พัฒนาระบบบันทึกทางการพยาบาลบนกระดาษ เป็นการบันทึกทางการพยาบาลอิเล็กทรอนิกส์ [BH-PL.NR] ผ่านโปรแกรมเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์พุทธชินราช [EMRs Budhos-HIS paperless : EMRs BH-PL]
วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568
วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568
วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568
วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568
วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2568
วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2568
EP.78 จิตเวชหัวข้อ 38 : โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) F41.0
🌪 โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) | F41.0
เมื่อหัวใจเต้นแรง มือสั่น เหงื่อออก
โดยไม่รู้สาเหตุ อาจไม่ใช่แค่ความเครียด — แต่อาจเป็น "โรคตื่นตระหนก"
🧠 พยาธิสภาพ / ช่วงอายุที่พบบ่อย
- โรคนี้เกิดจากการทำงานผิดปกติของสารเคมีในสมอง ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดรุนแรงเกินจริง
- มักพบในช่วงอายุ 20–45 ปี และพบใน ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
🚨 อาการที่พบบ่อย
- ใจสั่น เหงื่อออก หายใจไม่ทัน
- เจ็บหน้าอก หน้ามืด รู้สึกเหมือนจะตาย
- อาการเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ใช้เวลา 10–30 นาที
- ❗️หลายคนคิดว่า "เป็นโรคหัวใจ" ทั้งที่ความจริงคือ "โรคตื่นตระหนก"
⚠️ ปัจจัยกระตุ้น
ความเครียดสะสม
- พันธุกรรม
- ประสบการณ์เลวร้ายในอดีต
- การใช้สารเสพติดหรือคาเฟอีนมากเกินไป
💊 การรักษา
- ยาคลายวิตกกังวล หรือยากลุ่ม SSRI
- การทำจิตบำบัด (CBT)
- การฝึกหายใจและการผ่อนคลาย
- ✔️ รักษาได้ และควบคุมอาการได้ หากพบแพทย์เร็ว
🩺 แนวทางการพยาบาล
- รับฟังอย่างไม่ตัดสิน
- อยู่กับผู้ป่วยเมื่อเกิดอาการ
- แนะนำการหายใจเข้า-ออกลึกๆ ช้าๆ
- ส่งต่อแพทย์เพื่อประเมินและรักษาต่อเนื่อง
🫶 การดูแลตนเองสำหรับบุคคลทั่วไป
- ฝึกสมาธิ ผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือเดินเบาๆ
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- หากมีอาการบ่อย ควรพบแพทย์ ไม่ต้องอาย เพราะ “ใจคุณก็ต้องการการดูแลเหมือนร่างกาย”
……………………………………………………….
🧡 ดูแลใจ...อย่าปล่อยให้ใจวิ่งหนีตัวเอง
📽 นำความรู้ดีๆ นี้แชร์ต่อ เพราะ “เข้าใจเร็ว = รักษาไว”
💥 "ใจเต้นแรง ไม่ได้แปลว่าคุณกำลัง ‘รัก’
เสมอไป… บางทีมันคือโรคที่หัวใจไม่ได้เป็นต้นเหตุ!"
📌 โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) รู้ก่อน… รอดก่อน
#ตื่นตระหนกไม่ใช่เรื่องเล่นๆ #PanicDisorder #ใจสั่นไม่ใช่โรคหัวใจ #สุขภาพจิตก็สำคัญ #พยาบาลเล่าให้ฟัง #รู้ก่อนป่วย #MentalHealthAwareness
#Reelsสุขภาพจิต #โรคจิตเวชต้องรู้ #อย่ามองข้ามใจตัวเอง
……………………………………………………..
🧠 วินิจฉัยการพยาบาลผู้ป่วยโรคตื่นตระหนก (Panic
Disorder) | F41.0
- F41.0F1 มีความวิตกกังวลและหวาดกลัวอย่างรุนแรงจนกระทบต่อระบบร่างกาย (Severe anxiety and fear affecting physiological functions) ผู้ป่วยมีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจเร็ว เหงื่อออก และกลัวว่าจะตาย ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
- F41.0F2 เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อตนเองจากอาการตื่นตระหนกเฉียบพลัน (Risk for self-harm due to panic attacks) ผู้ป่วยบางรายมีความคิดทำร้ายตนเองหรือหนีออกจากสถานที่เพื่อหลีกเลี่ยงความกลัวเฉียบพลัน
- F41.0F3 มีรูปแบบการหายใจไม่ปกติจากความเครียด (Ineffective breathing pattern related to anxiety) หายใจเร็ว ผิวหนังซีด หน้ามืด บางรายมีอาการ Hyperventilation จำเป็นต้องฝึกหายใจช้า-ลึก
- F41.0F4 มีความนับถือตนเองต่ำและรู้สึกด้อยคุณค่า (Low self-esteem and negative self-image) ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอ ไม่มีค่า รู้สึกผิดที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
- F41.0F5 ขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการดูแลตนเอง (Deficient knowledge about the illness and self-care) ผู้ป่วยไม่เข้าใจอาการของตนเอง และมักเข้าใจผิดว่าเป็นโรคหัวใจหรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ
- F41.0F6 มีรูปแบบการเผชิญปัญหาแบบหลีกเลี่ยงหรือไม่เหมาะสม (Ineffective coping related to stress response) ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ไม่กล้าออกจากบ้าน หรือเลิกงาน
- F41.0F7 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรับประทานยาหรือหยุดยาเอง (Risk for complications due to medication misuse or nonadherence) ผู้ป่วยอาจหยุดยาเองเพราะกลัวผลข้างเคียง หรือไม่เข้าใจความสำคัญของการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
- F41.0F8 มีความต้องการการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวหรือบุคคลรอบข้าง (Need for emotional support from family or caregivers) ครอบครัวอาจไม่เข้าใจอาการของผู้ป่วย ทำให้ขาดแรงสนับสนุนในการดูแลรักษา
- F41.0F9 มีความพร้อมบางส่วนในการเรียนรู้และฝึกฝนการดูแลตนเอง (Partial readiness for self-care and learning) ผู้ป่วยเริ่มเปิดใจรับฟังคำแนะนำจากพยาบาลและมีแนวโน้มเรียนรู้วิธีควบคุมอาการได้ดีขึ้น
- F41.0F10 มีความต้องการวางแผนจำหน่ายและติดตามต่อเนื่องหลังออกจากโรงพยาบาล (Need for discharge planning and follow-up care) เพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ควรมีการส่งต่อจิตแพทย์ นัดติดตาม และให้ครอบครัวมีส่วนร่วม
……………………………………………………
Bottom of
Form
F41.0F1: มีความวิตกกังวลและหวาดกลัวอย่างรุนแรงจนกระทบต่อระบบร่างกาย
(Severe anxiety and fear affecting physiological functions)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยบอกว่า “รู้สึกเหมือนจะตาย หายใจไม่ทัน ใจเต้นแรงมาก”
O:
- หายใจเร็ว RR > 22 ครั้ง/นาที
- หัวใจเต้นเร็ว HR > 100 bpm
- มือเย็น เหงื่อออก
- หน้าซีด กระสับกระส่าย
- วัดระดับความวิตกกังวล (Anxiety rating scale) สูง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวลลดลงภายใน 30–60 นาที
- ระบบการหายใจและการไหลเวียนโลหิตกลับสู่ค่าปกติ
- ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและสามารถควบคุมอาการได้
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- RR ≤ 20 ครั้ง/นาที
- HR ≤ 100 bpm
- สีผิวและการไหลเวียนดีขึ้น
- ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคหายใจช้าและบอกว่าสงบขึ้น
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F1I-1: ประเมินสัญญาณชีพทุก 15–30 นาทีในระยะที่มีอาการเฉียบพลัน เพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
- F41.0F1I-2: อยู่กับผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ให้ความรู้สึกปลอดภัยและลดความกลัว
- F41.0F1I-3: พูดคุยด้วยน้ำเสียงช้า นุ่มนวล ชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสงบลง
- F41.0F1I-4: แนะนำเทคนิคหายใจช้า-ลึก (deep breathing) หรือการหายใจเข้าทางจมูกออกทางปากช้าๆ
- F41.0F1I-5: จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบ ปลอดสิ่งกระตุ้น เช่น ปิดโทรทัศน์ ลดแสง
- F41.0F1I-6: ประเมินระดับความวิตกกังวลซ้ำหลังการแนะนำวิธีผ่อนคลาย
- F41.0F1I-7: ให้ความรู้ผู้ป่วยว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความวิตก ไม่ใช่โรคร้ายแรง
- F41.0F1I-8: หากอาการรุนแรงต่อเนื่อง ประสานแพทย์เพื่อให้ยาคลายกังวลตามคำสั่ง
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F1R-1: ผู้ป่วยหายใจช้าลง RR อยู่ในค่าปกติภายใน 30 นาที
- F41.0F1R-2: ผู้ป่วยบอกว่า “รู้สึกดีขึ้น ไม่กลัวเหมือนก่อน”
- F41.0F1R-3: สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ และไม่มีอาการมือสั่น เหงื่อออก
- F41.0F1R-4: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคหายใจเพื่อควบคุมอาการได้เอง
- F41.0F1R-5: ผู้ป่วยแสดงออกว่ารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อติดต่อกับพยาบาล
……………………………………………….
