นคง
-ไม่มีเลือดหรือน้ำรั่วจากจุดเชื่อมต่อ
-การไหลเวียนของเลือดหรือของเหลวกลับสู่ภาวะปกติ
-ผู้ป่วยไม่มีอาการเจ็บปวดหรือไม่สบายบริเวณสายหรือข้อต่อ
-ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันปัญหาซ้ำ
…………………………………………………………………………
T82.1F01 เสี่ยงต่อการเกิดตัวกรองและสายส่งเลือดอุดตันระหว่างการทำ Hemodialysis 
Goals
-ป้องกันการเกิดการอุดตันในตัวกรองและสายส่งเลือดระหว่างการทำ Hemodialysis.
-รักษาการไหลเวียนของเลือดให้มีประสิทธิภาพตลอดกระบวนการ Hemodialysis.
-ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการอุดตัน เช่น การเกิดลิ่มเลือด.
Evaluation Criteria
-ไม่มีการอุดตันของตัวกรองและสายส่งเลือด.
-การไหลเวียนเลือดในระบบ Hemodialysis คงที่และมีประสิทธิภาพ.
-ผลลัพธ์ของการฟอกเลือดเป็นไปตามแผนการรักษา.
Data
-งดการใช้ Anticoagulant เนื่องจาก #
-ผู้ป่วยมีภาวะเลือดข้น (Hypercoagulable State) เช่น โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
-ภาวะเกล็ดเลือดสูง เช่น Reactive Thrombocytosis
-ระดับฮีโมโกลบินสูง ซึ่งอาจทำให้เลือดข้นและการไหลเวียนลดลง
-สายที่ใช้งานมานานมีโอกาสเกิดคราบโปรตีน (Clot Formation)
-ตำแหน่งของสายส่งเลือดไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์
-วัสดุของสายอาจเพิ่มความเสี่ยงการก่อตัวของลิ่มเลือด
Intervention
-T82.1F01I01 ตรวจสอบสภาพหลอดเลือดที่ใช้สำหรับการ Hemodialysis เช่น การเกิดลิ่มเลือดหรือภาวะตีบตัน
-T82.1F01I02 ฟังเสียง Bruit และคลำ Thrill บริเวณ Fistula หรือ Graft เพื่อประเมินการไหลเวียนของเลือดก่อนเริ่มการ Hemodialysis
-T82.1F01I03 ประเมินอาการและอาการแสดงของการอุดตัน เช่น บวม แดง หรือปวดบริเวณ AVF หรือ AVG
-T82.1F01I04 เตรียมตัวกรองและสายส่งเลือดล้างด้วยสารละลาย Heparin-free saline หรือสารละลายอื่นที่แพทย์กำหนด
-T82.1F01I05 ปรับอัตราการไหลเวียนเลือด (Blood flow rate) ให้เหมาะสม, ป้องกันไม่ให้ไหลช้าหรือเร็วเกินไป
-T82.1F01I06 ใช้เทคนิคการล้างตัวกรองแบบ intermittent saline flush ทุก 30–60 นาที หรือบ่อยตามที่แพทย์กำหนด
-T82.1F01I07 เฝ้าระวังแรงดันในระบบไหลเวียนเลือด (Transmembrane pressure) เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ
-T82.1F01I08 ตรวจสอบสายส่งเลือดทุกครั้งว่ามีการพับงอหรือบิดตัวหรือไม่
-T82.1F01I09 หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวของแขนหรือขาบริเวณที่มีสายส่งเลือดมากเกินไป
-T82.1F01I10 หากพบการไหลเวียนเลือดผิดปกติ ให้รีบแจ้งแพทย์ทันที
Response
-เวลา # น.
-ตัวกรองและสายส่งเลือดไม่เกิดการอุดตัน
-ผู้ป่วยได้รับการฟอกเลือดครบเวลาตามแผนการรักษา
-Transmembrane Pressure (TMP) และ Venous Pressure (VP) อยู่ในเกณฑ์ปกติ
…………………………………………………………………………
D63.1F01 มีภาวะซีดเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง  
Goals
-ลดอาการซีดและภาวะขาดออกซิเจนในผู้ป่วย.
-ควบคุมและรักษาระดับฮีโมโกลบิน (Hb) และฮีมาโตคริต (Hct) ให้คงที่ในระดับที่เหมาะสม.
-ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเลือด เช่น ความดันโลหิตต่ำหรือการขาดออกซิเจน.
Evaluation Criteria
-ไม่มีอาการซีด เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือเวียนศีรษะ.
-ผลการตรวจ Lab เช่น Hb ≥ 10 g/dL หรือ Hct ≥ 30%.
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยา ESAs หรือธาตุเหล็ก.
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือด เช่น Tachycardia หรือหายใจหอบเหนื่อย.
Data
-อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
-ผิวซีดหรือเหลือง
-หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หรือผิดจังหวะ
-หายใจหอบเหนื่อยเมื่อทำกิจกรรม
-เวียนศีรษะ หน้ามืด
-ผล Lab: Hb < 10 g/dL หรือ Hct < 30%
-T sat (Transferrin Saturation) ต่ำ #
Intervention
-D63.1F01I01 ตรวจสอบระดับ Hb และ Hct ในเลือด
-D63.1F01I02 ตรวจสอบระดับธาตุเหล็ก, Ferritin และ Transferrin Saturation เพื่อวางแผนการรักษา
-D63.1F01I03 ให้ Erythropoiesis-Stimulating Agents (ESAs) เช่น Erythropoietin หรือ Darbepoetin ตามคำสั่งแพทย์
-D63.1F01I04 เฝ้าระวังผลข้างเคียงจากการให้ยา ESAs เช่น ความดันโลหิตสูง
-D63.1F01I05 ให้ธาตุเหล็กทางปากหรือทางหลอดเลือดดำ และเฝ้าระวังอาการแพ้
-D63.1F01I06 ให้โฟเลตหรือวิตามินบี 12 หากพบการขาด
-D63.1F01I07 ตรวจสอบระดับความดันโลหิต ชีพจร และอัตราการหายใจใกล้ชิด
-D63.1F01I08 ปรับปริมาณน้ำที่ดึงออก (Ultrafiltration) เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะความดันโลหิตต่ำ
-D63.1F01I09 ล้างตัวกรองด้วยสารละลายเกลือเพื่อช่วยลดการสูญเสียเม็ดเลือดแดง
-D63.1F01I10 ดูแลและติดตามการให้เลือดเมื่อผู้ป่วยมี Hb ต่ำ และมีอาการซีดรุนแรง
Response
-เวลา # น.
-ผู้ป่วยไม่มีอาการจากภาวะซีด เช่น อ่อนเพลีย หรือเหนื่อยง่าย
-Vital Signs (V/S) คงที่
-ไม่มีภาวะ Tachycardia หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
-ไม่มีหายใจหอบเหนื่อยหรือเวียนศีรษะระหว่างกิจกรรม
-ไม่มีอาการไม่พึงประสงค์จากการได้รับเลือด
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยา ESAs หรือธาตุเหล็ก
…………………………………………………………………………
I95.1F01 มีความดันโลหิตต่ำระหว่างการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
Goals
-ควบคุมและรักษาความดันโลหิตในผู้ป่วยระหว่างการฟอกเลือด.
-ลดอาการและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากความดันโลหิตต่ำ เช่น เวียนศีรษะ หรือหมดสติ.
-ป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำในอนาคตโดยการปรับแผนการฟอกเลือดให้เหมาะสม.
Evaluation Criteria
-ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) และไดแอสโตลิก (DBP) คงที่หรือปรับคืนเป็นปกติ.
-ไม่มีอาการภาวะความดันโลหิตต่ำ เช่น เวียนศีรษะหรือหมดสติ.
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยาเพิ่มความดันโลหิตหรือการให้สารน้ำทดแทน.
Data
-ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ลดลง ≥ 20 มม.ปรอทระหว่างหรือหลังการฟอกเลือด
-ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ลดลง ≥ 10 มม.ปรอทระหว่างหรือหลังการฟอกเลือด
-อาการแสดง เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ เหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น หรือหมดสติ
Intervention
-I95.1F01I01 หยุดการดึงน้ำออกจากร่างกายทันทีเพื่อลดภาระของระบบไหลเวียนเลือด
-I95.1F01I02 ติดตามความดันโลหิต ชีพจร และการหายใจทุก 5-10 นาทีจนกว่าค่าความดันโลหิตจะคงที่
-I95.1F01I03 ประเมินอาการแสดงของภาวะความดันโลหิตต่ำ เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรือซึมลง
-I95.1F01I04 ปรับความเร็วในการฟอกเลือดตามสถานการณ์ของผู้ป่วย.
-I95.1F01I05 ให้ผู้ป่วยนอนราบและยกขาสูง (Trendelenburg position) เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
-I95.1F01I06 ให้สารน้ำทดแทน Normal saline 100-200 มล. หรือ Hypertonic Solution เช่น Albumin ตามคำสั่งแพทย์
-I95.1F01I07 ปรับลดอุณหภูมิของ dialysate (35-36°C) และตรวจสอบให้เหมาะสม
-I95.1F01I08 รายงานแพทย์เพื่อพิจารณาให้ยาเพิ่มความดันโลหิต (Vasopressor) และเฝ้าระวังผลข้างเคียง
-I95.1F01I09 ประเมินน้ำหนักแห้ง (Dry weight) เพื่อกำหนดเป้าหมายการดึงน้ำที่เหมาะสม
-I95.1F01I10 แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือน้ำปริมาณมากก่อนฟอกเลือด
Response
-เวลา # น.