F41.0F2 : เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อตนเองจากอาการตื่นตระหนกเฉียบพลัน
(Risk for self-harm due to panic attacks)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “อยากหนีออกไปจากที่นี่ตอนที่มันเกิดขึ้น”, “รู้สึกไม่ไหวแล้ว เหมือนอยากให้มันจบ”
O:
- แสดงพฤติกรรมกระสับกระส่าย เดินวน พูดเร็ว
- เคยมีประวัติพยายามหนีจากสถานการณ์หรือสถานที่
- มีประวัติเคยทำร้ายตนเองหรือคิดฆ่าตัวตาย
- คะแนนประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย (Suicide Risk Assessment) อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยปลอดภัย ไม่เกิดอันตรายต่อตนเองในระยะวิกฤต
- ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมควบคุมตนเองได้เมื่อเกิดอาการ
- ผู้ป่วยสามารถบอกหรือแสดงออกถึงความต้องการความช่วยเหลือ
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ไม่มีการทำร้ายตนเองหรือพยายามหลบหนี
- ผู้ป่วยขอความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม
- แสดงความสามารถควบคุมอารมณ์และอาการได้ดีขึ้น
- พฤติกรรมลดความเสี่ยงปรากฏน้อยลงหรือหายไป
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F2I-1: ประเมินระดับความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองโดยใช้แบบประเมินที่เชื่อถือได้
- F41.0F2I-2: เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยอยู่กับผู้ป่วยตลอดช่วงที่มีอาการรุนแรง
- F41.0F2I-3: เก็บของมีคมหรือสิ่งที่อาจใช้ทำร้ายตนเองออกจากบริเวณผู้ป่วย
- F41.0F2I-4: พูดคุยกับผู้ป่วยอย่างอ่อนโยน รับฟังโดยไม่ตัดสิน เพื่อให้ผู้ป่วยกล้าเปิดใจ
- F41.0F2I-5: สอนเทคนิคควบคุมอารมณ์ เช่น หายใจลึก ฝึกสติ (Mindfulness)
- F41.0F2I-6: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความกลัวหรือความเครียด
- F41.0F2I-7: ประสานทีมสหวิชาชีพ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา เมื่อพบความเสี่ยงสูง
- F41.0F2I-8: บันทึกพฤติกรรมและการตอบสนองอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามความคืบหน้า
- F41.0F2I-9: สอนครอบครัวให้รู้จักสังเกตสัญญาณเตือนและวิธีช่วยเหลือเบื้องต้น
- F41.0F2I-10: วางแผนความปลอดภัยร่วมกับผู้ป่วยก่อนจำหน่าย (safety plan)
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F2R-1: ผู้ป่วยไม่แสดงพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือพยายามหลบหนี
- F41.0F2R-2: ผู้ป่วยพูดว่า “รู้ว่ามีคนอยู่ตรงนี้ รู้สึกปลอดภัยขึ้น”
- F41.0F2R-3: ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีผ่อนคลายที่เรียนรู้เพื่อลดอาการได้เอง
- F41.0F2R-4: ครอบครัวเข้าใจและร่วมสังเกตอาการได้
- F41.0F2R-5: ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการทำแผนความปลอดภัยและยอมรับการติดตามต่อเนื่อง
………………………………………………
🧠 วินิจฉัยการพยาบาล F41.0F3: มีรูปแบบการหายใจไม่ปกติจากความเครียด (Ineffective breathing
pattern related to anxiety)
🔍
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “หายใจไม่อิ่ม เหมือนจะขาดใจ”, “ใจสั่น หายใจเร็วมาก”
O:
- หายใจเร็วมากกว่า 24 ครั้ง/นาที
- ผิวหนังซีด เหงื่อออก
- หน้ามืด เวียนศีรษะเล็กน้อย
- บางรายพบอาการ Hyperventilation (หายใจเร็วและลึกผิดปกติ)
- ผลวัดค่า O2 saturation อาจปกติหรือสูงกว่าปกติเล็กน้อยในภาวะ hyperventilation
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยหายใจช้าลงและสม่ำเสมอมากขึ้น
- ผู้ป่วยไม่มีอาการหน้ามืด เวียนหัว หรือรู้สึกหายใจไม่อิ่ม
- ผู้ป่วยสามารถควบคุมลมหายใจได้ด้วยตนเองเมื่อมีอาการเกิดขึ้น
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 12–20 ครั้ง/นาที
- สีผิวเป็นปกติ ไม่มีอาการซีดหรือหน้ามืด
- ผู้ป่วยรายงานว่า “รู้สึกหายใจได้ปกติขึ้น”
- ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคฝึกหายใจได้ด้วยตนเอง
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F3I-1: ประเมินอัตราการหายใจ ลักษณะการหายใจ สีผิว และระดับความรู้สึกตัวทุก 2-4 ชั่วโมง
- F41.0F3I-2: ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งศีรษะสูง (High Fowler’s position) เพื่อให้หายใจสะดวก
- F41.0F3I-3: อยู่กับผู้ป่วยเพื่อให้ความมั่นใจในขณะเกิดอาการหายใจเร็ว
- F41.0F3I-4: สอนเทคนิคการหายใจลึก-ช้า เช่น สูดลมหายใจเข้าทางจมูก นับ 1–4 กลั้นหายใจ แล้วหายใจออกทางปากช้า ๆ
- F41.0F3I-5: ใช้ถุงกระดาษช่วยหายใจ (paper bag technique) กรณีผู้ป่วยมี hyperventilation ชัดเจน (เฉพาะรายที่แพทย์เห็นสมควร)
- F41.0F3I-6: สังเกตอาการซ้ำของ hyperventilation และความรุนแรงของอาการตื่นตระหนก
- F41.0F3I-7: ประเมินความรู้ของผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการหายใจผิดปกติและวิธีจัดการ
- F41.0F3I-8: กระตุ้นให้ผู้ป่วยฝึกหายใจช้า ๆ อย่างสม่ำเสมอเมื่อมีสัญญาณของความวิตกกังวล
- F41.0F3I-9: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยบันทึกอาการและวิธีรับมือที่ใช้ได้ผล
- F41.0F3I-10: ให้คำแนะนำครอบครัวเพื่อช่วยเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติของการหายใจ
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F3R-1: ผู้ป่วยหายใจในอัตราปกติ (12–20 ครั้ง/นาที)
- F41.0F3R-2: สีผิวผู้ป่วยดูเป็นปกติ ไม่มีเหงื่อออกหรือหน้ามืด
- F41.0F3R-3: ผู้ป่วยสามารถทำตามเทคนิคหายใจลึกได้เองเมื่อมีอาการ
- F41.0F3R-4: ผู้ป่วยบอกว่า “รู้สึกหายใจดีขึ้น ไม่เหมือนตอนแรก”
- F41.0F3R-5: ไม่มีอาการ hyperventilation ซ้ำในช่วงเฝ้าระวัง
…………………………………………………..
F41.0F4 : มีความนับถือตนเองต่ำและรู้สึกด้อยคุณค่า (Low self-esteem and negative self-image)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “รู้สึกตัวเองไม่มีค่าเลย”
- “ทำไมเราควบคุมตัวเองไม่ได้เลย”
- “เราเป็นภาระให้คนอื่น”
O:
- มีสีหน้าเศร้าหมอง
- ไม่สบตา ไม่พูดจา
- แยกตัว ไม่ร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น
- บางรายร้องไห้บ่อย
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถแสดงความรู้สึกในเชิงบวกต่อตนเองได้
- ผู้ป่วยสามารถร่วมกิจกรรมง่าย ๆ กับผู้อื่นได้
- ผู้ป่วยสามารถรับรู้และยอมรับความสามารถบางด้านของตนเองได้
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยพูดถึงตนเองด้วยถ้อยคำในเชิงบวกอย่างน้อย 1 ด้าน
- ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกับผู้อื่นอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ผู้ป่วยพูดคุยกับบุคลากรด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้น
- สีหน้าและอารมณ์ของผู้ป่วยดูสงบขึ้น
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F4I-1: ประเมินคำพูดและพฤติกรรมที่สะท้อนความรู้สึกต่ำต้อยของผู้ป่วยเป็นรายวัน
- F41.0F4I-2: อยู่ใกล้ชิด ให้ความสนใจ และรับฟังผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน
- F41.0F4I-3: สนับสนุนให้ผู้ป่วยพูดถึงสิ่งที่ตนทำได้ดีหรือความสามารถของตนเอง
- F41.0F4I-4: สะท้อนความสำเร็จเล็ก ๆ ที่ผู้ป่วยทำได้ เพื่อเสริมแรงในเชิงบวก
- F41.0F4I-5: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยร่วมทำกิจกรรมกลุ่มง่าย ๆ ที่ไม่สร้างความกดดัน
- F41.0F4I-6: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปกติของโรคตื่นตระหนก เพื่อช่วยลดความรู้สึกผิด
- F41.0F4I-7: ร่วมกับทีมสุขภาพจิตในการวางแผนฟื้นฟูความนับถือตนเองระยะยาว
- F41.0F4I-8: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยให้ข้อเสนอแนะในการดูแลตนเอง เพื่อเสริมความรู้สึกมีคุณค่า
- F41.0F4I-9: ชวนผู้ป่วยจดบันทึกสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองในแต่ละวัน
- F41.0F4I-10: ให้ครอบครัวหรือผู้ดูแลมีส่วนร่วมสนับสนุนด้านจิตใจในทางสร้างสรรค์
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F4R-1: ผู้ป่วยพูดถึงตนเองในเชิงบวกอย่างน้อย 1 ด้าน
- F41.0F4R-2: ผู้ป่วยมีสีหน้าและอารมณ์ดูผ่อนคลายมากขึ้น
- F41.0F4R-3: ผู้ป่วยเริ่มพูดคุยกับผู้อื่นหรือบุคลากรโดยไม่หลีกเลี่ยง
- F41.0F4R-4: ผู้ป่วยร่วมกิจกรรมง่าย ๆ ได้โดยไม่ปฏิเสธ
- F41.0F4R-5: ผู้ป่วยแสดงความหวังหรือแผนในอนาคตแม้เพียงเล็กน้อย
…………………………………………………..