-Vital Signs (V/S) ปกติ
-อุณหภูมิร่างกาย (BT) # องศาเซลเซียส.
-ชีพจร (HR)  # /min.
-ความดันโลหิต (BP)  # mmHg.
-ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตต่ำ
…………………………………………………………………………
E21.0F1 เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด parathyroidectomy 
Goals
-ป้องกันและจัดการภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด เช่น Hypocalcemia, Hypotension, และ Hemorrhage.
-เฝ้าระวังและรักษาผลกระทบจากการผ่าตัด เช่น การขาดแคลเซียมและแมกนีเซียม.
-ป้องกันการติดเชื้อและการเจ็บปวดหลังการผ่าตัด.
Evaluation Criteria
-ผู้ป่วยไม่มีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด.
-ระดับแคลเซียมและแมกนีเซียมคงที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ.
-ไม่มีภาวะ Hemorrhage หรือการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด.
-ผู้ป่วยไม่แสดงอาการผิดปกติ เช่น ชัก หรือกล้ามเนื้อกระตุก.
Data
-การผ่าตัด parathyroidectomy วันที่ #
-ผล lab: Ca ต่ำกว่า 8.8 mg/dL
-ผล lab iPTH ลดลงอย่างมากจากก่อนผ่าตัด
-อาการแสดง: ชาใบหน้าหรือรอบปาก, กระตุกกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า
-ผลตรวจ: หัวใจเต้นช้า, การหายใจผิดปกติ, เวียนศีรษะ, อารมณ์เปลี่ยนแปลง
Intervention
-E21.0F1I01 เฝ้าระวังภาวะ Hypocalcemia โดยตรวจหาสัญญาณเช่น มือเท้าชา, กล้ามเนื้อเกร็ง, หรือ Trousseau/Chvostek sign.
-E21.0F1I02 ติดตามระดับแคลเซียมและแมกนีเซียมในเลือดอย่างใกล้ชิด.
-E21.0F1I03 ให้แคลเซียมเสริม (Calcium gluconate) และแมกนีเซียมเสริมตามคำสั่งแพทย์.
-E21.0F1I04 เฝ้าระวังภาวะ Hyperkalemia และปรับสูตร dialysate K, Ca ตามคำสั่งแพทย์.
-E21.0F1I05 ตรวจสอบและจัดการภาวะ Hypotension ระหว่างการฟอกเลือดโดยการวัดสัญญาณชีพทุก 30 นาทีหรือบ่อยขึ้น.
-E21.0F1I06 เฝ้าระวังภาวะ Hemorrhage โดยสังเกตการบวม แดง หรือเลือดออกผิดปกติบริเวณแผลผ่าตัด.
-E21.0F1I07 เฝ้าระวังการติดเชื้อโดยรักษาความสะอาดของแผลผ่าตัดและใช้เทคนิคปลอดเชื้อในการดูแลสายฟอกเลือด.
-E21.0F1I08 ประเมินและจัดการความเจ็บปวดตามระดับความเจ็บปวดของผู้ป่วยและให้ยาแก้ปวดตามคำสั่งแพทย์.
-E21.0F1I09 สังเกตอาการเช่น สับสน หรือซึมเศร้าและรายงานให้แพทย์ทราบหากอาการรุนแรง.
-E21.0F1I10 จัดท่าผู้ป่วยในตำแหน่งที่สบายเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด.
Response
-เวลา # น.
-Vital Signs (V/S) ปกติ
-ชีพจร (HR) # /min.
-ความดันโลหิต (BP) # mmHg.
-การหายใจปกติ
-ไม่มีเลือดออกผิดปกติ
-ไม่มีภาวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ
…………………………………………………………………………………
E83.52F01 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง (Hyperphosphatemia) ในระดับรุนแรง
Goals
-ป้องกันและลดการสะสมของฟอสเฟตในเลือด.
-ควบคุมระดับฟอสเฟตและแคลเซียมในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ.
-ลดอาการที่เกิดจากภาวะ Calcium-Phosphate Precipitation เช่น คันผิวหนัง และการเกาะตัวในเนื้อเยื่อ.
-ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการควบคุมอาหารและการใช้ยาจับฟอสเฟต.
Evaluation Criteria
-ระดับฟอสเฟตในเลือดอยู่ในช่วง 3.5-5.5 mg/dL.
-ระดับแคลเซียมในเลือดอยู่ในช่วง 8.6-10.3 mg/dL.
-ไม่มีอาการของ Renal Osteodystrophy หรือ Pruritus.
-ไม่มีการสะสมแคลเซียมและฟอสเฟตในเนื้อเยื่อหรือหลอดเลือดหัวใจ.
Data
-อัตราการกรองของไต (GFR) ลดลง 25-40 mL/min/1.73 m².
-ระดับแคลเซียมในเลือดเกิน 8.6-10.3 mg/dL.
-ระดับฟอสเฟตในเลือดเกิน 3.5-5.5 mg/dL.
-ค่าผลคูณแคลเซียม-ฟอสเฟตในเลือดเกิน 55 mg²/dL².
-ระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงในผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 5.
-อาการที่เกี่ยวข้องกับ Calcium-Phosphate Precipitation เช่น ผิวหนังคัน, Calciphylaxis, ปวดข้อต่อ
-การวินิจฉัย Renal Osteodystrophy
-อาการและผลกระทบจากการเกาะตัวของแคลเซียม-ฟอสเฟตในหลอดเลือดและเนื้อเยื่อ
Intervention
-E83.52F01I01 ประเมินและให้ความรู้ผู้ป่วยเกี่ยวกับการควบคุมอาหารที่มีฟอสเฟตสูงและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสเฟต
-E83.52F01I02 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานยา Phosphate Binders (Calcium carbonate หรือ Sevelamer) ตามคำสั่งแพทย์
-E83.52F01I03 สอนวิธีรับประทานยาให้ถูกต้อง เช่น รับประทานพร้อมมื้ออาหารเพื่อจับฟอสเฟต
-E83.52F01I04 ดูแลการฟอกเลือดให้สม่ำเสมอ (Adequate HD) และตรวจสอบผลการฟอกเลือด เช่น Kt/V หรือ URR.
-E83.52F01I05 ติดตามระดับฟอสเฟต, แคลเซียม และ PTH ในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
-E83.52F01I06 ประเมินอาการของ Renal Osteodystrophy เช่น ปวดกระดูก, กระดูกหักง่าย
-E83.52F01I07 เฝ้าระวังอาการของการสะสมแคลเซียม-ฟอสเฟตในเนื้อเยื่อและหลอดเลือด (Soft tissue Calcification, Vascular Calcification)
-E83.52F01I08 ใช้สูตรสารละลายฟอกเลือดที่มีระดับแคลเซียมเหมาะสม
-E83.52F01I09 รายงานผลทางห้องปฏิบัติการที่ผิดปกติแก่แพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา
-E83.52F01I10 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตนเองในการควบคุมอาหารและการใช้ยา
Response
-เวลา # น.
-Vital Signs (V/S) ปกติ
-ระดับฟอสเฟต: 3.5-5.5 mg/dL.
-ระดับแคลเซียม: 8.6-10.3 mg/dL.
-ระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ในผู้ป่วยที่ได้รับฟอกเลือด: ไม่เกิน 130-600 พิโคกรัม/เดซิลิตร.
-ผู้ป่วยสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการควบคุมอาหารและการใช้ยา
-ไม่มีอาการคันตามผิวหนัง (Pruritus)
-ไม่มีภาวะ Renal Osteodystrophy
-ไม่มีการสะสมแคลเซียมและฟอสเฟตในเนื้อเยื่อหรือหลอดเลือด (Soft tissue Calcification, Myocardial Calcification)
………………………………………………………………………………
T82.4F01 เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการคาสายสวนหลอดเลือดเพื่อฟอกเลือด
Goals:
-ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการคาสายสวนหลอดเลือดเพื่อฟอกเลือด
-ป้องกันการติดเชื้อที่บริเวณ Exit site DLC/Perm Cath
-ส่งเสริมการพยาบาลที่ปลอดเชื้อและเพิ่มความเข้าใจในการดูแลแผลให้ผู้ป่วย
Evaluation Criteria:
-ไม่มีอาการติดเชื้อหรือการติดเชื้อรุนแรงที่บริเวณ Exit site
-สภาพแผล Exit site ปลอดภัยและไม่มีการติดเชื้อ
-ผู้ป่วยไม่มีอาการข้างเคียงจากการรักษา
Data:
-ผู้ป่วย on DLC วันที่ # 
-ผู้ป่วย on Perm Cath วันที่ #
-บริเวณ Exit site DLC/Perm Cath แดงหรือมี discharge
-มีอาการปวดบริเวณ Exit site DLC/Perm Cath
-ก๊อสปิดแผลหลุดหรือเปียกน้ำ
-อุณหภูมิร่างกาย (T) ≥ 38°C
Intervention
-T82.4F01I01 ดูแลทำแผลด้วย Aseptic technique โดยใช้ 2% chlorhexidine เช็ดแผล Exit site และ scrub catheter hub ข้อต่อของ catheter
-T82.4F01I02 สวมถุงมือและ mask ทั้งพยาบาลและผู้ป่วย, ล้างมือก่อนและหลังการพยาบาล
-T82.4F01I03 ใช้เทคนิคปลอดเชื้อในการเชื่อมต่อและถอดสายกับเครื่องฟอกเลือด
-T82.4F01I04 ใช้สารฆ่าเชื้อทำความสะอาดปลายสายก่อนและหลังการเชื่อมต่อ
-T82.4F01I05 ล็อกปลายสายด้วยยาปฏิชีวนะผสมสารกันเลือดแข็ง (Anticoagulant Lock) ตามคำสั่งแพทย์หลังการฟอกเลือด
-T82.4F01I06 ติดตามการตอบสนองต่อยาและผลข้างเคียง
-T82.4F01I07 บันทึกสภาพของสาย DLC/Perm Cath และบริเวณใส่สายทุกครั้งที่ตรวจสอบ
-T82.4F01I08 ติดตามประเมิน V/S โดยเฉพาะ BT, HR, BP เพื่อเฝ้าระวังภาวะ Sepsis
-T82.4F01I09 ตรวจสอบสายว่าไม่มีการชำรุดหรือหลุดเลื่อน
-T82.4F01I10 แจ้งแพทย์ทันทีหากพบสัญญาณของการติดเชื้อและดูแลเก็บ Lab ตามแผลการรักษา เช่น CBC WBC, H/C
Response:
-เวลา # น.