F41.0F5: ขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการดูแลตนเอง
(Deficient knowledge about the illness and self-care)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “กลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจ”
- “ไม่รู้ว่าอาการที่เป็นเกิดจากอะไร”
- “รู้สึกเหมือนจะตายตอนที่เป็นอาการแบบนี้”
O:
- ผู้ป่วยแสดงความกังวลทุกครั้งเมื่อมีอาการ
- ถามซ้ำ ๆ ว่าตนเองจะหายหรือไม่
- ปฏิเสธการใช้ยาเพราะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยเข้าใจว่าอาการเกิดจากโรคตื่นตระหนก ไม่ใช่โรคทางกายร้ายแรง
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีรับมือเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการ
- ผู้ป่วยมีทัศนคติที่ดีขึ้นเกี่ยวกับโรคและการดูแลตนเอง
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยอธิบายลักษณะอาการของโรคตื่นตระหนกได้อย่างถูกต้อง
- ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการผ่อนคลายตนเองเมื่อเกิดอาการได้อย่างน้อย 1 วิธี
- ผู้ป่วยยอมรับแผนการรักษาและเข้าใจวัตถุประสงค์ของยา
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F5I-1: ประเมินระดับความรู้ ความเข้าใจ และความเชื่อเดิมเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วย
- F41.0F5I-2: อธิบายธรรมชาติของโรคตื่นตระหนกอย่างง่าย ให้เข้าใจว่าไม่ใช่โรคร้ายแรง
- F41.0F5I-3: แสดงภาพหรือวิดีโอประกอบ เพื่อช่วยให้เข้าใจกลไกการเกิดอาการ
- F41.0F5I-4: ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการเตือนล่วงหน้าและวิธีรับมือ เช่น การหายใจลึก ช้า
- F41.0F5I-5: สอนเทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจแบบ 4-7-8 หรือ progressive muscle relaxation
- F41.0F5I-6: แนะนำแนวทางปฏิบัติตนเมื่ออยู่บ้าน เช่น การจดบันทึกอารมณ์/กระตุ้นการผ่อนคลาย
- F41.0F5I-7: อธิบายวัตถุประสงค์ของยาและวิธีใช้ เพื่อเพิ่มความร่วมมือในการรักษา
- F41.0F5I-8: จัดกิจกรรมกลุ่มให้ผู้ป่วยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อเรียนรู้จากผู้อื่น
- F41.0F5I-9: ให้เอกสารสรุปความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคที่อ่านเข้าใจง่าย
- F41.0F5I-10: ประสานทีมสุขภาพจิตติดตามผลการเรียนรู้และความเข้าใจต่อเนื่อง
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F5R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายว่าอาการเกิดจากโรคตื่นตระหนก ไม่ใช่โรคหัวใจ
- F41.0F5R-2: ผู้ป่วยเข้าใจวิธีผ่อนคลายและสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
- F41.0F5R-3: ผู้ป่วยลดความกลัวตายหรือกลัวโรคร้ายแรงลง
- F41.0F5R-4: ผู้ป่วยยอมรับและร่วมมือในการใช้ยาและเข้ารับการบำบัด
- F41.0F5R-5: ผู้ป่วยแสดงความมั่นใจว่า "ตนสามารถรับมือได้หากเกิดอาการอีก"
………………………………………………..
F41.0F6: มีรูปแบบการเผชิญปัญหาแบบหลีกเลี่ยงหรือไม่เหมาะสม
(Ineffective coping related to stress response)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “ไม่กล้าออกจากบ้าน กลัวจะเป็นอีก”
- “ลาออกจากงาน เพราะเครียดเวลาต้องเจอคนเยอะ”
- “เลี่ยงสถานที่ที่เคยเกิดอาการ”
O:
- ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมและปฏิเสธกิจกรรมที่เคยทำ
- ผู้ป่วยมีท่าทีวิตกเมื่อพูดถึงสถานการณ์ที่กระตุ้นอาการ
- มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงซ้ำ ๆ และแยกตัวมากขึ้น
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่เคยหลีกเลี่ยงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
- ผู้ป่วยมีวิธีเผชิญปัญหาที่เหมาะสมกับความเครียด
- ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้มากขึ้น
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถเผชิญสถานการณ์ที่กลัวอย่างน้อย 1 สถานการณ์
- ผู้ป่วยมีทักษะในการจัดการความเครียดด้วยตนเอง
- ผู้ป่วยลดพฤติกรรมการหลีกเลี่ยงในชีวิตประจำวัน
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F6I-1: ประเมินพฤติกรรมการเผชิญปัญหาเดิมและสถานการณ์ที่ผู้ป่วยหลีกเลี่ยง
- F41.0F6I-2: รับฟังและยอมรับความรู้สึกของผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน
- F41.0F6I-3: ให้ความรู้เกี่ยวกับวงจรความเครียดและผลของการหลีกเลี่ยง
- F41.0F6I-4: แนะนำเทคนิคผ่อนคลาย เช่น หายใจลึก, mindfulness ก่อนเผชิญสถานการณ์ที่กลัว
- F41.0F6I-5: วางแผนร่วมกับผู้ป่วยในการเผชิญสถานการณ์ที่กลัวแบบเป็นขั้นตอน (exposure therapy)
- F41.0F6I-6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยลองทำกิจกรรมเล็ก ๆ ที่เคยหลีกเลี่ยง เช่น ออกไปหน้าบ้าน
- F41.0F6I-7: ชมเชยและให้กำลังใจเมื่อผู้ป่วยมีความพยายามในการเผชิญปัญหา
- F41.0F6I-8: ส่งต่อพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาสำหรับการฝึกพฤติกรรมปรับตัวเพิ่มเติม
- F41.0F6I-9: สนับสนุนให้มีผู้ดูแลหรือญาติร่วมอยู่ในกิจกรรมการเผชิญปัญหาเพื่อสร้างความมั่นใจ
- F41.0F6I-10: ติดตามผลพฤติกรรมการเผชิญสถานการณ์ของผู้ป่วยเป็นระยะ
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F6R-1: ผู้ป่วยสามารถออกจากบ้านและเผชิญสถานการณ์เดิมได้บางส่วน
- F41.0F6R-2: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคผ่อนคลายเมื่อรู้สึกเครียด
- F41.0F6R-3: ผู้ป่วยลดพฤติกรรมการหลีกเลี่ยง และเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ
- F41.0F6R-4: ผู้ป่วยรายงานว่ารู้สึกมั่นใจและควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
- F41.0F6R-5: ผู้ป่วยแสดงออกถึงความพร้อมในการเผชิญปัญหาอย่างเหมาะสมมากขึ้น
……………………………………………….
F41.0F7: เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรับประทานยาหรือหยุดยาเอง
(Risk for complications due to medication misuse or nonadherence)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “ไม่อยากกินยา กลัวติด”
- “กินยาแล้วง่วง อยากหยุดเอง”
- “ไม่รู้ว่าต้องกินตลอด หรือแค่ตอนเป็น”
O:
- ผู้ป่วยขาดความรู้เกี่ยวกับยาที่ใช้
- ผู้ป่วยไม่มีตารางการกินยาอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยไม่ได้ติดตามอาการหลังรับประทานยา
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยรับประทานยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอตามแผนการรักษา
- ผู้ป่วยเข้าใจประโยชน์ ผลข้างเคียง และความสำคัญของการรับประทานยา
- ลดความเสี่ยงการหยุดยาเองหรือการใช้ยาไม่เหมาะสม
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายเหตุผลของการใช้ยาได้
- ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการรับประทานยาสม่ำเสมอ
- ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการหยุดยาเองหรือใช้ยาเกินขนาด
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F7I-1: ประเมินความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับยาที่ได้รับ
- F41.0F7I-2: อธิบายข้อมูลยาให้ชัดเจน เช่น ประโยชน์, ผลข้างเคียง, ระยะเวลาในการใช้
- F41.0F7I-3: สร้างความมั่นใจว่าผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักเป็นชั่วคราวและสามารถจัดการได้
- F41.0F7I-4: สอนเทคนิคการจำเวลารับประทานยา เช่น ใช้นาฬิกาเตือน หรือแอปพลิเคชัน
- F41.0F7I-5: กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องการรักษาร่วมกับแพทย์
- F41.0F7I-6: จัดให้มีตารางติดตามผลการใช้ยาและผลข้างเคียงอย่างสม่ำเสมอ
- F41.0F7I-7: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของญาติหรือผู้ดูแลในการสังเกตและช่วยเตือนรับประทานยา
- F41.0F7I-8: ประเมินเจตคติของผู้ป่วยเกี่ยวกับยาและปรับความเข้าใจหากมีความเข้าใจผิด
- F41.0F7I-9: ให้คำแนะนำเรื่องการหยุดยาที่ปลอดภัยต้องทำร่วมกับแพทย์เท่านั้น
- F41.0F7I-10: ส่งต่อเภสัชกรหรือทีมจิตเวชเพิ่มเติม หากพบพฤติกรรมเสี่ยงต่อการใช้ยาผิด
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F7R-1: ผู้ป่วยรับประทานยาได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่ลืม
- F41.0F7R-2: ผู้ป่วยอธิบายข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับยาที่ใช้ได้อย่างถูกต้อง
- F41.0F7R-3: ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมหยุดยาหรือใช้ยาผิดวิธี
- F41.0F7R-4: ผู้ป่วยร่วมมือในการติดตามอาการและรายงานผลข้างเคียงกับทีมรักษา
- F41.0F7R-5: ผู้ดูแลสามารถช่วยสนับสนุนการใช้ยาได้อย่างเหมาะสม
………………………………………………….
F41.0F8 : ความต้องการการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวหรือบุคคลรอบข้าง
(Need for emotional support from family or caregivers)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “ครอบครัวไม่เข้าใจ ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว”
- “ไม่มีใครอยู่ใกล้เวลารู้สึกกลัว”
- “อยากให้ใครสักคนเข้าใจและช่วยเหลือ”
O:
- ครอบครัวไม่เข้าร่วมดูแลหรือให้กำลังใจ
- ผู้ป่วยแสดงอาการเครียดหรือวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเมื่อขาดการสนับสนุน
- ขาดการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้ป่วยกับครอบครัว
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์จากครอบครัวหรือผู้ดูแล
- ครอบครัวเข้าใจอาการและวิธีช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเหมาะสม
- เพิ่มความรู้สึกปลอดภัยและลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ครอบครัวหรือผู้ดูแลแสดงการสนับสนุนทางอารมณ์อย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกได้รับความช่วยเหลือและเข้าใจจากคนรอบข้าง
- ผู้ป่วยแสดงอาการวิตกกังวลลดลงในสถานการณ์ที่ได้รับการสนับสนุน
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F8I-1: ประเมินความรู้และความเข้าใจของครอบครัวเกี่ยวกับโรคและอาการของผู้ป่วย
- F41.0F8I-2: ให้คำแนะนำครอบครัวเกี่ยวกับวิธีการสนับสนุนทางอารมณ์ เช่น การฟังอย่างใจเย็นและให้กำลังใจ
- F41.0F8I-3: จัดกิจกรรมอบรมหรือพูดคุยกลุ่มครอบครัวเพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับโรคตื่นตระหนก
- F41.0F8I-4: สนับสนุนให้ครอบครัวเข้าร่วมการวางแผนดูแลและติดตามอาการของผู้ป่วย
- F41.0F8I-5: แนะนำวิธีสื่อสารที่ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลของผู้ป่วย
- F41.0F8I-6: ประสานงานกับทีมสุขภาพจิตหรือกลุ่มสนับสนุนเพื่อเพิ่มเครือข่ายช่วยเหลือ
- F41.0F8I-7: สังเกตและแจ้งทีมสุขภาพเมื่อพบครอบครัวที่มีปัญหาหรือไม่สนับสนุนผู้ป่วยอย่างเหมาะสม
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F8R-1: ครอบครัวแสดงความเข้าใจและให้การสนับสนุนทางอารมณ์แก่ผู้ป่วย
- F41.0F8R-2: ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและมีความมั่นใจในสถานการณ์ที่มีครอบครัวอยู่ด้วย
- F41.0F8R-3: ความวิตกกังวลของผู้ป่วยลดลงเมื่อได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว
- F41.0F8R-4: มีการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้ป่วยและครอบครัว
- F41.0F8R-5: ครอบครัวเข้าร่วมและมีส่วนร่วมในแผนการดูแลรักษาผู้ป่วย
………………………………………………………
F41.0F9 : มีความพร้อมบางส่วนในการเรียนรู้และฝึกฝนการดูแลตนเอง
(Partial readiness for self-care and learning)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “เริ่มเข้าใจคำแนะนำและอยากลองทำตาม”
- “อยากรู้วิธีควบคุมอาการให้ดีขึ้น”
- “บางครั้งยังรู้สึกกังวลแต่พยายามปรับตัว”
O:
- ผู้ป่วยมีท่าทีเปิดใจฟังและตั้งใจเรียนรู้
- ปฏิบัติตามคำแนะนำบางส่วนได้อย่างถูกต้อง
- มีการตั้งคำถามหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติมในเรื่องการดูแลตนเอง
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะในการควบคุมอาการตื่นตระหนก
- ลดความถี่และความรุนแรงของอาการโดยใช้วิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยแสดงทักษะการควบคุมอาการด้วยตนเองได้เพิ่มขึ้น
- สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเองได้อย่างน้อย 70%
- รายงานความรู้สึกควบคุมอาการและความวิตกกังวลได้ดีขึ้น
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F9I-1: ประเมินความเข้าใจและทัศนคติของผู้ป่วยต่อการดูแลตนเอง
- F41.0F9I-2: ให้คำแนะนำและสอนเทคนิคควบคุมอาการ เช่น การหายใจช้า ๆ และการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- F41.0F9I-3: กระตุ้นให้ผู้ป่วยทดลองปฏิบัติและให้คำชมเมื่อปฏิบัติถูกต้อง
- F41.0F9I-4: จัดการประชุมหรือให้ข้อมูลเสริมโดยใช้สื่อที่เข้าใจง่าย เช่น แผ่นพับหรือวิดีโอ
- F41.0F9I-5: สนับสนุนผู้ป่วยตั้งเป้าหมายการดูแลตนเองที่เป็นไปได้จริง
- F41.0F9I-6: ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
- F41.0F9I-7: สร้างความเชื่อมั่นและลดความกลัวในการเรียนรู้ผ่านการสนับสนุนเชิงบวก
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F9R-1: ผู้ป่วยแสดงความตั้งใจและความพร้อมในการเรียนรู้วิธีดูแลตนเองมากขึ้น
- F41.0F9R-2: ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคควบคุมอาการในสถานการณ์จริงได้
- F41.0F9R-3: อาการตื่นตระหนกลดลงเมื่อใช้วิธีการดูแลตนเองที่ถูกต้อง
- F41.0F9R-4: ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกมั่นใจและมีแรงจูงใจในการดูแลตนเองมากขึ้น
- F41.0F9R-5: การปฏิบัติการดูแลตนเองมีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
……………………………………………………
F41.0F10 : มีความต้องการวางแผนจำหน่ายและติดตามต่อเนื่องหลังออกจากโรงพยาบาล
(Need for discharge planning and follow-up care)
🔍 Assessment (การประเมิน)
S:
- “อยากกลับบ้านแต่กังวลว่าจะควบคุมอาการไม่ได้”
- “กลัวว่าอาการจะกลับมาอีก”
- “ต้องการความช่วยเหลือจากครอบครัวและทีมแพทย์”
O:
- ผู้ป่วยมีอาการตื่นตระหนกลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำ
- มีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้ยาและการดูแลตนเอง
- ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลและพร้อมให้การสนับสนุน
🎯 Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยได้รับการวางแผนจำหน่ายที่เหมาะสมและปลอดภัย
- ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้และความเข้าใจในการดูแลหลังจำหน่าย
- มีระบบติดตามอาการและรับบริการต่อเนื่องจากทีมสุขภาพ
- ลดโอกาสเกิดอาการกำเริบหลังออกจากโรงพยาบาล
📊 Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถอธิบายแผนการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาลได้
- นัดหมายการติดตามกับจิตแพทย์หรือผู้ดูแลสุขภาพครบถ้วน
- ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาและการดูแลตนเองหลังจำหน่าย
- ไม่มีเหตุการณ์อาการกำเริบที่รุนแรงในระยะ 1 เดือนหลังจำหน่าย
🛠️ Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F41.0F10I-1: ประเมินความพร้อมและความเข้าใจของผู้ป่วยและครอบครัวในการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาล
- F41.0F10I-2: จัดทำแผนจำหน่ายร่วมกับทีมสุขภาพและผู้ป่วย รวมถึงกำหนดนัดติดตามผล
- F41.0F10I-3: สอนและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
- F41.0F10I-4: ให้คำแนะนำครอบครัวเกี่ยวกับวิธีสนับสนุนและสังเกตอาการผิดปกติ
- F41.0F10I-5: ประสานงานกับจิตแพทย์หรือคลินิกจิตเวชสำหรับการติดตามผล
- F41.0F10I-6: จัดทำเอกสารแผนการดูแลและติดต่อช่องทางฉุกเฉินเมื่อเกิดอาการ
- F41.0F10I-7: กระตุ้นให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการวางแผนและตัดสินใจดูแลตนเอง
✅ Response (การตอบสนอง)
- F41.0F10R-1: ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเข้าใจและพร้อมในการดูแลหลังออกจากโรงพยาบาล
- F41.0F10R-2: นัดติดตามและการสื่อสารกับทีมสุขภาพเป็นไปตามแผน
- F41.0F10R-3: ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้ยาและการดูแลตนเองได้ดี
- F41.0F10R-4: ไม่มีเหตุการณ์อาการกำเริบรุนแรงภายในระยะเวลาติดตาม
…………………………………………………………….