-Vital Signs (V/S)  ปกติ
-อุณหภูมิร่างกาย (BT) # องศาเซลเซียส
-Heart Rate (HR)  # /min
-Blood Pressure (BP)  # mmHg
-ไม่มีอาการบวมแดงหรือ discharge
-ไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา
……………………………………………………………………………
T83.89F1 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการล้างไตทางช่องท้อง (CAPD)
Goals:
-ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการล้างไตทางช่องท้อง เช่น การติดเชื้อที่ Exit Site, Peritonitis, UF failure
-ส่งเสริมความเข้าใจและการปฏิบัติที่ถูกต้องในการทำ CAPD
-ลดความเสี่ยงจากการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องในการทำ CAPD
Evaluation Criteria:
-ผู้ป่วยสามารถทำ CAPD ได้ถูกต้องตามขั้นตอน
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการทำ CAPD เช่น การติดเชื้อที่ Exit Site หรือ Peritonitis
-ผู้ป่วยมีการปฏิบัติตามขั้นตอนในการล้างมือและการดูแลอุปกรณ์อย่างถูกต้อง
Data:
-ผู้ป่วยล้างมือไม่ครบ 7 ท่า
-ผู้ป่วยไม่สวม mask ขณะเปลี่ยนน้ำยาล้างไต
-ผู้ป่วยเปิดพัดลมหรือแอร์ขณะเปลี่ยนน้ำยาล้างไต
-ผู้ป่วย flush ล้างสายไม่ครบ 10 วินาที
-ผู้ป่วยไม่เปลี่ยนกระเป๋าหน้าท้องทุกวัน
Intervention
-T83.89F1I01 ประเมินความเข้าใจและความพร้อมของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับกระบวนการ CAPD
-T83.89F1I02 อธิบายขั้นตอนการทำ CAPD อย่างละเอียด: ล้างมือ, การเตรียมอุปกรณ์, การเชื่อมต่อ, ใส่สารละลายและระบายของเสีย
-T83.89F1I03 สอนวิธีการล้างมือ 7 ท่า 3 ครั้ง และการรักษาความสะอาดบริเวณ Exit site
-T83.89F1I04 สอนให้ผู้ป่วยสังเกตอาการการติดเชื้อ เช่น ไข้, ปวดท้อง, น้ำยาที่ระบายออกมาขุ่น
-T83.89F1I05 อธิบายวิธีการตรวจสอบอุปกรณ์ เช่น การตรวจสอบรอยรั่วหรือวันหมดอายุของถุงสารละลาย
-T83.89F1I06 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการควบคุมโซเดียม, โพแทสเซียม, และการบริโภคอาหารที่มีโปรตีนเพียงพอ
-T83.89F1I07 สอนวิธีการแก้ไขสถานการณ์ เช่น การเปลี่ยนท่าทางเมื่อสารละลายระบายไม่ออก หรือการปรึกษาเจ้าหน้าที่หากสายอุดตัน
-T83.89F1I08 ให้ช่องทางการติดต่อในกรณีฉุกเฉินและสนับสนุนให้ผู้ป่วยมั่นใจในการทำ CAPD
-T83.89F1I09 ติดตามและประเมินความถูกต้องในการทำ CAPD โดยให้ผู้ป่วยแสดงขั้นตอนและตรวจสอบ
-T83.89F1I10 นัดติดตามผลการตรวจประเมินสภาพร่างกายและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ
Response:
-เวลา # น.
-ผู้ป่วยสามารถทำ CAPD ได้ถูกต้องตามขั้นตอน
-ผู้ป่วยสามารถล้างมือครบ 7 ท่าอย่างถูกต้อง
-ผู้ป่วยสามารถทำแผลและดูแลสถานที่ที่ใช้ทำ CAPD ได้อย่างถูกต้อง
-ไม่มีอาการภาวะแทรกซ้อนจากการทำ CAPD เช่น การติดเชื้อที่ Exit site หรือ Peritonitis
………………………………………………………………………………
A41.9F01 มีภาวะ Peritonitis จากการทำ CAPD  
Goals:
-ป้องกันและรักษาภาวะ Peritonitis จากการทำ CAPD
-ส่งเสริมการปฏิบัติที่ถูกต้องในการดูแลการทำ CAPD เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
-ตรวจสอบและประเมินการตอบสนองต่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง
Evaluation Criteria:
-อาการปวดท้องและอาการอื่นๆ ลดลงหรือหายไป
-น้ำยาที่ระบายออกใสขึ้น ไม่มีการติดเชื้อที่เกิดจากการทำ CAPD
-ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (WBC, CRP, culture) อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-สัญญาณชีพ (V/S) กลับสู่ภาวะปกติ
Data:
-ปวดท้องรุนแรง
-น้ำยาที่ระบายออกมาขุ่น
-อุณหภูมิร่างกาย ≥ 38 องศาเซลเซียส
-ไข้หนาวสั่น
-คลื่นไส้, อาเจียน, เบื่ออาหาร
-ท้องอืด หรือการระบายของเหลวลำบาก
-ผล PDF cell count/diff พบ WBC > 100 cells/μL, Neutrophils > 50% และเพาะเชื้อ (Culture and Sensitivity)
Intervention
-A41.9F01I01 ประเมินอาการปวดท้อง, ไข้, คลื่นไส้ และอาการร่วมอื่นๆ
-A41.9F01I02 เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น Sepsis หรือการลุกลามของการติดเชื้อ
-A41.9F01I03 ทำความสะอาดบริเวณ Catheter exit site ด้วย Chlorhexidine
-A41.9F01I04 เปลี่ยนผ้าปิดแผลบริเวณสายด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ
-A41.9F01I05 เก็บน้ำยาล้างไตหลังจากค้างท้อง >2 ชม. ส่งตรวจ cell count/diff, G/S, และ H/C x 2 ขวด
-A41.9F01I06 ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา ATB ตามแผนการรักษา
-A41.9F01I07 ติดตามและประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น WBC, CRP และผลการเพาะเชื้อ
-A41.9F01I08 สอนเทคนิคการทำ CAPD ที่ถูกต้อง เช่น การล้างมือ, การใช้อุปกรณ์ปลอดเชื้อ, และการจัดการสายล้างไต
-A41.9F01I09 อธิบายสาเหตุและผลกระทบของ Peritonitis รวมถึงวิธีการป้องกัน
-A41.9F01I10 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลความสะอาดและการจัดเก็บอุปกรณ์ พร้อมทั้งสนับสนุนผู้ป่วยในการดูแลตนเองและตอบคำถาม
Response:
-เวลา # น.
-อาการปวดท้องลดลงหรือหายไป
-น้ำยาที่ระบายออกใสขึ้น
-สัญญาณชีพปกติ
-ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (WBC, CRP, culture) ปกติ
-ผู้ป่วยสามารถทำ CAPD ได้ถูกต้องตามขั้นตอน
…………………………………………………………………………
Z79.9F01 อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Plasmapheresis 
Goals
-ป้องกันและจัดการภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการทำ Plasmapheresis
-ตรวจสอบและรักษาภาวะต่างๆ เช่น Cardiovascular, Respiratory, Anaphylactoid reaction, Hemorrhage, Infection, Hypocalcemia, Hypovolemia
-เสริมสร้างความเข้าใจแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับกระบวนการและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
Evaluation Criteria:
-สัญญาณชีพ (V/S) ปกติและคงที่
-ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Plasmapheresis
-ค่าเลือด เช่น PT/INR, aPTT, เกล็ดเลือด อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-ผลการตรวจระดับแคลเซียมและภาวะ Hypovolemia อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย
Data:
-วินิจฉัย Myasthenia gravis
-วินิจฉัย Guillain Barre Syndrome
-วินิจฉัย SLE
-วินิจฉัย TTP
-วินิจฉัย Vasculitis 
-เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำ Plasmapheresis
-อาการผิดปกติจากการทำ Plasmapheresis เช่น ปวดหัว, อ่อนเพลีย, หรือสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อน
Intervention
-Z79.9F01I01 ประเมินและติดตามสัญญาณชีพ (V/S), ความดันโลหิต, ชีพจร, การหายใจ
-Z79.9F01I02 เฝ้าระวังภาวะ Electrolyte imbalance โดยเฉพาะโพแทสเซียมและแคลเซียม
-Z79.9F01I03 ปรับอัตราการแลกเปลี่ยนพลาสมาตามความสามารถของระบบไหลเวียนเลือด
-Z79.9F01I04 ดูแลท่าผู้ป่วยเพื่อลดภาระของระบบหัวใจและหลอดเลือด
-Z79.9F01I05 ประเมินการทำงานของระบบหายใจ เช่น ระดับออกซิเจน (SpO₂) และการหายใจ
-Z79.9F01I06 เฝ้าระวังอาการหายใจลำบากจากภาวะ Fluid overload
-Z79.9F01I07 ซักประวัติการแพ้สารทดแทนพลาสมาและยา (Human Albumin)
-Z79.9F01I08 ให้ยาป้องกันการแพ้ เช่น Antihistamine หรือสเตียรอยด์ตามคำสั่งแพทย์
-Z79.9F01I09 ติดตามและประเมินความเสี่ยงการตกเลือด, ตรวจค่า PT/INR, aPTT, เกล็ดเลือด
-Z79.9F01I10 เฝ้าระวังอาการของ Hypocalcemia และ Hypovolemia, ให้แคลเซียมเสริมตามคำสั่งแพทย์, และจัดเตรียมสารน้ำหรือสารทดแทนพลาสมาหากจำเป็น
Response:
-เวลา # น.
-สัญญาณชีพ (V/S) คงที่และปกติ
-อุณหภูมิร่างกาย (BT) ในเกณฑ์ปกติ
-ชีพจร (HR) และความดันโลหิต (BP) ปกติ
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Plasmapheresis เช่น Cardiovascular, Respiratory หรือ Anaphylactoid reaction
………………………………………………………………………………
Z71.3F01 ผู้ป่วยและญาติขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบำบัดทดแทนไต
Goals:
-เพิ่มความเข้าใจและการตัดสินใจเกี่ยวกับการบำบัดทดแทนไต (RRT) ให้กับผู้ป่วยและญาติ
-ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ ในการบำบัดทดแทนไตอย่างชัดเจน
-สนับสนุนผู้ป่วยและครอบครัวในการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการ
Evaluation Criteria:
-ผู้ป่วยและญาติสามารถเลือกแผนการรักษาที่เหมาะสมได้
-ผู้ป่วยและญาติเข้าใจผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและข้อจำกัดต่างๆ ของแต่ละวิธีการบำบัด
-การตัดสินใจเกี่ยวกับ RRT สอดคล้องกับสุขภาพและความต้องการของผู้ป่วย
Data:
-ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตลดลง (GFR < 15 mL/min/1.73m²)
-อาการของภาวะยูรีเมีย (คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร คันตามตัว สมองสับสน)
แพทย์แนะนำให้ปรึกษาเรื่อง RRT
Intervention
-Z71.3F01I01 อธิบายทางเลือกในการบำบัดทดแทนไต (RRT) ได้แก่ Hemodialysis (HD), Peritoneal Dialysis (PD), Kidney Transplantation, และ Conservative Management
-Z71.3F01I02 ประเมินความเหมาะสมของผู้ป่วยสำหรับแต่ละวิธีการ RRT โดยพิจารณาจากสภาพหลอดเลือด (HD), ช่องท้อง (PD), และสุขภาพโดยรวม
-Z71.3F01I03 ประเมินวิถีชีวิตและความสะดวกในการเข้ารับการรักษา เช่น ความสามารถในการเดินทางไปศูนย์ HD หรือการดูแลตัวเองที่บ้าน
-Z71.3F01I04 เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีการบำบัดทดแทนไต
-Z71.3F01I05 ให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกรูปแบบ RRT ที่เหมาะสม
-Z71.3F01I06 ตอบคำถามเกี่ยวกับผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและค่าใช้จ่าย
-Z71.3F01I07 ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายเพื่อลดความกังวลของผู้ป่วย
-Z71.3F01I08 ประสานงานกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น นักโภชนาการและนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อเตรียมผู้ป่วยสำหรับ RRT
-Z71.3F01I09 นัดติดตามผลการตัดสินใจและความพร้อมของผู้ป่วยในการรับการบำบัดทดแทนไต
-Z71.3F01I10 สนับสนุนและปรับแผนการรักษาตามความจำเป็น
Response:
-เวลา # น.
-ผู้ป่วยและญาติสามารถเลือกแผนการรักษาได้ เช่น RRT หรือ Conservative Management
-ผู้ป่วยและญาติเข้าใจเกี่ยวกับการบำบัดทดแทนไตและผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
-ผู้ป่วยตัดสินใจปฏิเสธ RRT และเลือกการรักษาแบบประคับประคอง
………………………………………………………………………………
E87.5F01 อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจาก Hyperkalemia ในผู้ป่วย ESRD ที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 
Goals:
-ป้องกันและจัดการภาวะ Hyperkalemia ในผู้ป่วย ESRD ที่ฟอกเลือด
-ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโพแทสเซียมสูง
-ให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมอาหารและการสังเกตอาการผิดปกติ
Evaluation Criteria:
-ระดับโพแทสเซียมในเลือดกลับสู่ค่าปกติ (3.5-5.0 mmol/L)
-อาการของผู้ป่วย เช่น กล้ามเนื้อไม่อ่อนแรง และหัวใจเต้นปกติ
-ความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการควบคุมอาหารและการสังเกตอาการ
Data:
-ระดับโพแทสเซียมในเลือด > 5.0 mmol/L
-EKG แสดงผล T wave สูงและคม
-ผู้ป่วยมีประวัติรับประทานผักหรือผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง
-อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง, คลื่นไส้, อาเจียน
Intervention
-E87.5F01I01 ประเมินระดับโพแทสเซียมในเลือดและอาการของ Hyperkalemia ก่อนการฟอกเลือด
-E87.5F01I02 รายงานแพทย์ทันทีหากระดับโพแทสเซียมสูงเกินไป (> 6.5 mmol/L)
-E87.5F01I03 เฝ้าระวัง EKG เพื่อสังเกตการเต้นของหัวใจผิดปกติ และเตรียมรับมือกับภาวะหัวใจหยุดเต้น
-E87.5F01I04 เตรียมยาฉุกเฉินตามคำสั่งแพทย์ เช่น Calcium Gluconate, Insulin และ Dextrose, Sodium Bicarbonate
-E87.5F01I05 ปรับการฟอกเลือดโดยใช้ Dialysate ที่มีระดับโพแทสเซียมต่ำ (0-1 mmol/L)
-E87.5F01I06 เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนระหว่างการฟอกเลือด เช่น ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) โดยบันทึก V/S ทุก 15-30 นาที
-E87.5F01I07 ติดตามระดับความรู้สึกตัวและการเต้นของหัวใจอย่างใกล้ชิด
-E87.5F01I08 ตรวจระดับโพแทสเซียมในเลือดหลังการฟอกเลือด
-E87.5F01I09 สังเกตอาการของผู้ป่วย เช่น กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น และหัวใจเต้นปกติ
-E87.5F01I10 ให้คำแนะนำการควบคุมอาหารโดยเลือกรับประทานผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำ และลดการบริโภคผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง
Response:
-เวลา # น.
-V/S ปกติ
-HR # /min
-ระดับโพแทสเซียมลดลงสู่ค่าปกติ (3.5–5.0 mmol/L)
-อาการของผู้ป่วยดีขึ้น เช่น หัวใจเต้นปกติ
-อาการของผู้ป่วยดีขึ้น เช่น กล้ามเนื้อไม่อ่อนแรง
-ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมอาหารและการสังเกตอาการผิดปกติ
……………………………………………………………………………

N18.6F01 อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจาก Uremia ในผู้ป่วย ESRD ที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

Goals:
-ลดความเสี่ยงจากของเสียคั่งในร่างกายที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วย ESRD
-ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือด
-เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการฟอกเลือดและควบคุมอาหารและโภชนาการ
Evaluation Criteria:
-ระดับ BUN และ Creatinine ลดลงหลังการฟอกเลือด
-ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจาก Uremia เช่น อาการสมองปลอดโปร่ง, คลื่นไส้ลดลง
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือดหรือการติดเชื้อ
Data:
-ประวัติการฟอกเลือดไม่เป็นไปตามแผนการรักษา
-ระดับ BUN > 50-100 mg/dL
-Creatinine > 10 mg/dL
-อาการที่พบ เช่น Kussmaul’s breathing, หายใจมีกลิ่นแอมโมเนีย, ปวดข้อ, อ่อนเพลีย, สมองสับสน, ชัก, ความดันโลหิตสูง, อาการบวม
-อาการอื่นๆ เช่น คลื่นไส้, เบื่ออาหาร, คันทั่วตัว
Intervention
-N18.6F01I01 บันทึก V/S ทุก 15-30 นาที เพื่อประเมินความดันโลหิตสูงและการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
-N18.6F01I02 ประเมินระดับความรู้สึกตัวและอาการเปลี่ยนแปลงทางสมอง เพื่อเฝ้าระวัง Uremia เช่น ความสับสน อ่อนเพลีย
-N18.6F01I03 ประเมินลักษณะการหายใจ (Kussmaul’s breathing)
-N18.6F01I04 ประเมินอาการบวมจากการคั่งน้ำ
-N18.6F01I05 ปรับการฟอกเลือดโดยใช้ Dialysate ที่เหมาะสมกับระดับอิเล็กโทรไลต์ของผู้ป่วย
-N18.6F01I06 เพิ่มระยะเวลา/ความถี่ในการฟอกเลือดตามคำสั่งแพทย์
-N18.6F01I07 เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนขณะฟอกเลือด เช่น ความดันโลหิตต่ำ, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, อาการปวดศีรษะ, คลื่นไส้ (Disequilibrium Syndrome)
-N18.6F01I08 ดูแล Exit Site ของ Access โดยทำความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อ
-N18.6F01I09 ควบคุมอาหารและโภชนาการ โดยจำกัดโปรตีน (1.0–1.2 g/kg/day) และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง
-N18.6F01I10 ให้ยาจับฟอสฟอรัส (Phosphate binders) ตามแพทย์สั่งและควบคุมปริมาณน้ำและโซเดียมเพื่อป้องกันภาวะน้ำเกิน
Response:
-เวลา # น.