เอกสารอ้างอิง (References)
- กรมสุขภาพจิต. (2564). แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรควิตกกังวลและโรคตื่นตระหนก. กระทรวงสาธารณสุข.
- สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย. (2563). คู่มือการดูแลและรักษาผู้ป่วยโรคตื่นตระหนก. กรุงเทพฯ: สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย.
- American Psychiatric Association. (2013). Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (5th ed.). Arlington, VA: American Psychiatric Publishing.
- National Institute for Health and Care Excellence (NICE). (2011). Panic disorder and agoraphobia in adults: Management. NICE Clinical Guideline CG113. Retrieved from https://www.nice.org.uk/guidance/cg113
EP.77 จิตเวชหัวข้อ 37 : โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) F60.8
Psych.
Topic 37 : Narcissistic Personality Disorder : F60.8
โรคหลงตัวเองไม่ใช่ปัญหาทางจิตเล็กๆ
แต่เป็นความผิดปกติของบุคลิกภาพที่ส่งผลกระทบจนต้องได้รับการดูแลด้วย จิตบำบัด และ
การสนับสนุนจากคนรอบข้าง เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตและความสัมพันธ์ในสังคม
พยาธิสภาพ
/ ส่วนใหญ่เป็นช่วงอายุเท่าไร
- โรคหลงตัวเองเป็นความผิดปกติของบุคลิกภาพ ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกยิ่งใหญ่ มีความต้องการความชื่นชมอย่างต่อเนื่อง และขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
- เริ่มเห็นอาการชัดเจนใน วัยรุ่นตอนปลาย – วัยผู้ใหญ่ตอนต้น
อาการ
- คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ เหนือกว่าคนอื่น
- ต้องการคำชมย้ำๆ ไม่ชอบถูกวิจารณ์
- ขาดความสามารถเข้าใจหรือเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
- ใช้คนอื่นเพื่อประโยชน์ตัวเอง
- รู้สึกอิจฉาคนอื่น หรือเชื่อว่าคนอื่นก็อิจฉาตนเอง
- มีท่าทีหยิ่ง หรือตัดสินคนอื่นต่ำลง
ปัจจัยที่ทำให้เกิด
- พันธุกรรม: คนในครอบครัวที่มีบุคลิกภาพผิดปกติมีแนวโน้มมากขึ้น
- การเลี้ยงดูในวัยเด็ก:
- ถูกยกย่องเกินจริง หรือ
- ถูกละเลยจนขาดการเอาใจใส่จากพ่อแม่
- สภาพแวดล้อมทางสังคม: วัฒนธรรมที่เน้นการแข่งขัน ความสำเร็จ และสถานะทางสังคม
การรักษา
✔️ จิตบำบัดระยะยาว เช่น:
- จิตบำบัดเชิงลึก (psychodynamic)
- จิตบำบัดพฤติกรรม (CBT) เพื่อช่วยเสริมความเห็นอกเห็นใจและควบคุมพฤติกรรม
✔️ ยา: ไม่มียารักษาเฉพาะ NPD
แต่อาจใช้กับอาการร่วม เช่น ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
✔️ บำบัดกลุ่ม/ครอบครัว: ช่วยให้ผู้ป่วยฝึกเข้าสังคมและรับมุมมองจากผู้อื่นได้ดีขึ้น
การพยาบาล
- มาตั้งขอบเขต (boundary) ให้ชัดเจนและยืดหยุ่น
- ใช้ ภาษาเชิงร่วมตัว เช่น “เราเห็นว่าคุณ…” แทนการใช้น้ำเสียงตำหนิ
- ให้กำลังใจในการเข้ารับการรักษา และอธิบายประโยชน์ของการรักษาทางจิต
- สังเกต อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่น รายนามหงุดหงิด ความเครียดสูง
- ประสานเข้ากับนักจิตบำบัด เพื่อเสริมแนวทางการดูแลอย่างเป็นองค์รวม
การดูแลสำหรับบุคคลทั่วไป
- หลีกเลี่ยงการโต้เถียงพาตัวเข้าไปในอารมณ์
- พูดด้วยความเคารพ ใช้คำว่า “ฉันรู้สึก…” แทนการตัดสิน
- ตั้งขอบเขตในความสัมพันธ์อย่างเหมาะสม
- ส่งเสริมให้ ค้นหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
- ดูแลอารมณ์ตัวเองให้ดี ไม่ละเลยความรู้สึกของตนเอง
……………………………..
🧠 คำคมเปิดคลิป Reels
🧩“หลงตัวเองไม่ได้แปลว่ามั่นใจ...
อาจเป็นสัญญาณของความว่างเปล่าภายใน”
⚡“รู้จักโรคหลงตัวเอง... กว่าที่คิด”
อ่านลงลึกทางกาพยาบาลได้:
#โรคหลงตัวเอง
#Narcissist #สุขภาพจิต #จิตเวช #เข้าใจตัวเอง #Reelsไทย #แชร์ต่อ
#คลิปสั้น #ตระหนักรู้ #เข้าใจจิตใจ
…………………………
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
- F60.8F1 ขาดความสามารถในการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (Impaired empathy)
- F60.8F2 ความต้องการคำชื่นชมสูง (Risk for low self‑esteem related to need for excessive admiration)
- F60.8F3 พฤติกรรมเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Ineffective interpersonal relationship)
- F60.8F4 อาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้าแฝง (Anxiety or depressive mood related)
- F60.8F5 พฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อถูกคัดค้าน (Risk for aggression or hostility)
- F60.8F6 การสื่อสารไม่ตรงประเด็นหรือประณีต (Ineffective communication)
- F60.8F7 ยึดติดอัตลักษณ์เกินจริง (Risk for identity disturbance)
- F60.8F8 ความไม่สม่ำเสมอในการรับบริการทางจิต (Non‑adherence to treatment)
- F60.8F9 เสี่ยงต่อภาวะสุขภาพจิตแทรกซ้อน (Risk for complicated mental health condition)
- F60.8F10 ความต้องการแผนจำหน่ายและติดตาม (Readiness for discharge planning)
………………………………………….
📝 การวางแผนดูแลพยาบาล F60.8F1: ขาดความสามารถในการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (Impaired empathy)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยระบุว่า “ไม่เข้าใจว่าคนรอบข้างรู้สึกอย่างไร”
O:
- พฤติกรรมพูดข่มผู้อื่น หรือไม่แสดงความสนใจเมื่อผู้อื่นแสดงอารมณ์
- ไม่มีการสะท้อนกลับของประสบการณ์ทางอารมณ์ของผู้อื่น
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยจะสามารถสะท้อนความรู้สึกของผู้อื่นอย่างแม่นยำและสุภาพภายใน 2 สัปดาห์
- มีท่าทีเห็นใจ และตอบสนองต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสมในสถานการณ์จำลอง
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ตรวจสอบผู้ป่วยสามารถระบุอารมณ์ผู้อื่นใน 3/5 กรณีจำลอง
- พยาบาลประเมินท่าทีเห็นอกเห็นใจจากบทสนทนาจริง ≥ 4/5 ครั้ง
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F60.8F1I-1: สอนเทคนิค “active listening” เช่น พยุงคำพูดกลับ เช่น “คุณรู้สึกว่าถูกมองข้ามใช่ไหม?”