-V/S ปกติ
-HR # /min
-BP # mmHg
-ระดับ BUN และ Creatinine ลดลงหลังการฟอกเลือด
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจาก Uremia (สมองปลอดโปร่ง, ไม่มีคลื่นไส้)
-ผู้ป่วยเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องโภชนาการและการฟอกเลือด
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือดหรือการติดเชื้อ
………………………………………………………………………………
E87.2F01 เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากน้ำเกินในร่างกายของผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
Goals:
-ลดความเสี่ยงจากภาวะน้ำเกินในผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกเลือด
-ควบคุมอาการของน้ำเกินอย่างมีประสิทธิภาพ
-ส่งเสริมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเกี่ยวกับการควบคุมอาหารและน้ำ
Evaluation Criteria:
-น้ำหนักตัวของผู้ป่วยอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับ Dry Weight
-ไม่มีสัญญาณของ Pulmonary Edema หรือ Heart Failure
-ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการควบคุมการบริโภคน้ำและโซเดียม
Data:
-อาการบวม (Edema) ตามบริเวณต่างๆ
-CXR พบ Cephalization
-ฟังปอดพบเสียง Crepitation
-น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
-ปัสสาวะน้อยลงหรือไม่มี
-หายใจเหนื่อยหอบ
-หัวใจโต (Cardiomegaly)
-มีของเหลวในโพรงเยื่อหุ้มปอด (Pleural Effusion)
-Echocardiogram พบภาวะหัวใจล้มเหลว
-Ultrasound พบการคั่งของของเหลวในช่องท้อง
-ความดันโลหิตสูง
-ชีพจรเต้นเร็ว (Tachycardia)
Intervention
-E87.2F01I01 ประเมินน้ำหนักก่อนและหลังการฟอกเลือด (Dry Weight)
-E87.2F01I02 ควบคุมอัตราการดึงน้ำ (Ultrafiltration Rate, UFR) ไม่เกิน 10–13 มล./กก./ชม.
-E87.2F01I03 ใช้ Dialysate Sodium ที่เหมาะสมเพื่อรักษาสมดุลของของเหลว
-E87.2F01I04 บันทึก V/S ทุก 15-30 นาที
-E87.2F01I05 เฝ้าระวังสัญญาณของ Heart Failure เช่น หายใจหอบเหนื่อยขณะนอนราบ (Orthopnea)
-E87.2F01I06 สังเกตการหายใจและ Monitor O2 sat เพื่อติดตาม Pulmonary Edema
-E87.2F01I07 ส่งเสริมความรู้และการดูแลตนเองเกี่ยวกับอาหาร เช่น ลดการบริโภคโซเดียม
-E87.2F01I08 แนะนำให้ผู้ป่วยชั่งน้ำหนักทุกวันตอนเช้าและบันทึก
-E87.2F01I09 แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการน้ำเกิน เช่น อาการบวม, หายใจลำบาก, ปวดศีรษะ
-E87.2F01I10 ปรับการฟอกเลือดตามความจำเป็นเพื่อควบคุมภาวะน้ำเกิน
Response:
-เวลา # น.
-V/S ปกติ
-HR # /min
-BP # mmHg
-น้ำหนักตัวอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับ Dry Weight
-ไม่มีสัญญาณของ Pulmonary Edema หรือ Heart Failure
-ผู้ป่วยเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำในการควบคุมการบริโภคน้ำและโซเดียม
-ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติม
....................................................................................................................
อำภัย  อินดี


วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2567

EP. 21👉👉ตัวอย่าง :พยาบาลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) : F32


พยาธิสภาพของโรคซึมเศร้า 

โรคซึมเศร้าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน (Serotonin), นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine), และโดปามีน (Dopamine) ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของสมองในส่วนที่ควบคุมอารมณ์ ความจำ และการตัดสินใจ ความเครียดเรื้อรัง พันธุกรรม และปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น การสูญเสียหรือความขัดแย้งในชีวิต อาจกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ ผู้ป่วยมักมีอาการเศร้า หดหู่ หมดพลังงาน และสูญเสียความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ อาการอาจรุนแรงจนกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
การรักษาโรคซึมเศร้า
การรักษาโรคซึมเศร้าประกอบด้วย การใช้ยา เพื่อลดอาการเศร้าและปรับสมดุลสารเคมีในสมอง จิตบำบัด เช่น การพูดคุยปรับความคิดและพฤติกรรม การดูแลตนเอง เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ การสนับสนุนจากครอบครัว โดยให้กำลังใจและรับฟังอย่างเข้าใจ หากอาการรุนแรง เช่น มีความคิดฆ่าตัวตาย ควรรีบพบแพทย์หรือโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323
การพยาบาลโรคซึมเศร้า
การพยาบาลโรคซึมเศร้าควรให้การดูแลแบบองค์รวม โดย เฝ้าระวังอาการซึมเศร้าและความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง สนับสนุนให้ผู้ป่วยรับประทานยาและเข้ารับการบำบัดตามแผนการรักษา ให้กำลังใจ รับฟังอย่างเข้าใจ ส่งเสริมกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย และสนับสนุนครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย หากพบอาการรุนแรง ควรรีบแจ้งแพทย์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที  

Nursing diagnosis 
1. F32F1: มีภาวะซึมเศร้า (Depressed mood)
2. F32F2: ขาดพลังใจหรือความเหนื่อยล้า (Low energy))
3. F32F3: เสี่ยงต่อความคิดฆ่าตัวตาย (Risk of self-harm or suicidal ideation)
4. F32F4: เสี่ยงต่อการไม่สามารถดูแลตนเอง (Risk for impaired self-care)
5. F32F5: เจ็บป่วยทางจิตที่เรื้อรัง (Chronic mental health risk)
6. F32F6: สูญเสียความรู้สึกสนุกสนาน (Ineffective coping)
7. F32F7: เสี่ยงต่อเกิดซึมเศร้าในอนาคต (Risk for recurrence of depression)
9. F32F9: ภาวะซึมเศร้าที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาก่อนหน้า (Ineffective treatment response)
10. F32F10: เสี่ยงต่อการกลับมาซึมเศร้า (Risk for relapse)
11. F32F11: ขาดการประเมินอาการต่อเนื่อง (Failure to assess ongoing symptoms)
12. F32F12: ส่งเสริมทักษะจัดการกับความเครียดและอารมณ์ (Promote stress and emotional management skills)

(ตัวเลข F1, I-1, R-1 เป็นเพียงตัวเลขที่กำหนดขึ้นเพื่อให้การจัดลำดับวินิจฉัยการพยาบาลเป็นไปอย่างมีระบบ อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม)
.........................................................................................................................

F32F1 : มีภาวะซึมเศร้า (Depressed mood)
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานว่า "รู้สึกเศร้า หมดกำลังใจ ไม่มีความสุขในชีวิต" และมีความรู้สึกว่าทุกอย่างในชีวิตไม่มีความหมาย
O: ผู้ป่วยมีการแสดงออกของอารมณ์ซึมเศร้า เช่น การพูดหรือทำหน้าท่าทางที่เศร้า ตอบคำถามด้วยเสียงเบา หรือหลีกเลี่ยงการสนทนา และพฤติกรรมช้าลง
Goals
·      ผู้ป่วยจะรายงานความรู้สึกเศร้าลดลงในช่วงเวลา 2 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ด้วยความสะดวกและเพิ่มความสนใจในการทำกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ
·      ผู้ป่วยจะพัฒนาความสามารถในการมองโลกในแง่ดีและมีความหวังในอนาคตภายใน 4 สัปดาห์
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยสามารถบอกได้ว่าอารมณ์เศร้าลดลงและมีความรู้สึกดีขึ้น
·      ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การทำงานหรือพบปะสังคม
·      ผู้ป่วยสามารถแสดงถึงความหวังและความเชื่อมั่นในอนาคต
Intervention
·      F32F1I-1 ใช้เทคนิคการให้คำปรึกษาและฟังอย่างใส่ใจเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถระบายความรู้สึกและค้นหาวิธีในการรับมือกับอารมณ์เศร้า
·      F32F1I-2 ส่งเสริมการใช้กิจกรรมทางกายที่ช่วยเพิ่มสารเคมีในสมอง เช่น การออกกำลังกาย เพื่อปรับปรุงอารมณ์
·      F32F1I-3 แนะนำให้ผู้ป่วยพยายามทำกิจกรรมที่เคยชื่นชอบหรือทำกิจกรรมที่สามารถทำได้แม้จะรู้สึกเศร้า เช่น การฟังเพลง อ่านหนังสือ
·      F32F1I-4 ใช้เทคนิค Cognitive Behavioral Therapy (CBT) เพื่อช่วยผู้ป่วยในการปรับเปลี่ยนความคิดลบและเสริมสร้างทัศนคติที่ดี
Response
·      F32F1R-1 ผู้ป่วยรายงานว่าอารมณ์เศร้าลดลงและรู้สึกมีความหวังในชีวิตมากขึ้น
·      F32F1R-2 ผู้ป่วยกลับมาทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น การทำงาน หรือการดูแลตนเอง
·      F32F1R-3 ผู้ป่วยสามารถบอกได้ว่ามีทัศนคติที่ดีขึ้นและรู้สึกมีแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต
......................................................................
F32F2 ขาดพลังใจ หรือความเหนื่อยล้า (Low energy)
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานว่า "รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา ไม่มีพลังงานที่จะทำกิจกรรมใดๆ" และบอกว่า "แม้แต่การทำกิจวัตรประจำวันก็รู้สึกเหนื่อย"
O: ผู้ป่วยแสดงท่าทางช้าๆ เดินช้า มีการตอบสนองช้าในระหว่างการสนทนา การทำกิจกรรมต่างๆ ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น
Goals
·      ผู้ป่วยจะมีระดับพลังงานที่สูงขึ้นและสามารถทำกิจกรรมที่เคยทำได้ภายใน 2 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะรายงานว่าอาการเหนื่อยล้าลดลงและสามารถทำกิจกรรมพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้ภายใน 4 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะมีความสามารถในการจัดการกับอาการเหนื่อยล้าได้ดีขึ้น และมีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น การทำงาน, ทานอาหาร, และการออกกำลังกาย
·      ผู้ป่วยรายงานว่ามีพลังงานมากขึ้นและสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยจนเกินไป
·      ผู้ป่วยสามารถแสดงการมีพลังในการใช้ชีวิตและรู้สึกสนุกกับกิจกรรมที่ทำ
Intervention
·      F32F2I-1 แนะนำให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ไม่หนักเกินไป เช่น การเดินเล่นในที่โล่งแจ้ง การออกกำลังกายเบาๆ เพื่อช่วยกระตุ้นพลังงาน
·      F32F2I-2 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอและนอนหลับเต็มที่เพื่อฟื้นฟูพลังงาน
·      F32F2I-3 ใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรม เช่น การตั้งเป้าหมายเล็กๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยเริ่มทำกิจกรรมได้
·      F32F2I-4 สนับสนุนการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล เพื่อช่วยให้ร่างกายมีพลังงานและฟื้นฟู
Response
·      F32F2R-1 ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกมีพลังงานมากขึ้นและสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยจนเกินไป
·      F32F2R-2 ผู้ป่วยเริ่มมีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมที่เคยชื่นชอบและเริ่มทำกิจกรรมเบาๆ ที่ช่วยเพิ่มพลังงาน
·      F32F2R-3 ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นและตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่น
………………………………………………
F32F3 เสี่ยงต่อความคิดฆ่าตัวตาย (Risk of self-harm or suicidal ideation))
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานว่า "มีความคิดอยากตาย" และ "รู้สึกไม่มีความหมายในชีวิต" บางครั้งรู้สึกว่าชีวิตไม่คุ้มค่าที่จะมีอยู่
O: ผู้ป่วยดูซึมเศร้า น้ำเสียงเบาและไม่แสดงความสนใจในกิจกรรมต่างๆ มีอารมณ์เศร้าและแสดงอาการท้อแท้ต่อการรักษา
Goals
·      ผู้ป่วยจะรายงานความคิดฆ่าตัวตายลดลงภายใน 1 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะสามารถระบุและแสดงออกถึงวิธีการรับมือกับความคิดฆ่าตัวตายได้ภายใน 2 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะมีความคิดในแง่บวกเกี่ยวกับอนาคตมากขึ้นภายใน 4 สัปดาห์
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยรายงานว่าความคิดฆ่าตัวตายลดลงและไม่มีความคิดที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง
·      ผู้ป่วยสามารถระบุวิธีการรับมือกับความคิดฆ่าตัวตาย เช่น การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญหรือการใช้วิธีผ่อนคลาย
·      ผู้ป่วยมีการปรับทัศนคติในชีวิตและแสดงท่าทางบวกขึ้น เช่น การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม
Intervention
·      F32F3I-1 การประเมินความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การถามเกี่ยวกับความคิดฆ่าตัวตายและการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่อาจเสี่ยง
·      F32F3I-2 สนับสนุนให้ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกและพูดคุยเกี่ยวกับความคิดฆ่าตัวตายอย่างเปิดเผย
·      F32F3I-3 แนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมการบำบัดทางจิตเวช เช่น การบำบัดพฤติกรรมทางปัญหาหรือการสนทนากับจิตแพทย์
·      F32F3I-4 ให้การศึกษาที่เกี่ยวกับการรับมือกับความเครียดและวิธีการลดความวิตกกังวล เช่น การฝึกการหายใจลึกๆ หรือการฝึกสมาธิ
·      F32F3I-5 สร้างเครือข่ายการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนเพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
Response
·      F32F3R-1 ผู้ป่วยรายงานว่าความคิดฆ่าตัวตายลดลงและไม่มีแผนที่จะทำร้ายตัวเอง
·      F32F3R-2 ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีรับมือกับความเครียดหรือความคิดเชิงลบที่มีและเริ่มมีท่าทางบวกขึ้น
·      F32F3R-3 ผู้ป่วยมีการพูดคุยกับทีมสุขภาพจิตหรือครอบครัวเมื่อเกิดความรู้สึกท้อแท้ หรือมีความคิดฆ่าตัวตาย
………………………………………
F32F4 เสี่ยงต่อการไม่สามารถดูแลตนเอง (Risk for impaired self-care)
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานรู้สึกหมดกำลังใจในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การทำความสะอาดตัวเอง หรือการรับประทานอาหาร
O: พบผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า ร่างกายซูบผอม และมีกิจวัตรประจำวันลดลง เช่น ไม่สามารถทำความสะอาดตัวเอง หรือทานอาหารได้ตามปกติ
Goals
·      ผู้ป่วยจะสามารถดูแลตนเองในกิจวัตรประจำวัน เช่น การทำความสะอาดตัวเองและการรับประทานอาหารได้ภายใน 1 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะมีระดับพลังงานที่ดีขึ้นและสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ด้วยตนเองภายใน 2 สัปดาห์
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีการดูแลตนเองได้
·      ผู้ป่วยสามารถทำความสะอาดตัวเองและรับประทานอาหารโดยไม่มีความช่วยเหลือจากบุคลากร
·      ผู้ป่วยเริ่มแสดงความสนใจในการทำกิจกรรมประจำวันมากขึ้น
Intervention
·      F32F4I-1 ให้การสนับสนุนในการทำกิจกรรมประจำวัน โดยเริ่มจากกิจกรรมง่ายๆ เช่น การช่วยผู้ป่วยทำความสะอาดตัวเอง
·      F32F4I-2 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและให้ความช่วยเหลือหากจำเป็น
·      F32F4I-3 ให้การประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันและปรับแผนการพยาบาลตามความต้องการ
·      F32F4I-4 จัดให้มีเวลาพักผ่อนที่เหมาะสมเพื่อฟื้นฟูพลังงาน
Response
·      F32F4R-1 ผู้ป่วยเริ่มมีความสนใจในการทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการดูแลตนเองมากขึ้น และสามารถทำความสะอาดตัวเองและรับประทานอาหารได้ด้วยตนเอง
·      F32F4R-2 ผู้ป่วยแสดงท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากได้รับการสนับสนุนในการดูแลตนเอง
…………………………………………
F32F5 เจ็บป่วยทางจิตที่เรื้อรัง  (Chronic mental health risk)
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานรู้สึกซึมเศร้าเรื้อรังและมีประวัติการกลับมาเป็นซึมเศร้าหลายครั้งในอดีต
O: พบอาการซึมเศร้ารุนแรงต่อเนื่อง มีการพูดหรือการแสดงออกถึงความรู้สึกหมดกำลังใจในระยะยาว การแสดงท่าทางและความคิดที่มีแนวโน้มในการลดลงในแง่ของพลังชีวิต
Goals
·      ผู้ป่วยจะสามารถรับรู้และจัดการกับอาการซึมเศร้าได้อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกำเริบในอนาคต
·      ผู้ป่วยจะสามารถแสดงท่าทางที่เป็นบวกและมีความหวังในอนาคตภายใน 2 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและวิธีการป้องกันการกำเริบ
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยสามารถอธิบายความเสี่ยงจากภาวะซึมเศร้าและวิธีการจัดการกับมันได้
·      ผู้ป่วยสามารถแสดงอาการที่เป็นบวกหรือสนใจในกิจกรรมในชีวิตประจำวันมากขึ้น
·      ผู้ป่วยมีท่าทีในเชิงบวกและเริ่มแสดงความหวังเกี่ยวกับอนาคต
Intervention
·      F32F5I-1 จัดให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม ทั้งทางการแพทย์และจิตวิทยา เช่น การใช้ยารักษาซึมเศร้า หรือการบำบัดทางจิต
·      F32F5I-2 ให้การสนับสนุนในเรื่องของการป้องกันการกำเริบและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มความสุข
·      F32F5I-3 จัดให้ผู้ป่วยมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินอาการซึมเศร้าและทำการปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม
·      F32F5I-4 ให้คำแนะนำและฝึกทักษะการจัดการความเครียดและอารมณ์อย่างมีประสิทธิภาพ
Response
·      F32F5R-1 ผู้ป่วยเริ่มรับรู้และเข้าใจในอาการซึมเศร้าและมีการใช้ทักษะการจัดการอารมณ์