- F60.8F1I-2: ใช้ role‑play สลับบทบาทแสดงอารมณ์ผู้อื่น เพื่อให้ผู้ป่วยฝึกให้ข้อคิดเห็นเชิงเห็นใจ
- F60.8F1I-3: ให้ตอบคำถามเปิดท้าย เช่น “คุณคิดว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรเมื่อได้ยินสิ่งนี้?”
- F60.8F1I-4: ให้ส่งเสริมเชิงชมเมื่อแสดงพฤติกรรมเข้าใจผู้อื่น เช่น “คุณฟังเข้าใจดีค่ะ”
- F60.8F1I-5: สร้างตารางสะท้อนอารมณ์ผู้อื่น (Emotion reflection log) ให้ผู้ป่วยบันทึกหลังมีการสนทนา
- F60.8F1I-6: ประสานนักจิตบำบัดจัดเซสชันกลุ่มเพื่อฝึกฝน empathy ร่วมกับเพื่อนร่วมกลุ่ม
Response (การตอบสนอง)
- F60.8F1R-1: ผู้ป่วยสามารถสะท้อนความรู้สึกผู้อื่นได้แม่นยำ ≥ 3/5 ครั้ง
- F60.8F1R-2: แสดงพฤติกรรมสนับสนุนหรือให้กำลังใจต่อผู้อื่นอย่างน้อย 2 ครั้งตลอดวัน
- F60.8F1R-3: ทำบันทึก Emotion log อย่างต่อเนื่อง ≥ 5 วัน
- F60.8F1R-4: ผู้ป่วยขอความช่วยเหลือหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอารมณ์ผู้อื่นโดยอิสระ
- F60.8F1R-5 (ถ้ามี): ร่วมกิจกรรมกลุ่มและให้ปฏิสัมพันธ์เชิงเห็นอกเห็นใจ
……………………………………………………
F60.8F2 ความต้องการคำชื่นชมสูง
(Risk for low self esteem related to need for excessive admiration)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยมักพูดว่า “ฉันต้องได้รับคำชมเพื่อรู้ว่าตัวเองมีค่า”
- ระบุรู้สึกต่ำต้อยหากไม่ได้รับการยอมรับ
O (Objective):
- แสดงพฤติกรรมอวดดีหรือพูดโอ้อวดบ่อย
- หยุดทำงานหรือปฏิเสธงานเมื่อไม่ได้รับคำชื่นชม
- มีอาการวิตก ซึม หรือโกรธเมื่อถูกวิจารณ์ หรือไม่ได้รับการชมงาน
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีการสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองจากผลงานจริงภายใน 1–2 สัปดาห์
- ผู้ป่วยสามารถใช้คำพูดเชิงบวกกับตนเอง (self‑affirmation) อย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- มีการพูดถึงผลงานของตนอย่างเหมาะสมโดยไม่มีคำว่า "ต้องมีคำชม" ≥ 4/5 ครั้งต่อวัน
- ผู้ป่วยเขียนบันทึก self‑affirmation ได้อย่างต่อเนื่อง ≥ 5 วัน
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F60.8F2I-1: ให้ผู้ป่วยเขียนบันทึก “วันนี้ฉันทำได้ดีเรื่อง…” ทุกเย็น เพื่อฝึก self‑validation
- F60.8F2I-2: กระตุ้นให้ ผู้ป่วยกล่าวชื่นชมตนเอง เช่น “ฉันภาคภูมิใจที่…” วันละอย่างน้อย 3 ครั้ง
- F60.8F2I-3: ใช้เทคนิคเสริมกำลังใจ (positive reinforcement) ชมผู้ป่วยเมื่อจับได้ว่าชมตนเองอย่างเหมาะสม
- F60.8F2I-4: จัดกิจกรรมสะท้อนคุณค่า เช่น วาดภาพ หรือเขียนจดหมายถึงตัวเองหลังต้องเผชิญความล้มเหลว
- F60.8F2I-5: สอน CBT เบื้องต้น เช่น สังเกตความคิดเชิงซ้ำ (“หากไม่มีคนชม ฉันไม่ดี”) และปรับเป็น “ฉันทำดีที่สุดแล้ว”
- F60.8F2I-6: ประสานนักจิตบำบัดจัดกลุ่มผู้ป่วยฝึกการเสริมคุณค่าตนเองโดยไม่พึ่งผู้อื่น
Response (การตอบสนอง)
- F60.8F2R-1: ผู้ป่วยเขียน self‑affirmation ได้ครบ 5 วันติดต่อกัน
- F60.8F2R-2: เริ่มพูดชื่นชมตนเองอย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน
- F60.8F2R-3: พยาบาลติดตามเห็นการใช้ self‑validation ≥ 4/5 ครั้งต่อวัน
- F60.8F2R-4: ผู้ป่วยแสดงอารมณ์สงบขึ้นเมื่อต้องไม่ได้รับคำชื่นชมภายนอก
- F60.8F2R-5: เมื่อประเมินเดือนละครั้ง พบว่าผู้ป่วยลดพฤติกรรมต้องพึ่งคำชมจากผู้อื่นลง
…………………………………………………
F60.8F3 พฤติกรรมเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
(Ineffective interpersonal relationship)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยบ่นว่า “คนไม่เข้าใจฉัน” หรือ “ฉันเด่นกว่าใคร”
O:
- พูดช่วงล่วงผู้อื่น ไม่รอฟัง
- ใช้คำพูดดูถูกหรือแสดงอำนาจ
- ไม่เข้าร่วมกลุ่ม หรือตอบโต้แรงเมื่อถูกปฏิเสธ
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยมีพฤติกรรมรอฟังคนอื่นและตอบสนองอย่างสุภาพในสถานการณ์กลุ่มภายใน 2 สัปดาห์
- สร้างสัมพันธ์เชิงร่วมตัว ลดพฤติกรรมเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ≥ 3 คราวใน 1 สัปดาห์
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยรอฟังริมท่อแสดงความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน
- พยาบาลประเมินว่าผู้ป่วยใช้ถ้อยคำสุภาพ ≥ 4/5 ครั้งในระหว่างจัดกิจกรรมกลุ่ม
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F60.8F3I-1: จัดกิจกรรมกลุ่มเล็ก (2–3 คน) เพื่อให้ผู้ป่วยฝึกการรอฟัง และตอบเป็นลำดับ
- F60.8F3I-2: สอนเทคนิค “รอท่าสำหรับพูด” (waiting cue) เช่น ยกมือก่อนพูด
- F60.8F3I-3: ใช้ role‑play ทำบทบาทสมมติ สลับบทพูดฟัง/พูดตอบในทีมเล็ก
- F60.8F3I-4: ชมเชยทันทีเมื่อเห็นพฤติกรรมร่วมตัว เช่น “คุณฟังเพื่อนดีมากค่ะ”
- F60.8F3I-5: ให้ผู้ป่วยกรอกบันทึก “ใครพูดอะไร ฉันตอบอย่างไร” เพื่อสะท้อนพฤติกรรม
- F60.8F3I-6: ประสานนักจิตบำบัดจัดกลุ่มฝึกความสัมพันธ์ เพิ่มมุมมองของผู้อื่น
- F60.8F3R-1: ผู้ป่วยรอฟังและแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ ≥ 3 ครั้งต่อวัน
- F60.8F3R-2: บันทึกพฤติกรรมใน log อย่างน้อย 5 วัน
- F60.8F3R-3: พยาบาลสังเกตว่าผู้ป่วยมีท่าทีผ่อนคลาย ไม่มีการขัดจังหวะ
- F60.8F3R-4: ผู้ป่วยกล่าวเป็น “เรา” มากขึ้นแทน “ฉัน”
- F60.8F3R-5 (เพิ่มเติม): ร่วมกิจกรรมกลุ่มโดยไม่ถอนตัวหรือปฏิเสธ
……………………………………………………………
F60.8F4 อาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้าแฝง
(Anxiety or depressive mood related)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยรู้สึก “เครียดมากเวลาคนไม่ชมฉัน” หรือ “ฉันรู้สึกเศร้าถ้าใครไม่สนใจฉัน”
O:
- ท่าทางไม่มั่นใจ พูดเสียงเบา
- น้ำตาคลอหรือถอนตัวเมื่อไม่ได้รับคำชม
- นอนน้อย/หลับไม่สนิท และความอยากอาหารเปลี่ยน
Goals (เป้าหมาย)
- ลดอาการวิตกกังวลหรืออารมณ์เศร้าชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์
- ผู้ป่วยสามารถใช้เทคนิคผ่อนคลายอารมณ์ด้วยตนเองได้ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยรายงานความรู้สึกวิตกหรือเศร้าลดลง ≥ 50% จากค่าเริ่มต้น
- ใช้เทคนิคผ่อนคลาย (เช่น หายใจลึก) ≥ 5 ครั้ง/สัปดาห์
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F60.8F4I-1: สอนเทคนิคผ่อนคลาย เช่น หายใจลึก 4-7-8
- F60.8F4I-2: จัดช่วงเวลาพูดคุยให้ผู้ป่วยเล่าอารมณ์ และใช้การรับฟังแบบไม่ตัดสิน (“ฉันได้ยินว่าคุณรู้สึก...”)