·      F32F5R-2 ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่มีความหวังและสามารถร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีความสุขได้
·      F32F5R-3 ผู้ป่วยสามารถรับมือกับภาวะซึมเศร้าได้ดีขึ้นและมีการป้องกันการกำเริบในอนาคต
………………………………………………
F32F6 สูญเสียความรู้สึกสนุกสนาน (Ineffective coping)
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานรู้สึกว่าไม่สามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมหรือสิ่งที่เคยชอบทำ เช่น การอ่านหนังสือ, การออกกำลังกาย หรือการพบปะกับเพื่อน
O: พบผู้ป่วยมีท่าทางซึมเศร้า ไม่มีความสนใจในกิจกรรมหรือสิ่งแวดล้อมที่เคยชอบ และแสดงความรู้สึกหมดกำลังใจในการทำกิจกรรมต่างๆ
Goals
·      ผู้ป่วยจะสามารถระบุและกลับมาทำกิจกรรมที่เคยสนุกได้ภายใน 1 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะสามารถแสดงความสนใจในกิจกรรมที่มีความสุขหรือเพลิดเพลินได้ภายใน 2 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะมีความสามารถในการรับมือกับความเครียดและอารมณ์ได้ดีขึ้น
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยสามารถบอกได้ว่าเคยสนุกกับกิจกรรมอะไรบ้าง
·      ผู้ป่วยเริ่มกลับมาทำกิจกรรมที่เคยสนุกหรือแสดงความสนใจในกิจกรรมใหม่
·      ผู้ป่วยมีความสามารถในการระบุและใช้กลไกในการรับมือกับความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ
Intervention
·      F32F6I-1 สนับสนุนให้ผู้ป่วยเริ่มทำกิจกรรมที่เคยชอบ เช่น การอ่านหนังสือ การออกกำลังกาย หรือการทำงานอดิเรกที่มีความสุข
·      F32F6I-2 ส่งเสริมการใช้กลไกการรับมือกับความเครียด เช่น การฝึกหายใจลึก การทำสมาธิ หรือการบำบัดด้วยการพูดคุย (Cognitive Behavioral Therapy - CBT)
·      F32F6I-3 แนะนำให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในการทำกิจกรรมเพื่อสร้างความรู้สึกสำเร็จ
·      F32F6I-4 กระตุ้นให้ผู้ป่วยสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุน
Response
·      F32F6R-1 ผู้ป่วยเริ่มกลับมาทำกิจกรรมที่เคยสนุก เช่น การพูดคุยกับเพื่อนหรือออกกำลังกาย
·      F32F6R-2 ผู้ป่วยมีการแสดงออกถึงความสนุกและมีท่าทางที่ดีขึ้นในการทำกิจกรรม
·      F32F6R-3 ผู้ป่วยแสดงความสามารถในการจัดการกับความเครียดและแสดงท่าทางที่มีความหวัง
……………………………………………
F32F7 เสี่ยงต่อเกิดซึมเศร้าในอนาคต (Risk for recurrence of depression)
Assessment
S: ผู้ป่วยมีประวัติซึมเศร้าในอดีตและรายงานว่าเมื่อมีความเครียดหรือปัญหาชีวิต จะรู้สึกเหมือนกับอาการซึมเศร้าเริ่มกลับมาอีกครั้ง
O: พบว่าอาการซึมเศร้าเริ่มดีขึ้น แต่ยังมีการพูดถึงเหตุการณ์ที่อาจกระตุ้นให้เกิดความเครียดหรือซึมเศร้าในอนาคต เช่น ปัญหาทางการเงิน, ความสัมพันธ์ หรือการงาน
Goals
·      ผู้ป่วยจะสามารถระบุปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดซึมเศร้าในอนาคตได้ภายใน 1 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะสามารถใช้กลไกการรับมือกับความเครียดและอารมณ์เพื่อป้องกันการกลับมาของซึมเศร้าได้ภายใน 2 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะเข้าใจถึงความสำคัญของการรักษาต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกำเริบของอาการ
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยสามารถบอกได้ถึงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าในอนาคต
·      ผู้ป่วยสามารถแสดงการใช้ทักษะในการรับมือกับปัญหาที่อาจกระตุ้นอาการซึมเศร้า
·      ผู้ป่วยมีการปฏิบัติตามแผนการรักษาต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดซึมเศร้า
Intervention
·      F32F7I-1 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการระบุและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจกระตุ้นอาการซึมเศร้า เช่น ความเครียดจากการทำงานหรือความสัมพันธ์
·      F32F7I-2 สนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องทั้งทางการแพทย์และจิตวิทยา รวมถึงการใช้ยาและการบำบัด
·      F32F7I-3 สอนทักษะการจัดการความเครียดและอารมณ์ที่เหมาะสม เช่น การทำสมาธิ, การฝึกหายใจลึก, และการบำบัดด้วยความคิด
·      F32F7I-4 กระตุ้นให้ผู้ป่วยรักษากิจวัตรประจำวันที่มีความหมายและเพิ่มกิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น
Response
·      F32F7R-1 ผู้ป่วยสามารถรับมือกับปัญหาหรือปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดซึมเศร้าในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
·      F32F7R-2 ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกมั่นคงมากขึ้นและลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลับมาของอาการซึมเศร้า
·      F32F7R-3 ผู้ป่วยมีการติดตามแผนการรักษาอย่างต่อเนื่องและแสดงความกระตือรือร้นในการรักษาสุขภาพจิต
………………………………………
F32F8 วิตกกังวลสูงเกี่ยวกับการรักษาและอนาคต (Severe anxiety)
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการรักษาและอนาคต เช่น กังวลว่าอาการซึมเศร้าจะกลับมา, กังวลเกี่ยวกับการใช้ยา, หรือกังวลเกี่ยวกับอนาคตในการทำงานหรือชีวิตส่วนตัว
O: ผู้ป่วยแสดงอาการวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เช่น การกระสับกระส่าย, เหงื่อออก, การพูดเร็ว, หรือแสดงท่าทางเครียดเมื่อพูดถึงเรื่องการรักษาหรืออนาคต
Goals
·      ผู้ป่วยจะสามารถระบุแหล่งที่มาของความวิตกกังวลได้ภายใน 2 วัน
·      ผู้ป่วยจะสามารถใช้กลไกการรับมือกับความวิตกกังวลที่มีประสิทธิภาพได้ภายใน 1 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะรู้สึกมั่นใจและสบายใจมากขึ้นเกี่ยวกับการรักษาภายใน 2 สัปดาห์
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยสามารถบอกแหล่งที่มาของความวิตกกังวลได้ เช่น ความกลัวว่าการรักษาจะไม่ได้ผล
·      ผู้ป่วยเริ่มใช้เทคนิคการบำบัดหรือวิธีการรับมือกับความวิตกกังวล เช่น การหายใจลึก หรือการใช้ทักษะการผ่อนคลาย
·      ผู้ป่วยแสดงท่าทางสงบและมีความมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับการรักษาและอนาคต
Intervention
·      F32F8I-1 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา เช่น ผลข้างเคียงของยาและขั้นตอนการบำบัด เพื่อให้เข้าใจและลดความวิตกกังวล
·      F32F8I-2 สอนเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การฝึกหายใจลึก, การทำสมาธิ, หรือการใช้ภาพจินตนาการเชิงบวก
·      F32F8I-3 ใช้การบำบัดด้วยความคิด (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยระบุและทบทวนความคิดที่เป็นอุปสรรคในการจัดการกับความวิตกกังวล
·      F32F8I-4 กระตุ้นให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายเล็กๆ และทำตามแผนการรักษาเพื่อเสริมความมั่นใจในกระบวนการบำบัด
Response
·      F32F8R-1 ผู้ป่วยเริ่มใช้เทคนิคการผ่อนคลายเพื่อจัดการกับความวิตกกังวลและรู้สึกสงบขึ้น
·      F32F8R-2 ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจมากขึ้นในการรักษาและการฟื้นฟูตัวเอง
·      F32F8R-3 ความวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลง โดยสามารถจัดการกับความกังวลเกี่ยวกับการรักษาและอนาคตได้ดีขึ้น
……………………………………………
F32F9 ภาวะซึมเศร้าที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาก่อนหน้า  (Ineffective treatment response)
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานว่ามีอาการซึมเศร้ายังคงอยู่ แม้ได้รับการรักษาทั้งยาและการบำบัดในอดีต ผู้ป่วยรู้สึกว่ายาไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการหรือมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
O: ผู้ป่วยยังคงแสดงอาการซึมเศร้ารุนแรง เช่น รู้สึกหมดหวัง, เบื่อหน่าย, ไม่มีความสนใจในกิจกรรมต่างๆ, และไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
Goals
·      ผู้ป่วยจะสามารถระบุปัญหาหรืออุปสรรคที่ทำให้การรักษาก่อนหน้ายังไม่ได้ผลภายใน 3 วัน
·      ผู้ป่วยจะสามารถร่วมมือกับแพทย์ในการปรับแผนการรักษาหรือเปลี่ยนแปลงการรักษาภายใน 1 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงการตอบสนองที่ดีขึ้นต่อการรักษาภายใน 2 สัปดาห์ เช่น มีพลังงานเพิ่มขึ้นหรือเริ่มมีความสนใจในกิจกรรมต่างๆ
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยสามารถระบุสาเหตุที่ทำให้การรักษาก่อนหน้ายังไม่สำเร็จ เช่น ผลข้างเคียงจากยา หรือการไม่ตอบสนองต่อการบำบัด
·      ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการปรับแผนการรักษาหรือเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษา
·      อาการซึมเศร้าของผู้ป่วยเริ่มดีขึ้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น เช่น เริ่มมีกิจกรรมที่สนใจหรือสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้น