- F60.8F4I-3: ส่งเสริมให้บันทึกอารมณ์ (Mood log) ทุกวัน พร้อมเขียนเหตุการณ์และความรู้สึก
- F60.8F4I-4: แนะนำให้ใช้ CBT เบื้องต้น เช่น เปลี่ยนความคิดลบ (“ไม่ได้รับชม = ฉันไม่มีค่า”) เป็น “ฉันคุณค่าเสมอ”
- F60.8F4I-5: ประสานจิตแพทย์เพื่อตรวจอาการร่วม เช่น ซึมเศร้า/วิตกกังวล และรับยาได้หากจำเป็น
- F60.8F4I-6: เตรียมแผนให้ผู้ป่วยใช้เทคนิคยามฉุกเฉิน (crisis plan) เช่น โทรหาเบอร์ฉุกเฉินหรือคนสนิทเมื่อรู้สึกหนัก
Response (การตอบสนอง)
- F60.8F4R-1: ผู้ป่วยรายงานความวิตกหรือเศร้าลดลงอย่างน้อย 50%
- F60.8F4R-2: สามารถใช้เทคนิคหายใจลึกได้ตามเป้าหมาย ≥ 5 ครั้ง/สัปดาห์
- F60.8F4R-3: บันทึก Mood log ต่อเนื่อง ≥ 7 วัน
- F60.8F4R-4: ผู้ป่วยเปลี่ยนความคิดลบโดยใช้ประโยคเชิงบวกขึ้น
- F60.8F4R-5: ผู้ป่วยปฏิบัติตามการนัดพบจิตแพทย์-นักบำบัดอย่างสม่ำเสมอ
…………………………………………………….
F60.8F5
พฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อถูกคัดค้าน (Risk for aggression or
hostility)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยพูดว่า “ใครไม่ฟังฉันก็ไม่รู้เรื่อง!” หรือ “ฉันจะไม่ยอมใครง่ายๆ”
- สีหน้าเครียด ขึงขัง
- เสียงดังหรือขึ้นเสียงเวลามีคนเถียง
- ยืนรุก เข้าใกล้คนอื่นมากเกินไป
- ลักษณะหยุดคิดไม่ทันดี: พูดตอบโต้ทันที
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถควบคุมอารมณ์เมื่อถูกคัดค้านภายใน 2 สัปดาห์
- ผู้ป่วยใช้เทคนิคผ่อนคลายเมื่อรู้สึกถูกคุกคาม ≥ 3 ครั้งต่อสัปดาห์
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยแสดงอาการสงบลงภายใน 3 นาทีหลังถูกคัดค้าน ≥ 4/5 ครั้ง
- ผู้ป่วยใช้เทคนิคหายใจหรือพักเมื่อเริ่มรู้สึกโกรธ ≥ 3 ครั้ง/สัปดาห์
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F60.8F5I-1: ประเมินสิ่งแวดล้อมและลดสิ่งเร้าที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น เสียงดัง แสงจ้า
- F60.8F5I-2: ใช้เทคนิค de-escalation – พูดช้า-ต่ำในน้ำเสียง เน้นดูแล
- F60.8F5I-3: สอนหายใจลึก 4–7–8 เมื่อรู้สึกโกรธน้อยกว่า 1 นาที
- F60.8F5I-4: มอบพื้นที่ “calm room” ให้ผู้ป่วยหากอารมณ์พุ่งแรง
- F60.8F5I-5: ประเมินระดับความโกรธโดยใช้แบบประเมิน STAMPEDAR ทุก 4 ชั่วโมง
- F60.8F5I-6: ใช้ CBT สอนระบุความคิดก่อนโกรธและเปลี่ยนเป็นเชิงสร้างสรรค์
- F60.8F5I-7: ประสานจิตแพทย์พิจารณาใช้ยาลดอาการก้าวร้าว เช่น benzodiazepines หรือ antipsychotics
Response (การตอบสนอง)
- F60.8F5R-1: ผู้ป่วยสามารถควมคุมอารมณ์เมื่อถูกคัดค้านภายใน 3 นาที ≥ 4/5 ครั้ง
- F60.8F5R-2: ใช้เทคนิคหายใจลึกหรือพักเมื่อเริ่มรู้สึกโกรธ ≥ 3 ครั้ง/สัปดาห์
- F60.8F5R-3: การประเมินเชิงรุก (STAMPEDAR) แสดงระดับอารมณ์ลดลง
- F60.8F5R-4: สังเกตว่าผู้ป่วยประพฤติดีขึ้นโดยไม่มีพูดดังหรือข่มขู่
- F60.8F5R-5: ผู้ป่วยรับประทานยาและเข้าพบจิตแพทย์ตามที่นัดอย่างต่อเนื่อง
……………………………………………..
F60.8F6 การสื่อสารไม่ตรงประเด็นหรือประณีต
(Ineffective communication)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยบ่นว่า “ไม่มีใครเข้าใจฉัน” หรือ “ฉันต้องเป็นผู้นำเสมอ”
O:
- พูดเกินเหตุ หยุดคนอื่นพูดบ่อย
- ใช้ศัพท์ฟุ่มเฟือย หรือไม่ตรงกับประเด็น
- ถามคำถามไม่เจาะจง สับสนประเด็น
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถสื่อสารชัด ตรงประเด็นใน 3/5 การสนทนา ภายใน 2 สัปดาห์
- ผู้ป่วยใช้ภาษาที่เหมาะสมตามสถานการณ์ ≥ 4 ครั้งต่อวัน
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- พยาบาลประเมินว่า ผู้ป่วยใช้ถ้อยคำตรง ประมาณ 4/5 ครั้งในช่วงสังเกต
- ผู้ป่วยสื่อสารประเด็นชัดเจน (เนื้อหาสอดคล้องกับคำถาม) ใน ≥ 60% ของการสนทนา
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F60.8F6I-1: สอน “use of clear language” — ให้ตอบตรงคำถาม ใช้ประโยคสั้น
- F60.8F6I-2: ฝึก role‑play สถานการณ์ประเมินจริง เช่น ตอบผู้อื่นว่า “ฉันเห็นว่าคุณหมายถึง…”
- F60.8F6I-3: ใช้เทคนิค “paraphrasing” ให้ผู้ป่วยพูดกลับเนื้อหาที่ฟัง เช่น “ถ้าเข้าใจถูก คุณหมายความว่า…”
- F60.8F6I-4: ชมเชยทันทีเมื่อการสื่อสารมีความชัดเจนและประณีต
- F60.8F6I-5: ให้ส่ง log “ประเด็นหลักของฉันวันนี้คือ…” หลังการสนทนาทุกวัน
- F60.8F6I-6: ใช้แนวทาง CBT สังเกตลักษณะ “พูดเพื่อหลบเลี่ยง” แล้วปรับสู่ความตรงจุด
- F60.8F6I-7: จัดให้เข้ากลุ่มบำบัดฝึกทักษะการสื่อสาร (social skills training)
Response (การตอบสนอง)
- F60.8F6R-1: ผู้ป่วยตอบชัดประเด็นใน ≥ 3/5 การสนทนา
- F60.8F6R-2: ใช้ภาษาเหมาะสมตามสถานการณ์ ≥ 4 ครั้งต่อวัน
- F60.8F6R-3: พยาบาลสังเกตผู้ป่วยใช้ paraphrasing ได้ใน ≥ 60% ของบทสนทนา
- F60.8F6R-4: ผู้ป่วยส่ง log “ประเด็นหลัก” ได้อย่างต่อเนื่อง ≥ 5 วัน
- F60.8F6R-5: แสดงพฤติกรรมสื่อสารชัดเจน ไม่มีสลับประเด็นหรือใช้ศัพท์ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น
…………………………………………….