Intervention
·      F32F9I-1 ประเมินและหารือเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ป่วยกับการรักษาก่อนหน้า รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยาและการบำบัด
·      F32F9I-2 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยร่วมมือกับแพทย์ในการปรับยา หรือเปลี่ยนการบำบัด เช่น การปรับยาใหม่หรือการใช้วิธีบำบัดที่เหมาะสม
·      F32F9I-3 สอนเทคนิคการรับมือกับอาการซึมเศร้าที่มีประสิทธิภาพ เช่น การฝึกการผ่อนคลายหรือการใช้กลยุทธ์การปรับความคิด
·      F32F9I-4 ส่งเสริมการดูแลตัวเอง เช่น การนอนหลับที่เพียงพอ, การออกกำลังกายเบาๆ, และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
·      Response
·      F32F9R-1 ผู้ป่วยเริ่มมีการตอบสนองต่อการรักษา เช่น อาการซึมเศร้าลดลงหรือสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ดีขึ้น
·      F32F9R-2 ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับแผนการรักษาที่ปรับใหม่และมีความร่วมมือในการรักษา
·      F32F9R-3 ผู้ป่วยมีพลังงานและความสนใจในการทำกิจกรรมมากขึ้นและสามารถจัดการกับอารมณ์ได้ดีขึ้น
………………………………………
F32F10 เสี่ยงต่อการกลับมาซึมเศร้า (Risk for relapse)
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกดีขึ้นหลังการรักษา แต่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการละเลยการรักษาในอนาคต เช่น กลัวว่าจะหยุดยาเองหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์
O: ผู้ป่วยแสดงท่าทีไม่สนใจการรักษาหรือแสดงท่าทางไม่แน่ใจในการติดตามการรักษาต่อเนื่อง เช่น การไม่มาหมอในนัดหมาย หรือการข้ามการรับประทานยา
Goals
·      ผู้ป่วยจะมีความเข้าใจและยอมรับถึงความสำคัญของการรักษาต่อเนื่องภายใน 3 วัน
·      ผู้ป่วยจะสามารถทำตามแผนการรักษาและการติดตามผลการรักษาได้ต่อเนื่องภายใน 1 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะสามารถระบุสัญญาณเตือนของอาการซึมเศร้าที่กลับมาได้ภายใน 2 สัปดาห์
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยสามารถระบุถึงความสำคัญของการรักษาต่อเนื่องและการติดตามผลกับแพทย์
·      ผู้ป่วยทำตามคำแนะนำในการรักษา เช่น รับประทานยาอย่างต่อเนื่องและมาตามนัดกับแพทย์
·      ผู้ป่วยสามารถตรวจจับสัญญาณของอาการซึมเศร้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และแจ้งแพทย์หรือนักบำบัด
Intervention
·      F32F10I-1 อธิบายถึงความสำคัญของการรักษาต่อเนื่องและการติดตามผลการรักษาเพื่อป้องกันการกลับมาซึมเศร้า
·      F32F10I-2 ช่วยผู้ป่วยสร้างแผนการรักษาที่ชัดเจนและง่ายต่อการปฏิบัติตาม เช่น การตั้งนาฬิกาปลุกหรือการใช้แอปพลิเคชันสำหรับเตือนความจำในการรับประทานยา
·      F32F10I-3 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีกลยุทธ์การเผชิญหน้ากับความเครียดและอารมณ์เพื่อป้องกันอาการซึมเศร้าในอนาคต เช่น การฝึกหายใจลึกหรือการทำสมาธิ
·      F32F10I-4 ให้การสนับสนุนจากครอบครัวหรือเพื่อนเพื่อช่วยในการติดตามและสนับสนุนการรักษา
Response
·      F32F10R-1 ผู้ป่วยมีความมุ่งมั่นในการรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง
·      F32F10R-2 ผู้ป่วยเริ่มใช้กลยุทธ์ที่ได้เรียนรู้เพื่อจัดการกับความเครียดและอารมณ์
·      F32F10R-3 ผู้ป่วยสามารถตรวจจับอาการที่อาจกลับมาและแจ้งแพทย์หรือนักบำบัดได้ทันท่วงที
………………………………………………
F32F11 ขาดการประเมินอาการต่อเนื่อง (Failure to assess ongoing symptoms)
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานว่าอาการซึมเศร้ายังคงมีอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าแย่ลงหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้รับการประเมินอาการอย่างต่อเนื่องจากทีมแพทย์
O: ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า เช่น ความรู้สึกหมดกำลังใจหรือไม่สนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ พลังงานลดลงและการนอนไม่หลับ แต่ไม่เคยมีการประเมินอาการโดยละเอียดในระยะยาว
Goals
·      ผู้ป่วยจะได้รับการประเมินอาการซึมเศร้าอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่มาเยี่ยมเพื่อให้การรักษาเหมาะสมและทันท่วงที
·      ผู้ป่วยจะมีการประเมินอาการซึมเศร้าทุกสัปดาห์หรือทุกครั้งที่พบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
·      ผู้ป่วยจะสามารถแจ้งความรู้สึกเกี่ยวกับอาการและพัฒนาการของโรคได้ภายใน 1 สัปดาห์
Evaluate Criteria
·      การประเมินอาการซึมเศร้าของผู้ป่วยดำเนินไปตามแผนการดูแล
·      อาการที่สำคัญ เช่น ความรู้สึกหมดกำลังใจ หรืออาการด้านอื่นๆ ถูกบันทึกและแจ้งให้แพทย์ทราบ
·      ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกว่ามีการสนับสนุนและการดูแลอย่างเพียงพอในเรื่องการติดตามอาการ
Intervention
·      F32F11I-1 จัดให้มีการประเมินอาการซึมเศร้าอย่างต่อเนื่องในการพบแพทย์หรือการนัดหมายถัดไป โดยใช้เครื่องมือประเมินที่เหมาะสม เช่น GDS (Geriatric Depression Scale) หรือ PHQ-9 (Patient Health Questionnaire-9)
·      F32F11I-2 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยบันทึกอาการประจำวันเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินอาการในครั้งต่อไป
·      F32F11I-3 พูดคุยเกี่ยวกับความสำคัญของการประเมินอาการซึมเศร้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อการรักษาและปรับเปลี่ยนแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์
Response
·      F32F11R-1 ผู้ป่วยได้รับการประเมินอาการซึมเศร้าอย่างต่อเนื่องตามแผนการดูแล
·      F32F11R-2 ผู้ป่วยแสดงความเข้าใจและความร่วมมือในการบันทึกอาการเพื่อให้การประเมินอาการมีความแม่นยำ
·      F32F11R-3 ผู้ป่วยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความรู้สึกหรืออาการซึมเศร้าของตนเอง เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
………………………………………
F32F12 ส่งเสริมทักษะจัดการกับความเครียดและอารมณ์ (Promote stress and emotional management skills)
Assessment
S: ผู้ป่วยรายงานว่าไม่สามารถจัดการกับความเครียดและอารมณ์ได้ดี โดยมักรู้สึกหงุดหงิดและวิตกกังวลเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่เครียด
O: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่มีความเครียดสูง เช่น การพูดหรือทำการกระทำที่ไม่สามารถควบคุมได้ การแสดงอารมณ์หงุดหงิดหรือไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ผู้ป่วยไม่ได้ใช้ทักษะในการจัดการความเครียดที่เหมาะสม
Goals
·      ผู้ป่วยจะเรียนรู้และฝึกใช้ทักษะในการจัดการกับความเครียดและอารมณ์ในสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยเริ่มจากการฝึกหายใจลึกๆ หรือเทคนิคการผ่อนคลาย
·      ผู้ป่วยจะสามารถแสดงความรู้สึกได้อย่างเหมาะสม และมีวิธีการจัดการอารมณ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เครียดได้ภายใน 2 สัปดาห์
·      ผู้ป่วยจะใช้ทักษะในการจัดการอารมณ์เพื่อปรับสภาพจิตใจเมื่อเผชิญกับสถานการณ์กดดัน
Evaluate Criteria
·      ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการที่ใช้ในการจัดการความเครียดและอารมณ์ได้
·      ผู้ป่วยแสดงการใช้ทักษะที่ได้รับการฝึกฝนในการจัดการกับความเครียดในสถานการณ์ที่พบเจอ
·      ผู้ป่วยสามารถลดการแสดงออกของอารมณ์ที่ไม่เหมาะสมและใช้ทักษะในการควบคุมอารมณ์ในชีวิตประจำวันได้
Intervention
·      F32F12I-1 สอนทักษะการหายใจลึกๆ และการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เช่น เทคนิคการหายใจแบบลึก ๆ (Deep Breathing Exercises) หรือการฝึกสมาธิ (Mindfulness) เพื่อช่วยลดความเครียดและอารมณ์
·      F32F12I-2 สอนให้ผู้ป่วยระบุอารมณ์ของตนเอง และแนะนำวิธีการเปลี่ยนความคิดหรือมุมมองในสถานการณ์ที่เครียด เช่น การใช้ทักษะการคิดเชิงบวก (Cognitive Behavioral Therapy - CBT)
·      F32F12I-3 แนะนำให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อลดความเครียดจากงานหรือปัญหาชีวิต
·      F32F12I-4 ส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ
Response
·      F32F12R-1 ผู้ป่วยสามารถนำทักษะที่เรียนรู้มาใช้ในการจัดการกับความเครียดและอารมณ์ได้
·      F32F12R-2 ผู้ป่วยแสดงให้เห็นถึงการลดลงของอารมณ์หงุดหงิดและความเครียดในสถานการณ์ที่เครียด
·      F32F12R-3 ผู้ป่วยมีการปรับตัวและรู้สึกมีความมั่นคงในด้านอารมณ์มากขึ้น และสามารถรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
...................................................................

Bottom of Form