F60.8F7 ยึดติดอัตลักษณ์เกินจริง
(Risk for identity disturbance)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ฉันคือคนพิเศษ ไม่มีใครเทียบได้”
- ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่ต้องการการยอมรับจากผู้อื่นอย่างมาก
O:
- การแสดงออกทางอารมณ์ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์
- ขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่
- มีความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถระบุคุณค่าของตนเองโดยไม่พึ่งพาการยอมรับจากผู้อื่นภายใน 2 สัปดาห์
- ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความเข้าใจในอัตลักษณ์ของตนเองใน ≥ 3 สถานการณ์ภายใน 1 เดือน
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายคุณค่าของตนเองโดยไม่อ้างอิงถึงผู้อื่นได้อย่างชัดเจน
- ผู้ป่วยแสดงความสามารถในการปรับตัวและยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
- ผู้ป่วยมีความมั่นใจในตัวเองโดยไม่ต้องการการยอมรับจากผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F60.8F7I-1: ใช้เทคนิคการสื่อสารที่เน้นการสะท้อนความรู้สึกของผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตนเอง
- F60.8F7I-2: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เน้นการพัฒนาตนเอง เช่น การฝึกทักษะการแก้ปัญหา หรือการตั้งเป้าหมายส่วนบุคคล
- F60.8F7I-3: สนับสนุนให้ผู้ป่วยมีการสะท้อนความคิดและพฤติกรรมของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในอัตลักษณ์ของตน
- F60.8F7I-4: จัดให้มีการบำบัดด้วยวิธีการที่เน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น การบำบัดแบบกลุ่ม หรือการบำบัดแบบครอบครัว
- F60.8F7I-5: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีการตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงและสามารถบรรลุได้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง
- F60.8F7I-6: สนับสนุนให้ผู้ป่วยมีการประเมินและปรับปรุงพฤติกรรมของตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความเข้าใจในอัตลักษณ์ของตน
Response (การตอบสนอง)
- F60.8F7R-1: ผู้ป่วยสามารถระบุคุณค่าของตนเองโดยไม่พึ่งพาการยอมรับจากผู้อื่นได้อย่างชัดเจน
- F60.8F7R-2: ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความเข้าใจในอัตลักษณ์ของตนเองในหลายสถานการณ์
- F60.8F7R-3: ผู้ป่วยมีความมั่นใจในตัวเองโดยไม่ต้องการการยอมรับจากผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง
- F60.8F7R-4: ผู้ป่วยสามารถปรับตัวและยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
………………………………………………..
F60.8F8 ความไม่สม่ำเสมอในการรับบริการทางจิต
(Non adherence to treatment)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ฉันไม่เห็นว่าการรักษาจะช่วยอะไร”
- ผู้ป่วยแสดงท่าทีไม่สนใจหรือปฏิเสธการรักษา
O:
- ไม่เข้ารับการนัดหมายตามที่กำหนด
- ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยา
- แสดงพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับแผนการรักษา
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถระบุเหตุผลและประโยชน์ของการรักษาภายใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยเข้ารับการนัดหมายและปฏิบัติตามคำแนะนำการรักษาอย่างต่อเนื่องภายใน 2 สัปดาห์
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายความสำคัญของการรักษาและผลที่ตามมาจากการไม่ปฏิบัติตาม
- ผู้ป่วยเข้ารับการนัดหมายตามที่กำหนดอย่างน้อย 80%
- ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาและการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F60.8F8I-1: ใช้เทคนิคการสื่อสารที่เน้นการสะท้อนความรู้สึกและความคิดของผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจความสำคัญของการรักษา
- F60.8F8I-2: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จากการไม่ปฏิบัติตามการรักษา โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา
- F60.8F8I-3: สร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจระหว่างผู้ป่วยและทีมรักษา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการรักษา
- F60.8F8I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายการรักษาที่เป็นจริงและสามารถบรรลุได้ เพื่อเสริมสร้างความมุ่งมั่นในการรักษา
- F60.8F8I-5: ติดตามผลการรักษาและให้ข้อเสนอแนะอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษา
- F60.8F8I-6: ให้การสนับสนุนทางจิตใจและอารมณ์แก่ผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าและยอมรับการรักษา
Response (การตอบสนอง)
- F60.8F8R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายความสำคัญของการรักษาและผลที่ตามมาจากการไม่ปฏิบัติตาม
- F60.8F8R-2: ผู้ป่วยเข้ารับการนัดหมายตามที่กำหนดอย่างน้อย 80%
- F60.8F8R-3: ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาและการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง
- F60.8F8R-4: ผู้ป่วยแสดงความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการรักษามากขึ้น
……………………………………………………………
F60.8F9 เสี่ยงต่อภาวะสุขภาพจิตแทรกซ้อน
(Risk for complicated mental health condition)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ฉันไม่ต้องการใครมาช่วย”
- ผู้ป่วยแสดงท่าทีไม่สนใจหรือปฏิเสธการรักษา
O:
- มีประวัติการปฏิเสธการรักษาในอดีต
- แสดงพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับแผนการรักษา
- มีความรู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องรับการรักษา
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถระบุเหตุผลและประโยชน์ของการรักษาภายใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยเข้ารับการนัดหมายและปฏิบัติตามคำแนะนำการรักษาอย่างต่อเนื่องภายใน 2 สัปดาห์
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายความสำคัญของการรักษาและผลที่ตามมาจากการไม่ปฏิบัติตาม
- ผู้ป่วยเข้ารับการนัดหมายตามที่กำหนดอย่างน้อย 80%
- ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาและการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F60.8F9I-1: ใช้เทคนิคการสื่อสารที่เน้นการสะท้อนความรู้สึกและความคิดของผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจความสำคัญของการรักษา
- F60.8F9I-2: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จากการไม่ปฏิบัติตามการรักษา โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา
- F60.8F9I-3: สร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจระหว่างผู้ป่วยและทีมรักษา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการรักษา
- F60.8F9I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายการรักษาที่เป็นจริงและสามารถบรรลุได้ เพื่อเสริมสร้างความมุ่งมั่นในการรักษา
- F60.8F9I-5: ติดตามผลการรักษาและให้ข้อเสนอแนะอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษา
- F60.8F9I-6: ให้การสนับสนุนทางจิตใจและอารมณ์แก่ผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าและยอมรับการรักษา
Response (การตอบสนอง)
- F60.8F9R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายความสำคัญของการรักษาและผลที่ตามมาจากการไม่ปฏิบัติตาม
- F60.8F9R-2: ผู้ป่วยเข้ารับการนัดหมายตามที่กำหนดอย่างน้อย 80%
- F60.8F9R-3: ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาและการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง
- F60.8F9R-4: ผู้ป่วยแสดงความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการรักษามากขึ้น
…………………………………………….
F60.8F10 ความต้องการแผนจำหน่ายและติดตาม
(Readiness for discharge planning)
Assessment (การประเมิน)
S:
- ผู้ป่วยกล่าวว่า “ฉันไม่ต้องการใครมาช่วย”
- ผู้ป่วยแสดงท่าทีไม่สนใจหรือปฏิเสธการรักษา
O:
- มีประวัติการปฏิเสธการรักษาในอดีต
- แสดงพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับแผนการรักษา
- มีความรู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องรับการรักษา
Goals (เป้าหมาย)
- ผู้ป่วยสามารถระบุเหตุผลและประโยชน์ของการรักษาภายใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยเข้ารับการนัดหมายและปฏิบัติตามคำแนะนำการรักษาอย่างต่อเนื่องภายใน 2 สัปดาห์
Evaluate Criteria (เกณฑ์การประเมิน)
- ผู้ป่วยสามารถอธิบายความสำคัญของการรักษาและผลที่ตามมาจากการไม่ปฏิบัติตาม
- ผู้ป่วยเข้ารับการนัดหมายตามที่กำหนดอย่างน้อย 80%
- ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาและการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง
Intervention (การปฏิบัติการพยาบาล)
- F60.8F10I-1: ใช้เทคนิคการสื่อสารที่เน้นการสะท้อนความรู้สึกและความคิดของผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจความสำคัญของการรักษา
- F60.8F10I-2: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จากการไม่ปฏิบัติตามการรักษา โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา
- F60.8F10I-3: สร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจระหว่างผู้ป่วยและทีมรักษา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการรักษา
- F60.8F10I-4: สนับสนุนให้ผู้ป่วยตั้งเป้าหมายการรักษาที่เป็นจริงและสามารถบรรลุได้ เพื่อเสริมสร้างความมุ่งมั่นในการรักษา
- F60.8F10I-5: ติดตามผลการรักษาและให้ข้อเสนอแนะอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษา
- F60.8F10I-6: ให้การสนับสนุนทางจิตใจและอารมณ์แก่ผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าและยอมรับการรักษา
Response (การตอบสนอง)
- F60.8F10R-1: ผู้ป่วยสามารถอธิบายความสำคัญของการรักษาและผลที่ตามมาจากการไม่ปฏิบัติตาม
- F60.8F10R-2: ผู้ป่วยเข้ารับการนัดหมายตามที่กำหนดอย่างน้อย 80%
- F60.8F10R-3: ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาและการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง
- F60.8F10R-4: ผู้ป่วยแสดงความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการรักษามากขึ้น
………………………………………………………..Bottom of Form
📘 เอกสารอ้างอิง
- กรมสุขภาพจิต. (2565). แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder). กรุงเทพมหานคร: กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข.
- สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย. (2564). คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภทและโรคจิตเวชอื่น ๆ. กรุงเทพมหานคร: สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย.
- American Psychiatric Association. (2013). Diagnostic and statistical manual of mental disorders (5th ed.). Arlington, VA: American Psychiatric Publishing.
- National Institute for Health and Care Excellence (NICE). (2018). Personality disorders: recognition and management. NICE guideline [NG181].
……………………………………………………….